หากคุณเป็นอีกผู้หนึ่งที่ชื่นชอบการลงทุรนในระยะยาว หรือชื่นชอบการลงทุนในหุ้นปันผล ชื่อของ บริษัท แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) (AIT) คงผ่านหู ผ่านตา ตามหน้าหนังสือพิมพ์ รวมทั้งคำแนะนำจากโบรกเกอร์ที่ชี้แจงถึงศักยภาพ และอัตรการเติบโตของเฝินปันผลกันบ้างแล้ว จึงนับว่าที่ผ่านมา **AIT คืออีกหุ้นคุณค่า ที่บรรดาโบรกเกอร์และนักวิเคราะห์หลายสำนัก มักให้น้ำหนักการลงทุนระยะยาว หรือเชียร์ให้นักลงทุนเก็บสะสมไว้
เมื่อเร็วๆนี้ ทีมงาน ตลาดทุน ของ ASTV ผู้จัดการรายวัน ได้มีโอกาสพบกับ ซีอีโอใหญ่ **ศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร AIT**ซึ่งได้เปิดเผยถึงแนวโน้มและทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทว่า ในช่วง 3 – 5ปีข้างหน้าจากนี้ บริษัทแผนธุรกิจการให้บริการที่จะครอบคลุมทั้งในเรื่อง Maintenance Services, Managed Services, Training, Smart Service และ Network Design&Consulting
เพราะปัจจุบันเห็นว่า พัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีของการรวมเป็นNetwork เดียว (Network Convergence) มากขึ้น ไม่ว่าระบบข้อมูล(Data) , ระบบเสียง(Voices) รวมถึง ระบบVDO สามารถใช้บนเครือข่ายเดียวกันได้ ทำให้ง่ายในเชิงการบริหาร ดูแล ระบบเครือข่ายและเพิ่มความคุ้มค่าในการลงทุนสำหรับผู้ประกอบการ ด้วยเหตุนี้ AIT จึงต้อง รุกสู่ตลาดใหม่เพิ่มเติมและเดินหน้าในธุรกิจหลักของตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง
ดังนั้น แม้สถานการณ์บ้านเมือง ยังเจอปัจจัยความขัดแย้งทางด้านการเมืองกดดัน และส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่บ้าง แต่ในส่วนของบริษัทฯ **ขอยืนยันว่าผลกระทบนี้จะไม่ลุกลามมาถึงธุรกิจที่บริษัทฯ ดำเนินงานอยู่ และจะไม่กระทบต่อเป้าหมายรายได้ในปีนี้ที่ตั้งไว้ประมาณ 4,000 ล้านบาท เนื่องจากในปัจจุบันมีงานในมือ(Backlog)ประมาณ 2,500 – 2,600 ล้านบาทที่จะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้**
" ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น การลงทุนในด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของหน่วยงานต่างๆ ก็จำเป็นต้องเดินหน้าต่อไป เพราะถึงอย่างไรประเทศก็ต้องเดินไปข้างหน้า ดังนั้นจึงถือเป็นจุดแข็งของบริษัทฯ ที่งานส่วนใหญ่เกือบ 90% เป็นงานภาครัฐ ซึ่งยังคงเดินหน้าจัดประกวดราคาตามระเบียบของแต่ละหน่วยงาน ตามงบประมาณที่ขออนุมัติไว้แล้ว นอกจากนี้ การที่ภาครัฐเองก็มีความกังวลว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจอาจได้รับผลกระทบ ก็จะต้องเร่งใช้จ่ายเงินงบประมาณลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง " นายศิริพงษ์ กล่าว**
