Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTVผู้จัดการรายวัน4 พฤษภาคม 2553
AITไม่หยุดนิ่งตามเทคโนโลยีลุ้นเป้ารายได้4พันล.ดันปันผลเพิ่ม             
 


   
www resources

โฮมเพจ แอ็ดวานซ์อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี, บมจ.

   
search resources

แอ็ดวานซ์อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี, บมจ.
ศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์
ICT (Information and Communication Technology)




หากคุณเป็นอีกผู้หนึ่งที่ชื่นชอบการลงทุรนในระยะยาว หรือชื่นชอบการลงทุนในหุ้นปันผล ชื่อของ บริษัท แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) (AIT) คงผ่านหู ผ่านตา ตามหน้าหนังสือพิมพ์ รวมทั้งคำแนะนำจากโบรกเกอร์ที่ชี้แจงถึงศักยภาพ และอัตรการเติบโตของเฝินปันผลกันบ้างแล้ว จึงนับว่าที่ผ่านมา **AIT คืออีกหุ้นคุณค่า ที่บรรดาโบรกเกอร์และนักวิเคราะห์หลายสำนัก มักให้น้ำหนักการลงทุนระยะยาว หรือเชียร์ให้นักลงทุนเก็บสะสมไว้

เมื่อเร็วๆนี้ ทีมงาน ตลาดทุน ของ ASTV ผู้จัดการรายวัน ได้มีโอกาสพบกับ ซีอีโอใหญ่ **ศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร AIT**ซึ่งได้เปิดเผยถึงแนวโน้มและทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทว่า ในช่วง 3 – 5ปีข้างหน้าจากนี้ บริษัทแผนธุรกิจการให้บริการที่จะครอบคลุมทั้งในเรื่อง Maintenance Services, Managed Services, Training, Smart Service และ Network Design&Consulting


เพราะปัจจุบันเห็นว่า พัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีของการรวมเป็นNetwork เดียว (Network Convergence) มากขึ้น ไม่ว่าระบบข้อมูล(Data) , ระบบเสียง(Voices) รวมถึง ระบบVDO สามารถใช้บนเครือข่ายเดียวกันได้ ทำให้ง่ายในเชิงการบริหาร ดูแล ระบบเครือข่ายและเพิ่มความคุ้มค่าในการลงทุนสำหรับผู้ประกอบการ ด้วยเหตุนี้ AIT จึงต้อง รุกสู่ตลาดใหม่เพิ่มเติมและเดินหน้าในธุรกิจหลักของตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง

ดังนั้น แม้สถานการณ์บ้านเมือง ยังเจอปัจจัยความขัดแย้งทางด้านการเมืองกดดัน และส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่บ้าง แต่ในส่วนของบริษัทฯ **ขอยืนยันว่าผลกระทบนี้จะไม่ลุกลามมาถึงธุรกิจที่บริษัทฯ ดำเนินงานอยู่ และจะไม่กระทบต่อเป้าหมายรายได้ในปีนี้ที่ตั้งไว้ประมาณ 4,000 ล้านบาท เนื่องจากในปัจจุบันมีงานในมือ(Backlog)ประมาณ 2,500 – 2,600 ล้านบาทที่จะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้**

" ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น การลงทุนในด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของหน่วยงานต่างๆ ก็จำเป็นต้องเดินหน้าต่อไป เพราะถึงอย่างไรประเทศก็ต้องเดินไปข้างหน้า ดังนั้นจึงถือเป็นจุดแข็งของบริษัทฯ ที่งานส่วนใหญ่เกือบ 90% เป็นงานภาครัฐ ซึ่งยังคงเดินหน้าจัดประกวดราคาตามระเบียบของแต่ละหน่วยงาน ตามงบประมาณที่ขออนุมัติไว้แล้ว นอกจากนี้ การที่ภาครัฐเองก็มีความกังวลว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจอาจได้รับผลกระทบ ก็จะต้องเร่งใช้จ่ายเงินงบประมาณลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง " นายศิริพงษ์ กล่าว**

