Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ สิงหาคม 2529








 
นิตยสารผู้จัดการ สิงหาคม 2529
กรุงไทยฟ้องเสธ.พล.-ตามใจ แค้นต้องชำระ             
 


   
search resources

ธนาคารกรุงไทย
ตามใจ ขำภโต
พล เริงประเสริฐวิทย์, พ.อ.




ในบรรดาพรรคการเมืองหลายๆ พรรคที่ชูป้ายค้านการกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีที่ชื่อว่าพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ พรรคสหประชาธิปไตยที่มีนายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ เป็นหัวหน้าพรรคดูเหมือนจะได้รับความบอบช้ำมากที่สุด ตั้งแต่ประธานที่ปรึกษาเลขาธิการพรรค ถูกธนาคารกรุงไทยแจ้งความร้องทุกข์ในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ลูกพรรคคนอื่นๆ ก็ถูกแจ้งจับในข้อหาต่างๆ กันเป็นแถว "ฟอร์มดีมีชัยไปกว่าครึ่ง" เห็นจะใช้กับสหประชาธิปไตยไม่ได้ ต้องหันมาใช้สโลแกนว่า "ฟอร์มดีนัก เลยถูกตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม"

"ผมไม่เสียใจ เพราะได้ทำไปเพื่อประเทศชาติ แต่ขอให้จำไว้วันนี้ทำผมได้วันหน้าจะได้รู้กัน"

คำพูดของพ.อ.พล เริงประเสริฐวิทย์ ประธานที่ปรึกษาพรรคสหประชาธิปไตยประกาศต่อหน้าผู้สื่อข่าวในการแถลงข่าว เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมาต่อกรณีที่ตนถูกธนาคารกรุงไทยฟ้องร่วมกับตามใจขำภโตอดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคารที่เป็นโจทก์

"ผมเป็นผู้แทนฯ วันไหนจะยื่นญัตติด่วนให้สอบสวนปลัดและรองปลัดกระทรวงการคลังทันที"อีกประโยคหนึ่งที่ พ.อ.พล เริงประเสริฐวิทย์ย้ำ

จากสองประโยคนี้ใครก็คงเดาได้ว่าศึกระหว่างคณะกรรมการธนาคารกรุงไทยชุดปัจจุบันกับ พ.อ.พล เริงประเสริฐวิทย์และตามใจ ขำภโตจะต้องเป็นศึกยืดเยื้อชนิดที่ต้องฟาดฟันกันให้บรรลัยไปข้างหนึ่งเพราะทางด้านพนัส สิมะเถียรปลัดกระทรวงการคลังและภุชงค์ เพ่งศรีรองปลัดในฐานะประธานกรรมการและกรรมการของแบงก์กรุงไทยเมื่อกล้าขึ้นไปขี่หลังเสือมีหรือจะยอมให้เสือตะปบกินเอาง่ายๆ

และใครจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำนั้นเป็นเรื่องของอนาคต เพราะทั้งพ.อ.พลและตามใจอาจจะถูกมองว่ากำลังเป็นเสือลำบากที่มีเขี้ยวเล็บคมกริบ มิหนำซ้ำยังมีอดีตผู้นำกองทัพอีกหลายคนที่ร่วมหัวอกเสือลำบากด้วยกัน

เรื่องผิดเรื่องถูกตามข้อกฎหมายก็ว่ากันไปตามเนื้อผ้า ระวังอย่าให้ถูก "เข้าใน"ว่าเป็นการกระทืบซ้ำเหยียบย่ำกันเกินไป คำคมจากกำลังภายในที่ว่า "ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามมิได้" นั้นยังใช้การได้อยู่

ย้อนกลับเข้ามาคดีความครั้งนี้กันดีกว่า เพราะถาจับประเด็นรวบๆ กันว่า ธนาคารกรุงไทยฟ้องพ.อ.พล เริงประเสริฐวิทย์และตามใจ ขำภโตซึ่งทั้งสองคนนี้เป็นผู้บริหารระดับสูงของพรรคสหประชาธิปไตยสีสันของเรื่องคงออกไปแนวการเมืองหมด

