สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในอนาคตข้างหน้ามีแนวโน้มพลิกผันไปจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาอย่างหน้ามือเป็นหลังมือธุรกิจเงินทุนหลักทรัพย์ที่จับพลัดจับพลูได้ดีขึ้นจากภาวะการซื้อขายหุ้นในช่วงก่อนหน้านั้นมาถึงวันนี้
ผู้บริหารก็จะต้องมีความเหนื่อยมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า แนวโน้มราคาหุ้นของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์แต่ละแห่งจะเป็นเช่นไร
นับแต่นี้ต่อไป ขึ้นอยู่กับฝีมือของผู้บริหารเท่านั้น
ความยืดเยื้อของสถานการณ์ในตะวันออกกลางในช่วงที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบถึงกิจการหลายสาขาในประเทศไทยโดยเฉพาะบริษัทอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นต้องใช้น้ำมันเป็นพลังงานหลักในการผลิตและขนส่ง
ราคาหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมในช่วงเกือบ 5 เดือนที่ผ่านมาจึงตกต่ำลงมามากโดยถ้วนหน้า
เฉกเช่นเดียวกับหุ้นกลุ่มกิจการอื่น ๆ ซึ่งก็เป็นไปตามภาวะการณ์ ที่ปัจจัยพื้นฐานทั้งหลายได้มีการเปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างเห็นได้ชัด
ในขณะเดียวกัน หุ้นในกลุ่มสถาบันการเงิน โดยเฉพาะกิจการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์
ที่เคยถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์ดังกล่วน้อยกว่ากลุ่มอื่นๆนั้นราคาหุ้นกลับมีการเปลี่ยนแปลงลดลงที่รุนแรงมากกว่า
เมื่อเปรียบเทียบจากดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ จากที่ได้พุ่งขึ้นไปสู่ระดับ
1,142.63 จุด ในวันที่ 1 สิงหาคม ก่อนที่จะเกิดวิกฤติการณ์ขึ้น 1 วัน และได้ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดที่
613.95 จุดในวันที่ 25 กันยายน มีอัตราการลดลงเท่ากับ 46.27% ภายในระยะเวลาประมาณ
1 เดือนกว่า ๆ
ดัชนีราคาหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จากจุดสูงสุดที่ระดับ 373.10 จุดในวันที่
1 สิงหาคม ได้ลดลงมาต่ำสุดที่ระดับ 231.72 จุดในวันที่ 25 กันยาบน คิดเป็นอัตราการลดลงเท่ากับ
37.89%
ดัชนีราคาหุ้นกลุ่มพาณิชย์ จากจุดสูงสุดในระดับ 2,923.47 จุด ในวันที่
19 กรกฎาคม ได้ลดลงมาต่ำสุดที่ระดับ 1,698.28 จุดในวันที่ 25 กันยายน คิดเป็นอัตราการลดลงเท่ากับ
41.91%
ดัชนีราคาหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง จากจุดสูงสุดในระดับ 6,670.90 จุด ในวันที่
19 กรกฎาคม ได้ลดลงมาต่ำสุดที่ระดับ 3,547.11 จุดในวันที่ 25 กันยายน คิดเป็นอัตราการลดลงเท่ากับ
46.83%
ดัชนีราคาหุ้นกลุ่มสิ่งทอ จากจุดสูงสุดในระดับ 1,166.07 จุด ในวันที่ 2
สิงหาคม ได้ลดลงมาต่ำสุดที่ระดับ 570.55 จุดในวันที่ 16 พฤศจิกายน คิดเป็นอัตราการลดลงเท่ากับ
51.07%
แต่สำหรับดัชนีราคาหุ้นกลุ่มบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ได้ขึ้นไปสูงสุดที่ระดับ
7,261.01 จุดในวันที่ 27 กรกฎาคมและได้ตกลงมาต่ำสุดที่ระดับ 2,921.98 จุด
ในวันที่ 27 กันยายนซึ่งคิดเป็นอัตราการลดลงถึง 59.76% ภายในระยะเวลาเพียง
1 เดือน