กลับมาที่เป้าหมายใหญ่ในปีนี้คือ รายได้ที่จะเติบโตถึง 4,000 ล้านบาท เรื่องนี้ดูจะไม่ใช่เรื่องยากลำบากของ AIT เลย เพราะจากการบอกเล่าของผู้บริหารถึงรายได้รวมเมื่อปี 2552 ที่ทำไว้ 3,876 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากปีก่อนซึ่งมี 3,324 ล้านบาทนั้น หากนำมาหักลบกับการรับรู้รายได้จากงานในมือ 2,600 ล้าน และเมื่อรวมกับโครงการใหม่ที่บริษัทได้มาในปีนี้ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่การขยับเพิ่มรายได้อีก 124 ล้านบาท จาก 3,876 ล้านบาทให้เป็น 4,000 ล้านบาทได้นั้นไม่ใช่ใหญ่หรือน่ากังวลนัก

" เดิมรายได้ในปี 2552 เราคาดการณ์ไว้ 3.3 พันล้าน แต่ก็สามารถทำได้ 3.8-3.9 พันล้านบาท ดังนั้น แนวโน้มของรายได้ในปี 53 จึงมีโอกาสที่จะได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้เช่นกัน และไตรมาส1/53ที่ผ่านมา ก็มีออเดอร์ใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 3 นี้ ทำให้เป้าหมายทั้งปีที่ตั้งเป้ามีความเป็นไปได้สูง ขณะเดียวกันในไตรมาส 2 นี้ ฝ่ายขายหรือฝ่ายประมูลงานของบริษัทก็กำลังเดินหน้าเข้าประมูลงานเพิ่มอีกหลายโครงการ ซึ่งทิศทางรายได้ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ย่อมส่งผลต่อกำไรในปีให้ดีขึ้น จากปีก่อนที่ทำได้ 312ล้านแน่ " **

สาเหตุที่ AIT เชื่อมั่นในความสามารถดำเนินธุรกิจของตนเองนั้น เพราะงานวางระบบ (System Integration) ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทนั้น ยังเป็นธุรกิจด้านเทเลคอม ที่มีการแข่งขันสูงระหว่างโอเปอร์เรเตอร์ผู้ให้บริการต่างๆ เช่น ดีแทค ทรูฯ เอไอเอส รวมถึง ทีโอที ทำให้อุตสาหกรรมในกลุ่มนี้มีศักยภาพมาก และมีความจำเป็นต้องขยายธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่อง ซึ่งสินค้าและบริการของบริษัทก็รองรับความต้องการในจุดนี้ ให้แก่ทั้งภาครัฐและเอกชน ทำให้ได้รับอานิสงส์ของการขยายตัวของธุรกิจเป็นไปตามอุตสาหกรรมด้วย

โดยระบบเครือข่ายสื่อสาร 3G นั้น ปัจจุบัน บริษัทเป็นซัพพลายเออร์ให้กับ ทีโอที ซึ่งได้รับใบอนุญาตแล้ว และทีโอทีก็มีโครงข่ายติดตั้งในกรุงเทพฯอยู่ ดังนั้นถ้าเกิดต่อไปทีโอทีจะขยายออกไปสู่ต่างจังหวัด จุดนี้มองว่านี่คือโอกาสของบริษัทที่จะเข้าไปขายสินค้าในส่วนนี้เพิ่มเติม**

ภาพรวม สำหรับธุรกิจด้าน Sytem Integration ของบริษัทนั้น จะเน้นรับงานในรูปแบบผู้รับเหมางานทั้งหมด ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ให้แก่ลูกค้าโดยไม่จำเป็นต้องไปแยกสินค้าสินค้าจากที่อื่น เพราะบริษัทมีสินค้าและบริการพร้อมรองรับทุกอย่าง ลูกค้าสามารถดีลกับผู้ขายได้เพียงครั้งเดียว (รายเดียว) ในแบบ

แพคเกจที่มีให้เลือก ทำให้เครือข่ายของระบบคอมพิวเตอร์นั้นคิดเป็น 50 -60%ของรายได้หลัก

ขณะที่แผนรุกงานการบริการ (Services Oriented) อย่างเต็มรูปแบบนั้น ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนงานระยะยาว 3 - 5 ปี เพื่อยกระดับบริษัทฯให้สู่ความเป็นเลิศนั้น โดย ศิริพงษ์ กล่าวว่า เพื่อลดความเสี่ยงทางธุรกิจ ไม่พึ่งพิงแต่การประมูลงานแต่อย่างเดียว

" เรามองหาอะไรที่มันมั่นคงมากขึ้น งานบริการเป็นรายได้ที่ต่อเนื่องและระยะยาว ซึ่งจะมาในรูปแบบต่างๆ ทั้งจากภาครัฐ และเอกชน อย่างไรก็ตามเราก็ยังไม่คาดหวังรายได้จากจุดนี้มากนัก " **

