โบรกเกอร์ประสานเสียงเอบีเอ็นฯ ควบแอสเซท พลัส สัดส่วนตลาดใหญ่ ต้นทุนดำเนินงานลดงานวาณิชธนกิจโดดเด่นแบบก้าวกระโดด คาดปี 47 จ่ายปันผลได้ 2.50 บาท จากผลการดำเนินงานที่มีโอกาสแตะระดับพันล้านบาทเป็นรายแรกในธุรกิจหลักทรัพย์
วงการชี้เป็นเสือปืนไวเตรียม อนาคตรับการแข่งขันเสรีค่าคอมมิชชั่น
ภายหลังการประกาศควบรวมกิจการระหว่าง บริษัทหลักทรัพย์เอบีเอ็น แอมโร เอเชีย
จำกัด (มหาชน) (AST) และบริษัทหลักทรัพย์แอสเซท พลัส จำกัด (มหาชน) (AST) ซึ่งถือเป็นดีลควบรวมกิจการ
เอกชนที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่ง เพราะทำให้มาร์เกตแคปมีขนาดใหญ่ 12,000 ล้านบาท และถือเป็นการจุดประกายให้บริษัทหลักทรัพย์รายอื่นต้องหันกลับมามองการทำธุรกิจ บรรดานักวิเคราะห์จากหลายสำนักได้ออกบทวิเคราะห์
ในมุมมองเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
โดยบล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยในบทวิเคราะห์ ระบุว่ามีความเห็นในเชิงบวกแก่การรวมกิจการของ
AST-ASSET เนื่องจากจะทำให้มีสัดส่วนการตลาดที่ใหญ่ขึ้นและต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ต่ำลง
AST ปัจจุบันเป็นนายหน้าหลักทรัพย์รายย่อยมีสาขาทั้งหมด 26 สาขา แต่ในส่วนของ ASSET
มีสาขาเพียง 4 สาขา แต่มีความเชี่ยวชาญทางด้านวาณิชธนกิจ ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้
AST มีสัดส่วนการตลาดด้านค้าหลักทรัพย์สูงเป็นอันดับสอง หรือประมาณ 7.32% ขณะที่
ASSET อยู่ในลำดับที่ 12 โดยมีสัดส่วนการตลาดประมาณ 3.05%
AST วางแผนที่จะเพิ่มทุนอีก 65 ล้านหุ้นเพื่อนำไปใช้ในการแลกหุ้นของ ASSET การรวมกิจการยังคงอยู่ในระหว่างการขออนุมัติจาก
กลต. และจะนำเข้าที่ประชุมของ AST ในวันที่ 13 พฤศจิกายนนี้
ในส่วนของราคาหุ้นได้เปลี่ยนคำแนะนำของ AST เป็นซื้อเก็งกำไร และยังคงแนะนำถือ
สำหรับ ASSET ปัจจุบัน AST ซื้อขายที่ระดับต่ำกว่ามูลค่าเป้าหมายของเรา 14.49%
แต่เราเชื่อว่ามูลค่าของ ASSET นั้นเต็มมูลค่าแล้วที่ราคาปัจจุบัน 68.5 บาท เพราะหลังจากที่ได้รวมประมาณการของทั้ง
AST และ ASSET แล้ว พบว่ากำไรสุทธิในปี 2004 จะสูงถึง 962 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิต่อหุ้นที่
4.93 บาท โดยที่ราคาปัจจุบันของ AST ที่ 59 บาทจะมีอัตราส่วน PER ที่ 11.98
ขณะที่บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เปิดเผยในบทวิเคราะห์ว่าหลังการรวมราคาต่อราคาตามมูลค่าทางบัญชี
(PBV) ที่ควรเป็นของ AST เท่ากับ 4.5 เท่า เมื่อคูณกับราคาตามมูลค่าบัญชีต่อจำนวนหุ้น
(BVPS) หลังการรวมที่ 16.85 บาท ได้รวมราคาเท่ากับ 76 บาท เท่ากับราคาปัจจุบันแนะนำให้ขายทำกำไรออกไปก่อน
อย่างไรก็ตามการควบรวมจะเกิดผลดีต่อทั้งคู่ หากใช้ PBV ปัจจุบันที่ 5.15 เท่า
ราคาสูงสุดที่จะเป็นได้คือ 76 บาท มีส่วนต่างผลตอบแทนถึง 13%
ปี 47 จ่ายปันผลได้ 2.50 บาท
บล.เกียรตินาคิน ให้ความเห็นว่าการควบรวมกิจการครั้งนี้ จะทำให้ AST มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มเป็นประมาณ
9.71% (ม.ค.-8 ต.ค. 2546) และมีจุดเด่นด้านงานวาณิชธนกิจเพิ่มขึ้นทันที โดยรายได้และผลประกอบการในปี
