เมื่อ 2 ปีก่อนครั้งที่เกิดวิกฤติการณ์สถาบันการเงินครั้งที่สอง สถานบันการเงินประเภทต่างๆ
19 แห่งถูกถอนใบอนุญาตตามนโยบายของ สมหมาย ฮุนตระกูล รมว.คลังสมัยนั้นที่บอกว่า
"สถาบันการเงินไหนไม่ดีจะปล่อยให้ล้ม " สถาบันการเงินที่ดีอยู่ทางการก็จะให้ความช่วยเหลือตามโครงการที่ออกมา
เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2527 ซึ่งภายหลังเปลี่ยนเป็นโครงการ LIFE BOAT เมื่อ
2 ปีผ่านไป แค่หมาดๆ LIFE BOAT ลำนี้แทนที่จะรอดกลับจะจมลงเสียเอง และที่เป็นเช่นนั้นก็เป็นฝีมือของบรรดาที่เรียกกันว่ามืออาชีพทั้งหลายของกระทรวงการคลัง
และของแบงก์ชาติที่ถูกส่งเข้าไปบริหาร
คนแรกที่ใช้คำว่าโครงการ LIFE BOAT กับสถาบันการเงินที่กระทรวงการคลังเข้าไปถือหุ้นใหญ่จำนวน
25 บริษัทก็คือ ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์เมื่อครั้งที่ยังทำงานที่แบงก์ชาติในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงิน
และใช้กันติดปากคู่กับคำว่า "โครงการ 4 เมษายน" (อ่านล้อมกรอบประกอบเรื่อง)
"LIFE BOAT หรือเรือช่วยชีวิตเป็นชื่อโครงการที่เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษเมื่อประมาณ
12 ปีก่อน เป็นโครงการที่ธนาคารกลางของอังกฤษรับโอนหุ้นบริษัทที่มีปัญหากลุ่มหนึ่งประมาณ
20 กว่าบริษัทเหมือนกับที่เราทำกับสถาบันการเงินกลุ่มนี้คือเราเข้าไปเป็นเรือลำใหญ่รับขึ้นมาทีเดียวเลย
และใครที่สามารถช่วยตัวเองได้ ก็สามารถลอยตัวเองออกจากโครงการไปได้"
ประโยคหนึ่งของดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ที่พูดเมื่อประมาณต้นปี 2528
การเข้าไปรับโอนหุ้นและส่งคนเข้าไปบริหารสถาบันการเงินที่มีทั้งบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์
บริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ตั้งแต่ต้นปี 2527 ตามโครงการ 4 เมษายน
ในปีแรกเป็นไปอย่างเงียบเชียบเจ้าหน้าที่ผุ้รับผิดชอบก็ออกมาแถลงเพียงว่ากำลังแบ่งแยกสถาบันการเงินในโครงการออกเป็นกลุ่มๆ
อย่าง 3 กลุ่ม แต่ละกลุ่มจะมีบริษัทแกนนำขึ้นมาเพื่อบริหารสถาบันการเงินในกลุ่มตนทั้งหมดในขั้นตอนนี้เรียกกันว่าใช้นโยบายบริหารแบบ
MANAGEMENT POOL
"นโยบายที่กำหนดให้มีการบริหารเป็นกลุ่มหรือ POOL ก็เพื่อลดค่าใช้จ่ายทางด้านการบริหาร
ทางการก็ไม่ต้องส่งคนเข้าไปมากคอยควบคุมทางด้านนโยบายและให้การช่วยเหลือเท่าที่จำเป็น
และในระหว่างที่กำลังคัดเลือกบริษัทเงินทุนเข้ามาในโครงการคุณเริงชัย มะระกานนท์ซึ่งตอนนั้นเป็นผู้อำนวยการฝ่ายกำกับฯ
สถาบันการเงินถูกย้ายไปเป็นผู้อำนวยการฝายการธนาคาร โดยเลื่อนดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการฝ่าย
