|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
มั่นคงฯทุ่ม 250ล้านบาทเศษ ซื้อที่ดินย่านประชาชื่นซอย7 พื้นที่700 ตารางวา – วิภาวดีรังสิตตรงข้ามหลักสี่พลาซ่า10ไร่ ลุยผุดคอนโดมิเนียม บีโอไอ ราคาไม่เกิน1ล้านบาท คาดเปิดขายต้นไตรมาส4ปีนี้ ยอมรับต้นทุนวัสดุก่อสร้างเริ่มปรับตัว เชื่อกลางปีผู้ประกอบการทุกรายแห่ปรับราคาขายตามต้นทุนใหม่ แย้มไม่ปรับเป้าแม้การเมืองกระทบ เชื่อแค่ระยะสั้น หากต้องปรับจริงต้องรอดูสถานการณ์ต่ออีก2เดือน แจงไตรมาสแรกยอดขาย-โอนเกินเป้า ระบุแนวโน้มไตรมา3ตลาดแข่งดุหลังหมดมาตรการภาษี
นายชูเกียรติ ตั้งมติธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายการเงิน-บัญชี บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วง1สัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทได้ซื้อและรับโอนที่ดินรอการพัฒนาโครงการใหม่เข้ามาจำนวน2 แปลง ประกอบด้วยที่ดินจำนวน10 ไร่เลียบถนนวิภาวดีรังสิตตรงข้ามห้างสรรพสินค้าหลักสี่พลาซ่า มูลค่า200ล้านบาทเศษ และที่ดิน700ตารางวา เลียบถนนประชาชื่นซอย 7 มูลค่า30-40ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนจะซื้อที่ดินใหม่เข้ามาเพิ่มอีกอย่างน้อย1-2 แปลงเพื่อพัฒนาโครงการแนวราบในอนาคต
สำหรับ ที่ดินทั้ง2แปลงดังกล่าวที่ซื้อเข้ามานี้บริษัทมีแผนจะพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียม บีโอไอ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นขอบีโอไอ และติดต่อว่าจ้างบริษัททำรายงายผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการดังกล่าว โดยในส่วนของที่ดินเลียบถนนวิภาวิดีรังสิตจำนวน10 ไร่นั้นคาดว่าจะสามารถพัฒนาเป็นโครงการอาคารชุดจำนวน1,500-2,000 ยูนิต ซึ่งโครงการนี้บริษัทจะพยายามออกแบบ และวางรูปแบบห้องชุดให้มีขนาดที่สามารถทำราคาขายต่อยูนิตไม่เกิน1ล้านบาท ซึ่งจะทำให้โครงการนี้มีมูลค่า1,500-2,000 ล้านบาท
ส่วนที่ดินย่านประชาชื่นนั้น จะพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียม บีโอไอ ราคา1ล้านบาทเช่นกัน ซึ่งที่ดินแปลงดังกล่าวคาดว่าจะสามรถพัฒนาเป็นอาคารชุดได้จำนวน100-200 ยูนิต หรือมีมูลค่าโครงการ 100-200 ล้านบาท โดยทั้ง2 โครงการนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการยื่นของ บีโอไอ และทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม คาดว่าจะสามรถเปิดขายได้ในช่วงปลายไตรมาส 3 หรือต้นไตรมาส 4 ของปีนี้
ทั้งนี้ แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาผลกระทบจากการเมืองที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคบ้างแต่ บริษัทยังคงไม่มีการปรับแผนการพัฒนาโครงการใหม่ของปีนี้ โดยจะยังคงแผนเปิดตัวโครงการใหม่รวมทั้งสิ้น 4 โครงการแบ่งเป็นโครงการแนวราบ 2 โครงการ ซึ่งในไตรมาสแรกได้เปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 1 โครงการ ส่วนโครงการที่ 2 จะเป็นโครงการเฟสต่อเนื่องโครงการเดิม และอีก 2 โครงการจะเป็นการเปิดตัวโครงการแนวสูงทั้ง 2 โครงการดังกล่าวข้างต้น
“ มั่นคงฯยังคงไม่มีแผนการปรับเป้ารายได้ในปีนี้ โดยยังคงประมาณการรายได้ทั้งปีไว้ที่ 3,000 ล้านบาท แม้ว่าจะมีปัญหาการเมืองเข้ามากระทบแต่ เชื่อว่าปัญหาการเมืองจะเกิดขึ้นระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งในช่วงไตรมาส 2 นี้ต้องรอให้การเมืองจบลงก่อน บริษัทจึงจะประเมินสถานการณ์ตลาดใหม่อีกครั้ง อย่างไรก็ตามหากการเมืองยืดเยื้อออกไปนานเกิน 3 เดือน บริษัทก็คงต้องมีการปรับเป้ารายได้ใหม่อีกครั้ง”
นายชูเกียรติ กล่าวว่า ใน่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา โดยเฉพาะปลายเดือน มี.ค. ผู้ประกอบการทุกรายมียอดขายและโอนเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ซึ่งในส่วนของ มั่นคงฯ มียอดรายได้เกินกว่าเป้าที่วางไว้ แต่ในช่วงเดือนเมษายน นี้ตลาดเงียบมาก ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะสืบเนื่องมาจาก เป็นช่วงัวนหยุดยาว และการที่ดีมานด์ถูกดูดซับไปในช่วงปลายเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามคาดว่าในช่วงเดือน พ.ค.นี้ ตลาดจะกลับมาคึกคัดและมียอดขายดีดตัวอีกครั้ง เนื่องจากจะเป็นช่วงการเร่งซื้อและโอนของลูกค้าก่อนสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ ที่มีการยืดอายุออกมาอีก2เดือน
นอกจากนี้ ในช่วงก่อนหน้ากลุ่มวัสดุก่อสร้างมีการทยอยปรับราคาวัสดุก่อสร้างขึ้นไปแล้ว โดยเฉพาะราคาเหล็กที่ปรับตัวขึ้นไปกว่า 20-25% ทำให้แนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังผู้ประกอบการจะมีการปรับราคาที่อยู่อาศัยขึ้นตามต้นทุนใหม่ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้เองผู้ประกอบการหลายๆรายก็มีการทยอยปรับขึ้นราคาขายที่อยู่อาศัยกันแล้ว คาดว่าในช่วงไตรมาส 4 จะครอบคลุมกลุ่มที่อยู่อาศัยในทุกตลาด ในขณะเดียวกันตลาดรวมจะมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นด้วย เพราะไม่มีมาตรการเข้าช่วยกระตุ้นลูกค้าเหมือนช่วงก่อนหน้าแล้ว
|
|
|
|
|