2547 ของ AST หลังควบรวมกิจการนั้น เราประมาณการมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยของตลาดในปี
2547 อยู่ที่ 15,000 ล้านบาทต่อวัน และคาดว่าส่วนแบ่งตลาดของ AST อยู่ที่ประมาณ
10% และเราคาดว่า AST จะมีรายได้ค่าธรรมเนียมใน ปี 2547 ประมาณ 1,174 ล้านบาท และคาดว่าจะมีกำไรสุทธิในปี
2547 ประมาณ 505 ล้านบาท กำไรต่อหุ้นประมาณ 2.59 และราคาตามูลค่าบัญชีสิ้นปี 2547
ประมาณ 16.33 บาทต่อหุ้น และคาดว่าจะมีเงินปันผลสำหรับผลประกอบการปี 2547 ประมาณ
2.50 บาทต่อหุ้น
"การควบกิจการจะส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจในปี 2547 ของ AST เราจึงแนะนำ "ซื้อเมื่ออ่อนตัว"
สำหรับการลงทุนในระยะกลางถึงยาว โดยมีแนวรับทางเทคนิคสำหรับ AST ประมาณ 70 บาท
และ ASSET ที่ประมาณ 75 บาท ส่วนราคาที่เหมาะสมของ AST ในปี 2547 หลังการควบรวมกิจการนั้น
เรา ใช้ APBR ที่ประมาณ 5.5-6 เท่า ซึ่งจะให้ราคาที่เหมาะสมสำหรับ AST ในปี 2547
ประมาณ 90-98 บาท ทั้งนี้ ราคาปิดหุ้น AST เมื่อ 8 ต.ค. 2546 อยู่ที่ 76.50 บาท
และ ASSET อยู่ที่ 82 บาท"
2 บริษัทรวมกันกำไรแตะหลักพันล้านบาท
บล.ธนชาติ ระบุว่าราคาทั้งคู่ยังมีโอกาสวิ่งได้อีกกว่า 40% ให้เป้าหมายใหม่ AST
111 บาท ส่วน ASSET 120 บาท การรวมกิจการไม่เพียงแต่ทำให้งบดุลดู "สวยและรวย" ขึ้นเท่านั้น
แต่ยังทำให้งบกำไร ขาดทุนดู "เก่งและแกร่ง" มากขึ้น โดยคาดว่าบริษัทใหม่จะมีกำไรสุทธิรวมกันปี
04 สูงแตะหลักพันล้านบาท (1,078 ล้านบาท) เป็นบริษัทแรกและบริษัทเดียว ส่วนกำไรต่อหุ้นจะอยู่ที่
5.53 บาทต่อหุ้น หากอิงค่าพีอีที่ 20 เท่า ได้ราคาเป้าหมายใหม่ของ AST หลังรวมกิจการที่
111 บาท ดังนั้นราคาเป้าหมายของ ASSET ก่อนจะถอนออกจากตลาดฯ ต้องหมุนตาม ratio
1:1.083333 ได้ 120 บาท ยืนยันด้วยความมั่นใจว่า "ซื้อ" ได้ทั้งคู่
เสือปืนไวรับมือเปิดเสรี
บล.ซีมิโก้ ให้ความเห็นว่าการเดินแผนควบรวมกิจการที่ค่อนข้างเร็ว นับเป็นการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับภาวะการแข่งขันที่รุนแรง
รวมถึงแนวโน้มการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นในอนาคต ที่สำคัญคือสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้
โดยเลี่ยงปัญหาเรื่องการแย่งชิงเจ้าหน้าที่การตลาด ถึงแม้แผนการควบรวมกิจการยังมีขั้นตอนต่างๆ
ซึ่งจะต้องใช้เวลาดำเนินการนานประมาณ 6 เดือน แต่คาดว่าแผนควบรวมกิจการของทั้ง
2 บริษัทจะประสบผลสำเร็จได้ด้วยดี เพราะเป็นการประสานประโยชน์และความแข็งแกร่งที่ค่อนข้างลงตัว
ซึ่งจะนำไปสู่การเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันและการทำกำไรที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีรายละเอียดในหลายประเด็นสำคัญ อาทิ การประหยัดต้นทุนต่างๆ
การจัดการกับใบอนุญาตของ ASSET ภายหลังควบรวมกิจการ เป็นต้น จึงทำให้ในเบื้องต้นนี้
ฝ่ายวิจัยประเมินราคาเป้าหมายของ AST ใหม่ในเชิงอนุรักษ์ไว้ที่ 88 บาท/หุ้น (กำหนดจาก
PER 20 เท่า) ดังนั้น หากอิงกับอัตราส่วนการแลกเปลี่ยนหุ้น 1:1.083333 มีนัยว่าราคาหุ้น
ASSET จะมีพรีเมี่ยมสูงกว่าราคาหุ้น AST ประมาณ 8% หรือ 95 บาทต่อหุ้น แนะนำ AST
โดยมีราคาเป้าหมาย 88 บาท/หุ้น และ ASSET ราคาเป้าหมาย 95 บาท/หุ้น