ตอนนี้แหละที่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่ใหญ่มาก ยกเลิกหลักการ POOL ทั้งหมด
ให้บริษัทเงินทุนแต่ละแห่งบริหารกันเองที่เรียกว่า LIFE BOAT" ผู้อยู่ในเหตุการณ์เล่าให้
"ผู้จัดการ"ฟัง
จุดมุ่งหมายของการเปลี่ยนนโยบายเป็นแบบ LIFE BOAT ก็เพื่อให้แต่ละบริษัทที่มีพื้นฐานปัญหาต่างกัน
แยกกันดำเนินธุรกิจใครเข้มแข็งได้ก่อนก็โอนหุ้นให้เจ้าของเดิม หรือผู้ถือหุ้นรายใหม่ที่สนใจจะเข้ามาลงทุนในสถาบันการเงินเท่ากับเป็นการปล่อยออกไปจากโครงการ
บริษัทไหนยังอ่อนแอ ย่ำแย่ทางการก็จะประคองฟูมฟักต่อไปแต่ตั้งเป้าหมายว่าไม่เกิน
5 ปีต้องฟื้น
"จุดนี้ก็คือจุดแรกที่กระทรวงการคลังและแบงก์ชาติพลาด เพราะแนวคิดเดิมที่จะให้บริหารแบบ
POOL นั้นทางการจะจ้างมืออาชีพเข้ามา ส่วนคนของทางการจะคอยควบคุมดูแล ซึ่งถ้ามีแค่
3 กลุ่มก็ไม่ต้องใช้คนมากมายนัก แต่พอแตกตัวไปเป็น 25 บริษัทต่างคนต่างบริหารจะเอาเงินที่ไหนไปจ้างนักบริหารมืออาชีพเข้ามา
หรือถึงมีเงินจะไปเอาคนที่ไหน" อดีตผู้บริหารบริษัทเงินทุนในโครงการวิเคราะห์
เมื่อหามืออาชีพข้างนอกไม่ได้ กระทรวงการคลังและแบงก์ชาติก็ตัดสินใจส่งข้าราชการในสังกัดของตนเข้าไปเป็นกรรมการหรือผู้บริหารของสถาบันการเงินในโครงการ
"การตัดสินใจแบบนี้มันสะท้อนให้เห็นถึงทัศนะแบบเก่าๆ ของข้าราชการไทยคือคิดเสมอว่าพวกเอกชนพวกพ่อค้านี่ไว้ใจไม่ได้
แทนที่จะดึงเอาพวกเจ้าหนี้หรือผู้ถือตั๋วรายใหญๆ เข้ามาบริหารซึ่งเขาจะต้องดูแลผลประโยชน์ของเขาเต็มที่อยู่แล้วทางการคอยดูแลและให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องก็พอแล้ว
ส่งข้าราชการประจำเข้าไปอาจจะซื่อสัตย์จริงแต่ไม่รู้เรื่องธุรกิจผลออกมามันก็มีแต่พังกับพัง"
อดีตผู้บริหารบริษัทเงินทุนรายเดิมให้ความเห็นต่อ
เสรี ทรัพย์เจริญอดีตผู้บริหารบริษัทราชาเงินทุนเคยพูดเตือนไว้ใน "ผู้จัดการ"
ตั้งแต่ฉบับเดือนมกราคม 2528 ว่า "ต่อไปนี้ใครจะเป็นคนกำกับตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่แบงก์ชาติล่ะ…อะไรผิดอะไรถูกจะทราบได้อย่างไร
เมื่อผู้มีอำนาจตรวจสอบกับผู้ลงมือกระทำเป็นคนๆ เดียวกัน"
แม้จะมีเสียงคัดค้านหนาหูกระทรวงการคลังกับธนาคารแห่งประเทศไทยก็ไม่ฟังข้าราชการกระทรวงการคลัง
พนักงานของธนาคารแห่งประเทศไทยก็เดินแถวเข้าไปกินตำแหน่งกรรมการของสถาบันการเงินในโครงการร่วมๆ
100 คน (ดูล้อมกรอบประกอบเรื่อง) รับทั้งเบี้ยประชุมกรรมการ รับทั้งเงินเดือนกรรมการและรับทั้งเงินเดือนข้าราชการ
"ผมว่าไม่ใช่เปลี่ยนตัวผู้อำนวยการฝ่ายฯจากคุณเริงชัยมาเป็นดร.ศุภชัยแล้วนโยบายเปลี่ยน
คุณอย่าลืมว่าสถาบันการเงินที่เข้ามาในโครงการนั้นไม่ใช่ว่าใครอยากจะเข้าก็ได้
ก่อนที่ทางการเขาจะรับเข้ามา เขาต้องให้ผู้บริหารเดิมแสดงฐานะทั้งหนี้สินและทรัพย์สินออกมาให้ชัดเจนมีการกลั่นกรองกันพอสมครว