กลับมาที่เป้าหมายใหญ่ในปีนี้คือ รายได้ที่จะเติบโตถึง 4,000 ล้านบาท เรื่องนี้ดูจะไม่ใช่เรื่องยากลำบากของ AIT เลย เพราะจากการบอกเล่าของผู้บริหารถึงรายได้รวมเมื่อปี 2552 ที่ทำไว้ 3,876 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากปีก่อนซึ่งมี 3,324 ล้านบาทนั้น หากนำมาหักลบกับการรับรู้รายได้จากงานในมือ 2,600 ล้าน และเมื่อรวมกับโครงการใหม่ที่บริษัทได้มาในปีนี้ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่การขยับเพิ่มรายได้อีก 124 ล้านบาท จาก 3,876 ล้านบาทให้เป็น 4,000 ล้านบาทได้นั้นไม่ใช่ใหญ่หรือน่ากังวลนัก
" เดิมรายได้ในปี 2552 เราคาดการณ์ไว้ 3.3 พันล้าน แต่ก็สามารถทำได้ 3.8-3.9 พันล้านบาท ดังนั้น แนวโน้มของรายได้ในปี 53 จึงมีโอกาสที่จะได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้เช่นกัน และไตรมาส1/53ที่ผ่านมา ก็มีออเดอร์ใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 3 นี้ ทำให้เป้าหมายทั้งปีที่ตั้งเป้ามีความเป็นไปได้สูง ขณะเดียวกันในไตรมาส 2 นี้ ฝ่ายขายหรือฝ่ายประมูลงานของบริษัทก็กำลังเดินหน้าเข้าประมูลงานเพิ่มอีกหลายโครงการ ซึ่งทิศทางรายได้ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ย่อมส่งผลต่อกำไรในปีให้ดีขึ้น จากปีก่อนที่ทำได้ 312ล้านแน่ " **
สาเหตุที่ AIT เชื่อมั่นในความสามารถดำเนินธุรกิจของตนเองนั้น เพราะงานวางระบบ (System Integration) ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทนั้น ยังเป็นธุรกิจด้านเทเลคอม ที่มีการแข่งขันสูงระหว่างโอเปอร์เรเตอร์ผู้ให้บริการต่างๆ เช่น ดีแทค ทรูฯ เอไอเอส รวมถึง ทีโอที ทำให้อุตสาหกรรมในกลุ่มนี้มีศักยภาพมาก และมีความจำเป็นต้องขยายธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่อง ซึ่งสินค้าและบริการของบริษัทก็รองรับความต้องการในจุดนี้ ให้แก่ทั้งภาครัฐและเอกชน ทำให้ได้รับอานิสงส์ของการขยายตัวของธุรกิจเป็นไปตามอุตสาหกรรมด้วย
โดยระบบเครือข่ายสื่อสาร 3G นั้น ปัจจุบัน บริษัทเป็นซัพพลายเออร์ให้กับ ทีโอที ซึ่งได้รับใบอนุญาตแล้ว และทีโอทีก็มีโครงข่ายติดตั้งในกรุงเทพฯอยู่ ดังนั้นถ้าเกิดต่อไปทีโอทีจะขยายออกไปสู่ต่างจังหวัด จุดนี้มองว่านี่คือโอกาสของบริษัทที่จะเข้าไปขายสินค้าในส่วนนี้เพิ่มเติม**
ภาพรวม สำหรับธุรกิจด้าน Sytem Integration ของบริษัทนั้น จะเน้นรับงานในรูปแบบผู้รับเหมางานทั้งหมด ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ให้แก่ลูกค้าโดยไม่จำเป็นต้องไปแยกสินค้าสินค้าจากที่อื่น เพราะบริษัทมีสินค้าและบริการพร้อมรองรับทุกอย่าง ลูกค้าสามารถดีลกับผู้ขายได้เพียงครั้งเดียว (รายเดียว) ในแบบ
แพคเกจที่มีให้เลือก ทำให้เครือข่ายของระบบคอมพิวเตอร์นั้นคิดเป็น 50 -60%ของรายได้หลัก
ขณะที่แผนรุกงานการบริการ (Services Oriented) อย่างเต็มรูปแบบนั้น ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนงานระยะยาว 3 - 5 ปี เพื่อยกระดับบริษัทฯให้สู่ความเป็นเลิศนั้น โดย ศิริพงษ์ กล่าวว่า เพื่อลดความเสี่ยงทางธุรกิจ ไม่พึ่งพิงแต่การประมูลงานแต่อย่างเดียว