นอกจากนี้ บริษัทได้หันมาสนใจเข้าเจาะตลาดเคเบิ้ลทีวี โดยล่าสุดได้ร่วมมือกับสมาคมเคเบิ้ลทีวีแห่งประเทศไทยเป็นผู้ติดตั้งระบบ VDO Distribution over Satellite ซึ่งมีผู้ให้บริการกว่า 500 รายทั่วประเทศ คิดเป็นฐานสมาชิกรวมกว่า 5 ล้านหลังคาเรือน เพื่อรับเป็นผู้ติดตั้งระบบในการให้บริการด้านเทคโนโลยีทั้งหมด เพราะบริษัทมีโปรดักส์ใหม่ของ CISCO SYSTEMS INC. ซึ่งเป็นผู้นำทางด้านอุปกรณ์เครือข่าย (Networking Solutions) ในระดับโลก และเป็นพาร์ทเนอร์ที่สำคัญเข้ามารองรับลูกค้าในกลุ่มนี้ได้ โดยศิริพงษ์ มองว่า ตลาดนี้เป็นตลาดใหญ่และมีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต ซึ่งเฟสแรก AITได้ดำเนินการไปแล้วโดยขยายช่องจากเดิม 16 ช่อง เป็น 32 ช่อง มูลค่าประมาณ 30 ล้านบาท ต่อไปอยู่ระหว่างพิจารณาเฟส 2 ที่กำลังจะเกิดขึ้น

" ตลาดนี้ถือเป็นโอกาสใหญ่สำหรับที่จะเข้าไปขายระบบ การบริหารจัดการ และอุปกรณ์ต่างๆให้แก่ลูกค้า ซึ่งในอนาคตอาจช่วยให้บริษัทรับรู้รายได้จากธุรกิจดังกล่าวได้ถึง 100 ล้านบาทได้เช่นกัน "

สำหรับงานหรือโครงการอื่นๆที่บริษัทอยากเข้าไปทำเพิ่มเติมในอนาคต ศิริพงษ์ บอกว่า ยังมีงานอื่นๆมากมายรอให้เข้าศึกษาตลาด เช่น งานทะเบียนราษฎร์ งานของกระทรวงมหาดไทย งานของกรมที่ดินในการวางระบบข้อมูลทั่วประเทศ ซึ่งเฟสแรก AIT ได้มีส่วนร่วมดำเนินการไปบ้างแล้ว งานด้านการศึกษา ทั้งในโรงเรียน มหาวิทยาลัย เป็นต้น

สุดท้ายนี้เมื่อมองเห็นศักยภาพ และทิศทางการเติบโตทางธุรกิจของบริษัทแล้ว ก็ย้อนกับมามองถึงประโยชน์ของผู้ลงทุนที่ถือหุ้น AIT โดยผู้บริหารก็ให้คำตอบว่า ปีที่แล้ว AIT จ่ายปันผล 2 ครั้งรวม 3.50 บาท คิดเป็น Dividend Yield ที่สูงถึง 11% และตลอดมาบริษัทมีการจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะบริษัทไม่มีการลงทุนอะไรมากนักและไม่มีหนี้กับสถาบันการเงิน ซึ่งปีนี้ถ้าเป็นไปตามเป้า 4,000 ล้านบาท กำไรของAITก็จะมากขึ้นตามยอดขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งธุรกิจของบริษัทเป็นไปในลักษณะซื้อมาขายไป ไม่มีการสต๊อกสินค้าเก็บไว้ จึงไม่น่าห่วง ดังนั้นภาพรวมจึงยืนยันว่าบริษัทยังยึดนโยบายเดิมคือจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 40%ของกำไรสุทธิ ส่วน ราคาหุ้นที่เคลื่อนไหวอยู่บนกระดานหลักทรัพย์ ผู้บริหารAIT ย้ำว่า แม้ราคาหุ้นยังต่ำกว่าบุ๊กแวลู แต่ก็ไม่เคยคิดเข้ายุ่งเกี่ยวหรือแทรกแซงราคาหุ้นแต่อย่างใด โดยปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด และตอนนี้ก็ยังพอใจกับราคาหุ้นที่ปรับตัวไปตามปกติ โดย P/E ของAITอยู่ที่ประมาณ 13 เท่า ซึ่งยังน้อยกว่า P/E ของกลุ่มที่อยู่ที่ประมาณ 17 เท่า   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us