|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
โบรกฯประเมินทิศทางลงทุน ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ยังไรข้อยุติ แนะนำนักลงทุนเพิ่มการถือเงินสดเต็มตัว ไม่บุ่มบ่ามไล่ราคาหุ้น แต่ทยอยรับทีละน้อยได้ ระบุหากเกิดความรุนแรงมีสิทธิ์เห็นดัชนีร่วงต่ำกว่า 700 จุด แต่หากภาครัฐควบคุมทุกอย่างได้ มีโอกาสเห็นดัชนีรีบาวน์ขึ้นแรง ภาพรวมทั้งสัปดาห์แกว่งตัวอยู่ช่วง 736 – 784 จุด พร้อมคาดแอลทีเอฟเข้าเก็บหุ้นเพิ่ม และแนะนำมองการลงทุนในรูปแบบอื่น เช่นต่างประเทศ Set50 Futures และGold Futures ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนดีกว่า
นายจักรกริช เจริญเมธาชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ระเบิดที่สีลมว่า คงต้องแนะนำให้นักลงทุนถือเงินสด 100% เพราะประเมินว่าทางออกของสถานการณ์ทางการเมืองไทยตอนสุดท้าย ขณะนี้ดูไม่ดีมากนัก เพราะหากเกิดความรุนแรงขึ้นอีกจะทำให้ดัชนีปรับตัวลดลง
โดยมีเงื่อนไขอยู่ 2 กรณี นั่นคือ 1.หากเกิดความรุนแรงขึ้นอีก จนเกิดมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตและรัฐบาลไม่สามารถควบคุมได้ ดัชนีหุ้นจะปรับตัวลดลงมาก ซึ่งอาจลดลงต่ำกว่า 700 จุดได้เหมือนเมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ดัชนีมีการปรับตัวลงแรงมาก ขณะที่เงื่อนไขที่สอง คือ หากเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้น และมีผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตเช่นกัน แต่หากรัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แม้ดัชนีจะปรับลดลงแรง แต่ก็จะมีโอกาสปรับฟื้นขึ้นมา(รีบาวน์)เร็วได้เช่นกัน โดยมีโอกาสจะกลับไปถึง 820 จุด
ทั้งนี้ ในส่วนนักลงทุนที่ชื่นชอบการลงทุนแบบระยะยาว แนะนำว่ายังไม่ควรเข้ารีบเก็บหุ้นในตอนนี้ แต่ควรรอให้ดัชนีปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ระดับ 700 จุดก่อน จึงเข้าลงทุน เพราะมองว่าเป็นโอกาสดีในการสร้างผลตอบแทนมากกว่า ขณะที่ผู้ชื่นชอบการลงทุนในระยะสั้น ช่วงนี้มองว่าสามารถเข้าไปลงทุนเก็งกำไรได้ เพราะเมื่อดัชนีลงแรงก็จะมีโอกาสรีบาวน์ แต่ถ้าดัชนีซึมต่อเนื่องควรที่จะหลีกเลี่ยงมากกว่า
“ถ้าเกิดความรุนแรงขึ้น ก็มีโอกาสที่Setจะลดลงต่ำกว่า 700 จุด แต่ทางกลับกันหากแก้ไขทุกอย่างกลับมาได้ก็มีโอกาสได้เห็นดัชนีที่ 820 จุด แต่ถ้าสถานการณ์ยังคลุมเครือไม่มีข้อยุติในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนนี้เราอาจเห็นดัชนีเคลื่อนไหวแบบไซด์เวย์ระหว่าง 735 – 770 จุด”
ส่วนหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงนี้ แนะนำว่า ยังคงเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง นั่นคือ กลุ่มโรงแรม หรืออุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว และสายการบิน ขณะที่หุ้นในกลุ่มแบงก์เอง ก็ต้องพิจารณาด้วยเนื่องจากหากการชุมนุมยังยืดเยื้อต่อไปนาน จะมีผลกับการปล่อยสินเชื่อ เพราะเศรษฐกิจของประเทศจะหดตัว ภาคการลงทุนจะลดลงทำให้ปล่อยสินเชื่อลำบาก
สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าลงทุน มองว่ายังเป็นกลุ่มพลังงาน ที่มีปัจจัยเกี่ยวกับตลาดในต่างประเทศ เช่น PTTEP BANPU และหุ้นกลุ่มส่งออกที่มีอัตราการเติบโตดี อย่าง CPF TUF หรือการขนส่งทางทะเลอย่างTTA
อย่างไรก็ตาม ในส่วนที่มีกระแสออกมาว่าพอร์ตลงทุนของโบรกเกอร์ จะมีการปรับลดลงพอร์ตจำนวนมากเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศขณะนี้ ยอมรับว่าน่าจะเกิดขึ้น แต่ภาพรวมกับตลาดหุ้นแล้วยังเป็นส่วนเล็กน้อยของตลาด เมื่อปัจจุบันนักลงต่างประเทศเป็นผู้ลงทุนและซื่อสุทธิสูงสุด