แต่โดยเหตุที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือกระทรวงการคลังผู้ถือหุ้นใหญ่ธนาคารกรุงไทย ยืนกรานหนักแน่นว่าการฟ้องสองผู้บริหารของพรรคสหประชาธิปไตยไม่เกี่ยวกับการเมือง จึงน่าจะแยกคดีของ พ.อ.พล เริงประเสริฐวิทย์กับตามใจ ขำภโต ออกจากกัน

พ.อ.พล เริงประเสริฐวิทย์ถูกบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เงินทุนสากล(บริษัทในเครือธนาคารกรุงไทย) แจ้งจับข้อหาจ่ายเช็คดอกเบี้ยเงินกู้จำนวน 13,645,300 บาทแต่ธนาคารปฏิเสธการสั่งจ่าย

"คดีของเสธ.พลนั้นมันแค่คดีเช็คเด้งธรรมดา และคุณเชื่อเหรอว่าเงินแค่นี้เสธ.พลไม่มีปัญญาจ่าย เรื่องของเรื่องเสธ.พลคงคิดว่าไหนๆ ถูกการเมืองรังแกแล้วก็เบี้ยวเสียเลย ข่าวจะได้ใหญ่ขึ้น ซึ่งพอปฏิเสธหมายเชิญตัวของกองปราบไป 2 ครั้ง ครั้งที่ 3 เจ้าหน้าที่สามารถแจ้งข้อหาและทำการจับกุม เสธ.พลก็เข้ามอบตัวและทำประกันตัวออกไปในวันเดียวกัน" นักสังเกตการณ์การเมืองวิเคราะห์ให้ฟัง

และถ้าย้อนหลังไปเมื่อเริ่มมีข่าวว่าธนาคารกรุงไทยจะฟ้องตามใจ ขำภโต กับพ.อ.พล เริงประเสริฐวิทย์ พ.อ.พลก็ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์อย่างเกรี้ยวกราดว่ากิจการของตนเป็นกิจการที่ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติและได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลมาตลอด พร้อมทั้งอวดหลักฐานที่เป็นจดหมายของชาญ มนูธรรมกับพลเอกประจวบ สุนทรางกูร รัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีในโควต้าของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มีไปถึงตามใจ ขำภโต เพื่อให้ธนาคารกรุงไทยปล่อยสินเชื่อให้กับโรงงานสับปะรดของ พ.อ.พล

ไม่ว่า พ.อ.พล เริงประเสริฐวิทย์จะแสดงความโกรธแค้นว่ารัฐบาลกลั่นแกล้งเพียงใด การแถลงข่าวของพ.อ.พลก็ตำหนิพาดพิงไปแค่สมหมาย ฮุนตระกูล รักษาการณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเท่านั้น ตัวหัวหน้ารัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ พ.อ.พล เริงประเสริฐวิทย์ไม่เคยเอ่ยถึงแม้แต่แอะเดียว

"ใครเห็นข่าวก็ต้องรู้แล้วว่าลองมีจดหมายของชาญ มนูธรรมกับพลเอกประจวบ สุนทรางกูรไปถึงตามใจ ขำภโต ก็หมายความว่าท่านนายกฯก็ต้องรับรู้และเห็นชอบด้วย อยู่ๆ เมื่อพ.อ.พล เริงประเสริฐวิทย์ไปร่วมกับพรรคสหประชาธิปไตยที่ชูธงว่าไม่ต้องการนายกรัฐมนตรีชื่อพลเอกเปรมอีก ก็โดยกรุงไทยเบรคไม่ผ่านเช็คให้แถมยังโดนฟ้องอีก มือระดับ พ.อ.พล มีหรือไม่รู้ว่าเป็นคำสั่งมาจากไหน? แต่อย่างว่ามือระดับนี้ทำอะไรต้องมีทางถอย การไม่กล่าวตำหนิพาดพิงไปถึงพลเอกเปรม อาจจะทำให้ได้ประโยชน์บางอย่างในอนาคตก็ได้…ใครจะไปรู้"นักสังเกตการณ์การเมืองรายเดิมวิเคราะห์ต่อ

สำหรับคดีของตามใจ ขำภโตนั้นธนาคารกรุงไทยเป็นผู้ยื่นเรื่องร้องทุกข์กล่าวหาตามใจ ขำภโต อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทยกับดร.วรุณ กาญจนกุญชร อดีตรองผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อสำนักงานใหญ่ ในข้อหาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