แหล่งข่าวในวงการค้าหลักทรัพย์ให้ความเห็นว่าไม่เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจถ้าราคาหุ้นกลุ่มบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์จะมีการเปลี่ยนแปลงลดลงที่รุนแรงกว่ากลุ่มอื่น
ๆ เพราะก่อนหน้านี้ ในช่วงที่ภาวะตลาดยังดีอยู่ ราคาหุ้นกลุ่มบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ก็มีอัตราการเปลี่ยนแปลงที่สูงกว่าหุ้นในกลุ่มอื่น
ๆ เช่นกัน
หุ้นกลุ่มบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นั้น อาจจัดรวมเข้าไปอยู่ได้ทั้งหุ้นบลูชิพที่มีนักลงทุนให้ความสนใจจะซื้อเก็บไว้เพื่อการลงทุนระยะยาว
และเป็นได้ทั้งหุ้นกลุ่มเก็งกำไรระยะสั้น ที่มีความเคลื่อนไหวค่อนข้างหวือหวา
โดยมีปัจจัยสนับสนุนคือมูลค่าการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ที่ทวีความคึกคักขึ้นตั้งแต่ปี 2530 เป็นต้นมา ส่งผลให้รายได้ของกิจการประเภทนี้โดยเฉพาะค่านายหน้าและกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์
ซึ่งเป็นรายได้ที่ไม่ได้มาจากดอกเบี้ยมีอัตราการขยายตัวตามขึ้นมาด้วย
จะเห็นได้ว่าในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าสถานการณ์ในตลาดหุ้นจะเป็นเช่นไร หุ้นกลุ่มบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ก็ยังเป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจ
มีทั้งนักลงทุนและเก็งกำไรเข้ามาซื้อขายอย่างต่อเนื่องโดยตลอด ในปริมาณค่อนข้างสูง
นอกจากนี้เวลาโบรกเกอร์จะให้คำแนะนำการลงทุนแก่ลูกค้า ก็จะต้องมหุ้นในกลุ่มบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ไม่ตัวใดก็ตัวหนึ่งติดขึ้นมาด้วยเสมอ
สำหรับในช่วงที่เพิ่งเกิดวิกฤติการณ์ในอ่าวเปอร์เซียขึ้นมาใหม่ ๆ ครั้งแรกผู้เชี่ยวชาญในตลาดหุ้นทั้งหลายยังเคยมองว่าไม่น่าจะมีผลกระทบกับหุ้นในกลุ่มนี้มากนัก
เนื่องจากไม่มีใครคาดว่าเหตุการณ์ทั้งหลายจะยืดเยื้อต่อเนื่องมาถึงขั้นนี้
ประกอบกับในช่วงเวลาดังกล่าว ทุกคนก็ยังมีความหวังกันว่าตราบใดที่มูลค่าการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่าวันละ
2,000 ถึง 2,500 ล้านบาทแล้วค่านายหน้า หรือกำไรจากการซื้อขายหุ้นที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เหล่านี้จะได้
ก็ยังมากเพียงพอที่จะรองรับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเลวร้ายลงไหว
แนวความคิดดังกล่าวตั้งอยู่บนสมมุติฐานของภาพรวมทางเศรษฐกิจที่ว่า
หนึ่ง-ในปี 2534 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะมีการนำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้
ซึ่งหากเป็นผลสำเร็จ ก็จะทำให้การซื้อขายหุ้นมีความสะดวก รวดเร็วจนดึงดูดให้คนสนใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น
และมูลค่าการซื้อขายหุ้นจะเพิ่มขึ้นจากเมื่ออดีตอีกหลายเท่าตัว
สอง - สภาพตลาดเงินที่ไม่ตึงตัวจนเกินไป และอัตราดอกเบี้ยที่ไม่สูงจนถึงดูดให้คนสนใจนำเงินไปฝากธนาคารมากกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น
และสาม-ความที่ทุกคนต่างเชื่อกันว่าถ้าเหตุการณ์ครั้งนี้สิ้นสุดลงภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
และตลาดหุ้นกลับฟื้นตัวขึ้นมาได้อีกครั้ง มูลค่าหลักทรัพย์ที่แต่ละบริษัทได้ลงทุนซื้อไว้