แต่พอรับเข้ามาแล้ว ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบละเอียดจริงๆ ก็พบว่าหนี้สินมันปูดขึ้นมาจากตอนแรกอีกเยอะ
ทรัพย์สินบางรายการก็ไม่มีค่า มีราคาต่ำกว่าที่ประเมินมาตอนขอเข้าโครงการตั้งมากมาย
ขืนเข้าไปบริษัทประเภทนี้ก็ไปฉุดบริษัทดีๆ เขาเสียไปด้วย" ลูกน้องเก่าของดร.ศุภชัย
พานิชภักดิ์เปิดเผยกับ "ผู้จัดการ"
จะเป็นเพราะความเจ็บใจหรือหมดความเชื่อในกลุ่มผู้บริหารเดิมของสถาบันการเงินในโครงการก็แล้วแต่
นโยบายของทางการที่ตามมาหลังนโยบาย LIFE BOAT ก็คือนโยบายที่เรียกกันว่า
"ล้างครัวให้สะอาด" สถาบันการเงินที่มีคนของทางการเข้าไปยึดหัวหาดเรียบร้อยแล้ว
ก็เริ่มดำเนินการเรียกเก็บหนี้สินทั้งทางด้านลูกค้าและผู้บริหารเดิมโดยแทบจะหยุดทำธุรกิจประเภทอื่น
"คือเขาเห็นว่าครัวมันสกปรกเพราะผู้บริหารเดิมมันทุจริต ซึ่งผิดกับทัศนะเดิมที่มองว่าพวกนี้เป็นคนดี
ทางการจำเป็นต้องเข้าไปช่วยเหลือ ก็มีการปลดผู้บริหารเดิมออกเป็นการใหญ่
ทีนี้ทรัพย์สินอย่างหนึ่งที่สำคัญมากของสถาบันการเงิน 25 แห่งนี้ก็คือเงินสินเชื่อที่ปล่อยให้ลูกค้าไปประมาณ
12,000-15,000 ล้านบาท (ต้นปี 2528) โดยผู้บริหารเดิม เมื่อคนของทางการเข้ามาไม่รู้จักใครก็ทวงหนี้ดะไปหมด
วงเงินกู้ก็ไม่ให้ ลูกหนี้ก็เลยไม่ยอมชำระ เป็นยุคที่ลูกหนี้ไม่กลัวเจ้าหนี้ฟ้องได้ฟ้องไป
ซึ่งก็ฟ้องได้ไม่กี่รายที่มีหลักฐานชัดเจน" ทนายรายหนึ่งที่เชี่ยวในแวดวงธุรกิจเล่าให้ฟัง
เทคนิคอย่างง่ายๆ ที่ลูกหนี้ไม่กลัวเจ้าหนี้ที่เป็นคนของทางการก็คือ ผู้บริหารเดิมของสถาบันในโครงการบางแห่งมีลายเซ็นหลายแบบ
อนุมัติให้สินเชื่อก็แบบหนึ่ง ลงนามทำสัญญานิติกรรมอื่นก็อีกแบบหนึ่ง ลูกหนี้รายไหนถูกฟ้อง
ผู้บริหารเดิม (ที่แค้นอยู่แล้ว) ให้การว่าลายเซ็นที่อนุมัติสินเชื่อรายนั้นไม่ใช่ของตน
ลูกหนี้ที่ว่านี้ไม่เคยเห็นหน้าไม่เคยมากู้เงินกับบริษัทของตนมาก่อนเลย เผลอๆ
เจ้าหน้าที่ของทางการจะถูกฟ้องกลับฐานปลอมแปลงเอกสารเหมือนอย่างดุษฎี สวัสดิ-ชูโตเคยโดนมาแล้สมัยที่เป็นประธานบริษัทเงินทุนแห่งหนึ่ง
"โธ่คุณ…เอาข้าราชการมาบริหารธุรกิจมันจะได้ผลได้ยังไง และนี่ไม่ใช่ธุรกิจธรรมดามันเป็นเรื่องของการบริหารเงินที่ต้องใช้มืออาชีพ
เอาข้าราชการที่ไม่ได้รับการฝึกฝนอบรมมาก่อนมาทำก็เลิกคิดได้เรื่องที่จะมีกำไร
พวกนี้ไม่มีความรู้หนึ่งไม่มี SENSE OF BELONGING อีกหนึ่งเขาให้มาทำก็มาทำตามหน้าที่รับมอบหมายอะไรที่เกินเลยกว่านั้นเขาก็ไม่ยอมทำแล้วแม้จะเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อบริษัท"
พนักงานระดับสูงของแบงก์พาณิชย์แห่งหนึ่งให้ความเห็น
ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์เองก็รู้ว่าการส่งคนของทางการเข้าไป นอกจากไม่ได้แก้ปัญหาแล้วยังไปเพิ่มปัญหาก็ได้เรียกร้องอยู่ตลอดเวลาให้คนของทางการถอนตัวออกมา