"เราได้รับตัวเลขความเสียหายที่ธนาคารได้รับจาการใช้อำนาจของนายตามใจประมาณ 2,000 ล้านบาท ความเสียหายอาจมีมากกว่านี้ถ้าได้หลักฐานมากขึ้น จะเร็วจะช้าก็ต้องแล้วแต่ธนาคารกรุงไทยจะส่งหลักฐานมาให้ "พล.ต.ต.บุญชู วังกานนท์ ผบ.กองปราบปรามให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวและย้ำว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเมือง กองปราบทำตามหน้าที่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการเมืองแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว

พนักงานสอบสวนรายหนึ่งเปิดเผยว่าจะต้องเรียกพนักงานกรุงไทยทั้งที่ทำงานอยู่และลาออกไปแล้วมาสอบสวนอีกประมาณ 40 ปากและจะสอบสวนต่อไปในเรื่องการอนุมัติสินเชื่อให้กับกลุ่มธุรกิจของสุระจันทร์ศรีชวาลา และพ.อ.พล เริงประเสริฐวิทย์ จะยังไม่พาดพิงไปถึงกลุ่มธุรกิจอื่น

"มันก็เป็นเรื่องที่น่าสงสัยเหมือนกันเพราะสมัยที่ผมอยู่แบงก์ชาติก็เคยทำหนังสือถึงกระทรวงการคลัง ว่าการดำเนินงานของกรุงไทยไม่ค่อยชอบมาพากลตั้งหลายครั้งกระทรวงการคลังซึ่งเขาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ก็ไม่เห็นทำอะไร ทำไมถึงมาฟ้องร้องกันตอนนี้"นุกูล ประจวบเหมาะ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความเห็นกับ "ผู้จัดการ"

"ผู้จัดการ" ก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมธนาคารกรุงไทยจึงเลือกสอบสวนเฉพาะการอนุมัตสินเชื่อกลุ่มธุรกิจของสุระ จันทร์ศรีชวาลาและพ.อ.พล เริงประเสริฐวิทย์เท่านั้น พ.อ.พลนั้นสงสัยน้อยหน่อยเพราะโดนแจ้งความคดีเช็คไปแล้ว

สุระ จันทร์ศรีชวาลาแม้จะเป็นที่รู้กันว่าใกล้ชิดกับตามใจ ขำภโต จนสามารถกู้เงินไปได้ก้อนโต ก็เป็นเรื่องความสัมพันธ์ในเชิงธุรกิจเช่นเดียวกับกลุ่มกิจการของสว่าง เลาหทัยหรือชวลิต ทั่งสัมพันธ์ แล้วทำไมสุระต้องติดร่างแหไปกับ พ.อ.พลด้วย?

มาได้คำตอบเอาเมื่อ "ผู้จัดการ" คิดถึงครั้งหนึ่งที่คุยกับสุระ จันทร์ศรีชวาลา ซึ่งสุระเล่าว่าตัวเขาคงสนับสนุนตามใจ ขำภโต กับพ.อ.พล เริงประเสริฐวิทย์โดยตรงไม่ได้ เพราะไม่มีสิทธิ์ออกเสียงในพื้นที่อุทัยธานีแต่เขาคือเจ้าของที่ดินกว่า 10 ไร่ย่านใจกลางเมืองอุทัยธานีที่เป็นย่านธุรกิจของจังหวัด

งานนี้สรุปว่า "คนไม่ผิด ผิดที่มีหยกติดตัว"

"ทั้งหมดที่กรุงไทยดำเนินการไปจะเห็นได้ว่าเป็นลักษณะรุกเพื่อปรามความฮึกเหิมของพรรคสหประชาธิปไตยโดยเฉพาะ 2 แกนนำของพรรคคือเสธ.พล เริงประเสริฐวิทย์และตามใจ ขำภโต ถ้าคุณเป็นคุณตามใจหากจะช่วยเหลือลูกพรรคในเรื่องเงินๆ ทองๆ อย่างเต็มที่ก็ต้องชะงักแล้ว หรือถ้าคุณเป็นคุณสุระแล้วมีข่าวแบบนี้คุณจะกล้าไปกระซิบบรรดาพ่อค้านักธุรกิจชาวอุทัยธานีที่เช่าที่ดินของคุณอยู่ว่าให้ช่วยสนับสนุนเสธ.พลกับคุณตามใจ" นักสังเกตการณ์ทางการเมืองอีกรายหนึ่งให้ความเห็น