นายกัณฑรา ลดาวัลย์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ในสัปดาห์นี้ สิ่งที่นักลงทุนควรให้ความสนใจ คือการประกาศใช้กฎหมายควบคุมสถานการณ์ของภาครัฐ โดยเฉพาะด้านรายละเอียดว่ามีการเพิ่มความเข้มงวดของมาตรการควบคุมขนาดไหน หากเกิดความรุนแรงขึ้นอีก อย่างไรก็ตามแม้ช่วงนี้ดัชนีหุ้นยังอยู่ในช่วงผันผวน และมีแนวโน้มในขาลง แต่ก็นับว่าเป็นโอกาสอันดีของผู้ลงทุนที่ต้องการวางืแผนทางด้านภาษี โดยเฉพาะกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) ในการเข้ามาเก็บหุ้นราคาถูกเพื่อทำกำไร เพราจะจากที่สอบถามมาผู้ลงทุนแบบนี้หลายราย สนใจเข้าไปลงทุนเพิ่มผ่านกองทุนเหล่านี้
“ช่วงนี้หากต้องแนะนำการลงทุน ขอย้ำว่าไม่ควรเข้าไปไล่หุ้นตอนกำลังขึ้นเพราะมีความเสี่ยง แต่ควรทยอยรับ เมื่อราคาหุ้นปรับตัวลงมาเช่นประมาณ 5% ของพอร์ตลงทุน และทั้งพอร์ตควรมีการลงทุนในหุ้นไม่เกิน 25%ของพอร์ตลงทุนทั้งหมด โดยในปีนี้เรายังเชื่อว่าดัชนีจะอยู่ที่ 850 จุดได้ ขณะที่P/E ตลาดปลายปีน่าจะอยู่ที่ 11 เท่า จากปัจจุบันที่ยังอยู่ประมาณ 14 – 5 เท่า”
นายธิติ ธาราสุข ประธานเจ้าหน้าที่ บริษัท ชาร์ตมาสเตอร์ จำกัด ให้ความเห็นด้านการลงทุนทางเทคนิคในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนเม.ย. และช่วงต้นเดือนพ.ค.ว่า ในทางเทคนิคนั้นดัชนีหุ้นไทย โอกาสปรับตัวลดลงถึง 667 จุดได้ในช่วง 3 เดือนจากนี้ ภาพรวมมองว่าดัชนีจะแกว่งตัวแบบไซด์เวย์ดาวน์ หรือผันผวนขึ้นลงไปมา แต่ลงไปในแดนลบมากขึ้น ไม่ค่อยเห็นโอกาสในการสร้างจุดHigh ใหม่ แม้จะมีการรีบาวน์ขึ้นมาบ้างในบางช่วง แต่ก็จะมีการสร้างLow ใหม่ขึ้นมาให้เห็น
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ คือการระบายพอร์ต หรือขายออกมาแต่ไม่ควรรีบปล่อยออกมาหมด ควรเป็นแบบทยอยออกมาทีละ 1 ใน 3 ของเม็ดเงินลงทุนทั้งหมด หรือแปรสภาพกลายเป็นเงินสดถือไว้เพื่อรอดูทิศทางให้ชัดเจนก่อน อีกทั้งเวลาขายควรรอดูจังหวะให้ดี เพราะอาจเกิดการขาดทุนได้ ภาพรวมคือแนะนำการลงทุนในหลักทรัพย์
สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุน ช่วงนี้แนะนำให้มองไปที่ตลาดต่างประเทศ ตราสารหนี้ในประเทศอื่นๆ เช่นไต้หวัน ยกเว้นเกาหลีใต้ เพราะให้ผลตอบแทนต่ำ ซึ่งช่วงนี้หากนำเงินบาทไปแปลงเป็นสกุลอื่นเช่น ดอลลาร์สหรัฐและเข้าลงทุนในต่างประเทศ มองว่าน่าจะสร้างผลตอบแทนให้ได้ดีกว่า
แต่สำหรับผู้ที่ยอมรับความเสี่ยงในตลาดทุนไทยได้ แนะนำให้เข้าลงทุนเก็งกำไรในตลาดอนุพันธ์ เช่น Set50 Futures หรือ Gold Futures ไว้ส่วนหนึ่ง หรือ 1 ใน 3 ของพอร์ต และที่เหลือถือเป็นเงินสดไว้ โดยมองว่า Gold Futures มีทิศทางและโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีในช่วงระยะ 2-3 เดือนนี้ หากลงทุนแบบ Short ในระยะยาว
สำหรับ บล.กสิกรไทย และบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ (26-30 เม.ย.53) โดยมองว่า ดัชนีน่าจะแกว่งตัวผันผวน โดยปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์การเมืองในประเทศ ผลประกอบการไตรมาส 1/2553 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย และการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของธปท.ในวันศุกร์
ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญ คงจะต้องติดตามความคืบหน้าของกฎหมายปฏิรูประบบสถาบันการเงินของสหรัฐฯ ผลการประชุมนโยบายดอกเบี้ยของเฟดในวันที่ 27-28 เม.ย. ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันในตลาดโลก การปรับตัวของตลาดหุ้นภูมิภาค ตลอดจนการประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2553 ของบริษัทจดทะเบียน และการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ อาทิ ตัวเลขจีดีพี (Advance) ไตรมาส 1/2553 จึงคาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 746 และ 736 จุด ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 770 และ 784 จุด ตามลำดับ
|
|
 |
|
|