แต่เสียงของผู้อำนวยการฝ่ายคนหนึ่งของแบงก์ชาติมันไม่ดังพอจึงไม่มีใครฟัง
"คุณศุภชัย พานิชภักดิ์ก่อนลาออกได้ออกคำสั่งอยู่ 3-4 เรื่องที่จะถูกข้าราชการในบริษัทเงินทุน
25 แห่งรุมกระทืบ อย่างแรกก็คือให้ลดเบี้ยประชุมลงตามระเบียบรัฐวิสาหกิจซึ่งได้แค่
150 บาทต่อครั้ง ยกเว้นระดับอธิบดีขึ้นไปได้ 200 บาท เรื่องที่สองให้งดการเบิกค่ารับรองเพราะเห็นว่าการที่เข้าไปเป็นการเข้าไปช่วยเหลือ
เรื่องที่สามก็คือขอให้กรรมการที่เป็นคนของทางการทุกบริษัทรับเงินเดือนเท่ากัน
และเรื่องสุดท้ายขอให้กลับสังกัดเดิม ใครที่ยังมีงานค้างอยู่ก็ให้เซ็นใบลาออกทิ้งไว้ก่อน
หมดงานเมื่อไหร่จะได้กลับทันที ก็ไม่มีใครฟัง" คนใกล้ชิดดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์เล่าให้ฟัง
เมื่อเรื่องราวของสถาบันการเงินในโครงการ มีลำดับความเป็นมาตามที่ "ผู้จัดการ"
เสนอไปนั้น ผลก็คือในช่วงตั้งแต่ต้นปี 2529 เป็นต้นมา คำถามของนักข่าวที่ว่า
"บริษัทเงินทุนในโครงการ LIFE BOAT" ไปถึงไหนแล้ว เป็นคำถามที่คนแบงก์ชาติหลายคนอึดอัดเป็นที่สุด
ข่าวคราวเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงไม่มีใครอยากจะพูดออกมา
จนกระทั่งหลังการยุบสภาผู้แทนฯ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2529 สมหมาย ฮุนตระกูลยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่าตนจะไม่กลับมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกเพราะได้แก้ไขปัญหาด้านการเงินการคลังไปมากแล้ว
เหลืออยู่เรื่องเดียวก็คือสถาบันการเงินในโครงการ 25 บริษัท จะพยายามดำเนินการให้เสร็จภายใน
3 เดือนที่รักษาการณ์อยู่ ก็ทำให้สาธารณชนพุ่งความสนใจมาที่เรื่องนี้อีกครั้ง
"คุณสมหมายต้องพูดอย่างนั้น เพราะจะว่าไปนโยบายนี้เป็นนโยบายของคุณสมหมาย
เพราะนโยบายของแบงก์ชาติเดิมก็คือตั้งสถาบันประกันเงินฝาก และก็น่าเชื่อว่าตอนที่คุณสมหมายบอกว่าจะเคลียร์เรื่องสถาบันการเงิน
25 แหงนี้ให้เรียบร้อยภายใน 3 เดือน ท่านก็คงไม่ทราบว่าเรื่องราวบานปลายไปถึงไหนแล้วเนื่องจากไม่มีใครกล้ารายงาน"
อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของแบงก์ชาติเล่าให้ฟัง
ผลก็คือคนของกระทรวงการคลังและแบงก์ชาติต้องทำงานกันหัวปั่นเพื่อรวบรวมตัวเลข
ทำรายงานประเมินผลส่งให้สมหมาย ฮุนตระกูล ที่ว่าต้องหัวปั่นนั้นเพราะเดิมทีต่างคนต่างทำ
ภาพรวมๆ เป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ พอต้องรวบรวมทีก็เหนื่อยหน่อย
"ก็มีข่าวออกมาเป็นระยะๆ หลังจากนั้นว่ามีบริษัทเงินทุนในโครงการเท่านั้นเท่านี้บริษัทแข็งแรงพอที่จะออกจากการดูแลของทางการได้แล้ว