"ผมว่าเรื่องนี้จะบอกว่าเป็นเรื่องการเมืองล้วนๆ ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะข่าวเรื่องคุณตามใจกับกลุ่มธุรกิจใหญ่ทั้ง 4 กลุ่มมันมีมานานแล้ว ตอนที่คุณตามใจเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่อยู่คณะกรรมการจะทำอะไรก็ไม่ถนัดเพราะคุณตามใจเขาคุมข้อมูลไว้หมด พอหมดวาระออกจากกรุงไทยแกก็เดินทางไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมไม่ยอมกลับเมืองไทยกลับมาตอนเลือกตั้งก็ต้องแจ้งความกันตอนนี้แหละครับ"พนักงานระดับสูงของแบงก์กรุงไทยชี้แจงกับ "ผู้จัดการ"

อย่างไรก็ตามน่าจะให้เครดิตคำพูดของเริงชัย มาระกานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ที่ถูกยืมตัวมาจากธนาคารแห่งประเทศไทยในการให้สัมภาษณ์ "ผู้จัดการ" ฉบับเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่าทางด้านลูกหนี้รายใหญ่ทั้ง 4 กลุ่มได้มีการตั้งคณะทำงานติดตามเป็นเฉพาะรายและคิดว่าการแก้ปัญหาไม่ใช่เรื่องที่สุดวิสัย หากมีการติดต่อมาเจรจากันแม้ธนาคารกรุงไทยจะเสียประโยชน์ไปบ้างหากมีการRESTRUCTURE หนี้ใหม่

และกลุ่มที่มาเจรจาขอ RESTRUCTURE หนี้ใหม่ซึ่งเรื่องกำลังอยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการธนาคารกรุงไทยก็คือกลุ่มสยามวิทยาของสุระ จันทร์ศรีชวาลาและกลุ่มศรีกรุงของสว่าง เลาหทัยและโดยวิสัยของผู้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ ไม่ว่าจะเป็นของรัฐหรือเอกชนการดำเนินการฟ้องร้องจนลูกหนี้รายใหญ่อยู่ไม่ได้นั้น ไม่มีใครเขาทำกันเพราะผู้ที่เสียหายมากที่สุดก็คือตัวธนาคารและประชาชนผู้ฝากเงิน ยกเว้นแต่พูดกันไม่รู้เรื่องจริงๆ เท่านั้น

แนวโน้มคดีความระหว่างธนาคารกรุงไทยกับแกนนำของพรรคสหประชาธิปไตย เห็นจะเป็นเรื่องที่ด่วนสรุปไม่ได้ เพราะลองเป็นเรื่องที่มีการเมืองระยะต่อไป พ.อ.พล เริงประเสริฐวิทย์จะยืนหยัดค้าน "ป๋า" ได้นานแค่ไหนในเมื่อตัวเองเคยพูดเสมอว่าเป็นลูกป๋าคนหนึ่งและท่าทีทางการเมืองของพ.อ.พลที่ผ่านมาก็มักจะ "พลิก" ในนาทีสุดท้ายจนเป็นข่าวฮือฮามาตลอด

สหประชาธิปไตยจะได้ผู้แทนเข้าสภากี่คน มีบทบาทแค่ไหนในการร่วมตั้งรัฐบาลชุดใหม่ก็เป็นตัวแปรที่สำคัญ

สำหรับคดีที่กรุงไทยให้ทนายไปร้องทุกข์กับกองปราบนั้นอย่าเพิ่งไปใส่ใจมากเลย เพราะพล.ต.ต.บุญชู วังกานนท์ท่านคงไม่รีบร้อนสอบสวนเท่าไหร่นัก งานนี้สอบพยาน 40ปากแล้วไม่ต้องรีบร้อนด้วย อีก 2 ปีค่อยสรุปสำนวนก็ไม่ถือว่าช้าเกินไป

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us