" เรามองหาอะไรที่มันมั่นคงมากขึ้น งานบริการเป็นรายได้ที่ต่อเนื่องและระยะยาว ซึ่งจะมาในรูปแบบต่างๆ ทั้งจากภาครัฐ และเอกชน อย่างไรก็ตามเราก็ยังไม่คาดหวังรายได้จากจุดนี้มากนัก " **
นอกจากนี้ บริษัทได้หันมาสนใจเข้าเจาะตลาดเคเบิ้ลทีวี โดยล่าสุดได้ร่วมมือกับสมาคมเคเบิ้ลทีวีแห่งประเทศไทยเป็นผู้ติดตั้งระบบ VDO Distribution over Satellite ซึ่งมีผู้ให้บริการกว่า 500 รายทั่วประเทศ คิดเป็นฐานสมาชิกรวมกว่า 5 ล้านหลังคาเรือน เพื่อรับเป็นผู้ติดตั้งระบบในการให้บริการด้านเทคโนโลยีทั้งหมด เพราะบริษัทมีโปรดักส์ใหม่ของ CISCO SYSTEMS INC. ซึ่งเป็นผู้นำทางด้านอุปกรณ์เครือข่าย (Networking Solutions) ในระดับโลก และเป็นพาร์ทเนอร์ที่สำคัญเข้ามารองรับลูกค้าในกลุ่มนี้ได้ โดยศิริพงษ์ มองว่า ตลาดนี้เป็นตลาดใหญ่และมีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต ซึ่งเฟสแรก AITได้ดำเนินการไปแล้วโดยขยายช่องจากเดิม 16 ช่อง เป็น 32 ช่อง มูลค่าประมาณ 30 ล้านบาท ต่อไปอยู่ระหว่างพิจารณาเฟส 2 ที่กำลังจะเกิดขึ้น
" ตลาดนี้ถือเป็นโอกาสใหญ่สำหรับที่จะเข้าไปขายระบบ การบริหารจัดการ และอุปกรณ์ต่างๆให้แก่ลูกค้า ซึ่งในอนาคตอาจช่วยให้บริษัทรับรู้รายได้จากธุรกิจดังกล่าวได้ถึง 100 ล้านบาทได้เช่นกัน "
สำหรับงานหรือโครงการอื่นๆที่บริษัทอยากเข้าไปทำเพิ่มเติมในอนาคต ศิริพงษ์ บอกว่า ยังมีงานอื่นๆมากมายรอให้เข้าศึกษาตลาด เช่น งานทะเบียนราษฎร์ งานของกระทรวงมหาดไทย งานของกรมที่ดินในการวางระบบข้อมูลทั่วประเทศ ซึ่งเฟสแรก AIT ได้มีส่วนร่วมดำเนินการไปบ้างแล้ว งานด้านการศึกษา ทั้งในโรงเรียน มหาวิทยาลัย เป็นต้น
สุดท้ายนี้เมื่อมองเห็นศักยภาพ และทิศทางการเติบโตทางธุรกิจของบริษัทแล้ว ก็ย้อนกับมามองถึงประโยชน์ของผู้ลงทุนที่ถือหุ้น AIT โดยผู้บริหารก็ให้คำตอบว่า ปีที่แล้ว AIT จ่ายปันผล 2 ครั้งรวม 3.50 บาท คิดเป็น Dividend Yield ที่สูงถึง 11% และตลอดมาบริษัทมีการจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะบริษัทไม่มีการลงทุนอะไรมากนักและไม่มีหนี้กับสถาบันการเงิน ซึ่งปีนี้ถ้าเป็นไปตามเป้า 4,000 ล้านบาท กำไรของAITก็จะมากขึ้นตามยอดขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งธุรกิจของบริษัทเป็นไปในลักษณะซื้อมาขายไป ไม่มีการสต๊อกสินค้าเก็บไว้ จึงไม่น่าห่วง ดังนั้นภาพรวมจึงยืนยันว่าบริษัทยังยึดนโยบายเดิมคือจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 40%ของกำไรสุทธิ ส่วน ราคาหุ้นที่เคลื่อนไหวอยู่บนกระดานหลักทรัพย์ ผู้บริหารAIT ย้ำว่า แม้ราคาหุ้นยังต่ำกว่าบุ๊กแวลู แต่ก็ไม่เคยคิดเข้ายุ่งเกี่ยวหรือแทรกแซงราคาหุ้นแต่อย่างใด โดยปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด และตอนนี้ก็ยังพอใจกับราคาหุ้นที่ปรับตัวไปตามปกติ โดย P/E ของAITอยู่ที่ประมาณ 13 เท่า ซึ่งยังน้อยกว่า P/E ของกลุ่มที่อยู่ที่ประมาณ 17 เท่า
|