ซึ่งได้ประสบกับกาขาดทุนมาแล้วในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก็จะกลับเพิ่มสูงขึ้นมาไดจนไม่ส่งผลถึงฐานะการดำเนินงานของแต่ละบริษัท
แต่ความเป็นจริงกลับไม่ได้เป็นดังคาด เพราะการซื้อขายหุ้นด้วยระบบคอมพิวเตอร์ได้เลื่อนกำหนดระยะเวลาออกไปเรื่อย
ๆ จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายว่าจะเริ่มได้ในวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมาก็เปลี่ยนเป็นวันที่
1 กุมภาพันธ์ปีหน้า และอาจจำเป็น ต้องเลื่อนออกไปอีกเมื่อแมรี่ โจ รองประธานบริษัทมิดเวสต์
สต๊อกคเอ็กซ์เช้นจ์ ซึ่งเป็นผู้จัดการโครงการติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ให้กับตลาดหลักทรัพย์ได้เสียชีวิตลงเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
ประกอบกับในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ก็ได้เกิดภาวะเงินที่ตึงตัวขึ้นอย่างสุดขีด
อัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ได้พุ่งพรวดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ทำให้คนเริ่มลังเลใจทีจะนำเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น
และที่สำคัญที่สุดคือเหตุการณ์ในตะวันออกกลางที่น่าจะจบลงด้วยดีโดยเร็ว
กลับยืดเยื้อต่อเนื่องมาอีก หนำซ้ำยังโดยกระหน่ำด้วยวิกฤตการณ์ทางการเมืองภายในประเทศไทย
ทำให้ตลาดหุ้นที่ทำท่าว่าจะกลับฟื้นตัวขึ้นมาได้หลายครั้ง ก็มีอันจะต้องทรุดลงไปอีก
จนในที่สุด มูลค่าการซื้อขายหุ้นในแต่ละวันก็ค่อย ๆ ลดลงมาตามลำดับเหลือเพียงวันละประมาณ
1,000 ถึง 1,500 ล้านบาทโดยเฉลี่ย
"ตอนนี้ใครที่มีหุ้นกลุ่มบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ถ้ามาถามผมจะแนะนำให้ขายออกไปก่อน"
ศิริวัฒน์ วรเวทย์วุฒิคุณนักลงทุนมืออาชีพ เคยกล่าวกับ "ผู้จัดการ"
เมื่อประมาณปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลว่าปัจจัยพื้นฐานของหุ้นกลุ่มดังกล่าวที่เคยถูกมองว่าดี
ถึงตอนนี้ปรากฏว่าได้เปลี่ยนไปในทางตรงกันข้ามเสียแล้ว
โดยเฉพาะในด้านผลประกอบการ ที่ในช่วง 2-3 ปีก่อนหน้าตัวเลขกำรของหุ้นในกลุ่มนี้ที่เคยมีอัตราการเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดนั้น
หลังจากนี้เป็นต้นไปแนวโน้มตัวเลขกำไรดังกล่าวจะมีอัตราที่ลดต่ำลง ในทางตรงข้าม
บางบริษัทอาจถึงขั้นประสบกับการขาดทุน หากการบริการเงินลงทุนในพอร์ตของบริษัทนั้นไม่ดีพอ
ซึ่งจากงบการเงินงวดไตรมาส 3 ปีนี้ ก็เริ่มปรากฏว่าบางบริษัทที่มีผลการดำเนินงานขาดทุนให้เห็นกันบ้างแล้ว
"งบงวด 9 เดือนที่ประกาศออกมา ยังไม่แสดงให้เห็นภาพของผลกระทบที่เด่นชัด
เพราะหลายบริษัทยังมีตัวเลขกำไรในเดือนกรกฎาคม ก่อนเกิดสงครามอิรัก-คูเวตมาถัวเฉลี่ยไว้ทำให้ตัวเลขผลกำไรยังพอดูดีอยู่
แต่ในงบงวด 1 ปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคมที่จะถึงนี้จะชี้ให้เห็นอย่างชดัเจนว่าแต่ละบริษัทจะเจอปัญหาขนาดไหน
เพราะเป็นการเปรียบเทียบกันระหว่างสถานการณ์ที่มีความตรงข้ามกันมาก"
ศิริวัฒน์ย้ำ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นกลุ่มบริาทเงินทุนหลักทรัพย์จะแปรเปลี่ยนไปจากช่วง
2-3 ปีก่อนหน้า จนทำให้ความสนใจเก็งกำไรหุ้นกลุ่มนี้ลดน้อยลง เนื่องจากราคาอาจม่มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงอย่างหวือหวาดังเช่นแต่ก่อน