กำลังจะขายหุ้นคืนให้กับผู้บริหารเดิมบ้างหล่ะ ผมถามคุณว่าบริษัทยังขาดทุนอยู่โทนโท่
ขนาดประชาชนเชื่อถือเพราะทางการถือหุ้นอยู่ยังเข็นไม่ค่อยไหว คุณเป็นเจ้าของเก่าคุณจะรับคืนมาไหม"
อดีตผู้บริหารบริษัทเงินทุนในโครงการอีกรายให้ความเห็น
วันที่ 23 กรกฎาคม 2529 หลังการประชุมครม.นัดสุดท้ายสำหรับรัฐบาลรักษาการณ์เพียงวันเดียว
สื่อมวลชนทุกแขนงก็ไปแออัดกันในห้องประชุมกระทรวงการคลังเพื่อฟังการสรุปฟลของทากงารในการแก้ปัญหาสถาบันการเงิน
ก็ผิดหวังไปตามๆ กันเพราะแทนที่สมหมาย ฮุนตระกูลจะเป็นผู้แถลงเองกลับส่งตัวแทนของกระทรวงการคลังและแบงก์ชาติคือพนัส
สิมะเสถียร ภุชงค์ เพ่งศรี นิพัทธื พุกกะณะสุต กำจร สถิรกุล และจรุง หนูขวัญร่วมกันแถลง
ประเด็นของการแถลงก็คือสถาบันการเงินในโครงการได้รับความเชื่อมั่นมากขึ้นเพราะมีเงินฝากเพิ่มขึ้น
และทางการได้ให้ความช่วยเหลือเป็นเงินเพิ่มทุน 1,750 ล้านบาท เงินกู้ซอฟท์
โลนจากแบงก์ชาติ 3,200 ล้านบาท ยอดกู้คงค้างจากกองทุนเสริมสภาพคล่องของธนาคารกรุงไทยอีก
2,700 ล้านบาท และเตรียมที่จะเพิ่มทุนในบริษัทเงินทุนอีก 4 แห่งซึ่งคาดว่าจะใช้เงินประมาณ
1,500 ล้านบาท ทั้งหมดจะไม่เกินวงเงิน 8,800 ล้านบาท อย่างไรก็ตามบริษัททุกแห่งยังขาดทุนอยู่เพราะบัญชีเดิมมีการตกแต่งโดยผู้บริหารชุดเก่า
เมื่อทำตัวเลขให้ตรงความเป็นจริงจึงมีผลขาดทุนมาก
ฟังดูก็เหมือนถอดแบบมาจากคำแถลงเรื่องธนาคารสยามยังไงก็ยังงั้น
ท่าทีของทางการต่อไป และอนาคตของสถาบันการเงินในโครงการก็คงมั่นคงแข็งแรงตามที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการคลังและแบงก์ชาติแถลง
เพราะเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าถ้าเกิดมีบริษัทเงินทุนในโครงการไปไม่ไหวจะมีการเพิกคอนใบอนุญาตหรือไม่
ซึ่งนิพัทธ์ พุกกะณะสุต รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจและการคลังตอบอย่างชัดเจนว่า
"อย่าเพิ่งบอกว่าทำไม่ไหว มันไปไหวทุกบริษัท ขึ้นอยู่ว่าเราจะต้องใช้เงินหรือมาตรการต่างๆ
มากมายขนาดไหน"
"ผู้จัดการ" เชื่ออย่างที่นิพัทธ์ พุกกะณะสุตพูดว่าบริษัทไหนมันก็ไปได้ทั้งนั้นถ้าอัดฉีดเงินเข้าไปเรื่อยๆ
ส่วนมาตรการแก้ไข คงไม่ต้องออกมามากมายนักหรอกครับ
หาวิธีการมาตรการดึงข้าราชการของกระทรวงการคลังและแบงก์ชาติ ที่ต้องเสียสละเวลาในหน้าที่การงานออกไปนั่งเป็นกรรมการบริษัทเงินทุนในโครงการ
25 แห่งกลับสังกัดเดิมให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ภายในระยะ 1-2 ปีก็คือได้ว่าแก้ปัญหาได้เกินครึ่งแล้ว
เร็วๆ หน่อยนะครับ เพราะได้ยินข่าวมาว่าข้าราชการโดยเฉพาะของกระทรวงการคลังระดับซี.5-6
เกิดค่านิยมใหม่ขึ้นแล้วว่า
ใครไม่ได้เป็นกรรมการสถาบันการเงินในโครงการ..คนๆ นั้นไม่เท่.