แต่เนื่องจากผลทางจิตวิทยา ทำให้หุ้นหลายตัวมีราคาที่ลำต่ำลงมา จนถึงระดับทนจะเข้าไปลงทุนในระยะยาวได้แล้ว
เพียงแต่การคัดเลือกตัวหุ้นที่จะเข้าไปลงทุนรอบนี้มีปัจจัยที่ต้องพิจารณาให้ดีอยู่บางประการ
ประการแรกต้องพิจารณาถึงสัดส่วนรายได้ของบริษัทนั้น ๆ ว่ามาจากส่วนไหนมากกว่ากัน
ระหว่างธุรกิจเงินทุน กับธุรกิจหลักทรัพย์โดยดูจากงบการเงินในส่วนของรายได้จากดออกเบี้ยและเงินปันผลที่แสดงถึงผลการดำเนินงานด้านธุรกิจเงินทุน
และ ดูจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่แสดงถึงผลการดำเนินงานของธุรกิจ หลักทรัพย์
ถ้ารายได้ของบริษัทนั้นส่วนใหญ่าจากธุรกิจหลักทรัพย์ก็ต้องวิเคราะห์ว่าตลาดหุ้นในปีหน้าจะมีแนวโน้มจะขยายตัวไปในทิศทางใด
และบริษัทนั้นได้มีการปรับตัวรับกับสถานการณ์ไว้แล้วอย่างไรบ้าง เพราะในช่วงที่ตลาดยังดีอยู่มีบางบริษัททีได้มีการลงทุนในด้านหลักทรัพย์ไปมากทั้งในด้านกำลังคนและคอมพิวเตอร์และถึงกับลดสัดส่วนธุรกิจด้านเงินทุนลงมา
เพราะเห็นว่าส่วนต่างของกำไรได้น้อยกว่าด้านธุรกิจหลักทรัพย์ ซึ่งในการลงทุนนั้นบางครั้งก็ยังไม่ถึงจุดที่คุ้มทุนก็เกิดวิกฤตการร์ตลาดหุ้นตกต่ำขึ้นมาเสียก่อน
ซึ่งจะเป็นการเสี่ยงมากถ้าเข้าไป ลงทุนในหุ้นของบริษัทนี้
แต่ถ้ารายได้ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจเงินทุน ก็ต้องดูว่าส่วนต่างของดอกเบี้ยรับและจ่ายของบริษัทนั้นเป็นอย่างไร
เพื่อที่จะวิเคราะห์ได้ว่าต้นทุนเงินที่บริษัทนั้นหามาปล่อยสินเชื่อต่อไปนั้นสูงหรือต่ำแค่ไหน
และโครงการที่ปล่อยเงินกู้ไปนั้น จะให้ผลตอบแทนกลับมาในอัตราส่วนที่คุ้มค่าหรือไม่
นอกจากนี้จะต้องดูด้วยว่าโครงการต่าง ๆ ที่บริษัทนั้นปล่อยสินเชื่อให้ไป
เป็นโคงรการประเภทใดมีแนวโน้มหรืออนาคต หรือไม่เช่นถ้าบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์แห่งนั้นเน้นปล่อยสินเชื่อให้กับกิจการประเภทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากเกินไปก็ค่อนข้าง
จะเสี่ยงเพราะแนวโน้มของธุรกิจนี้ต้องเป็นมืออาชีพเท่านั้นจึงจะอยู่ได้
ข้อควรพิจารณาอีกประการคือถ้าบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์แห่งนั้นมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจทั้ง
2 ประเภทใกล้เคียงกันก็จะต้องมดาที่ภูมิหลังในเรื่องการบริหาร ว่ามีความเป็นมืออาชีพมากน้อยเพียงใด
สรุปได้ว่าแนวโน้มของราคาหุ้นกลุ่มบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นับแต่นี้เป็นต้นไป
จะขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้บริหารงานของแต่ละบริษัทว่าจะปรับตัวรับกับสถานการณ์ทางธุรกิจปัจจุบันได้แค่ไหน
ซึ่งนักลงทุนจะต้องใช้วิจารณญาณพิจารณาให้ถี่ถ้วน
ความเปลี่ยนเปลงของดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ เมื่อเทียบกับดัชนีราคาหุ้นกลุ่มบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์
จะเห็นว่าในขณะที่ดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ลดลงมาเพียง 46.27% ภายหลังจากเกิดวิกฤตการณ์
แต่ดัชนีราคาหุ้นกลุ่มบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ลดต่ำลงมาถึง 59.76%