อัตชีวประวัติของผู้ยิ่งใหญ่ มักจะถูกแต่งเติมสีสันจนกลายเป็น "สิ่งพิเศษ"
และ "เหลือเชื่อ"
มันก็แค่นิยายที่อ่านเพลินๆ
แต่อัตชีวประวัติของกิตติ ดำเนินชาญวนิชย์นั้นธรรมดาสามัญเหลือเกิน เพราะเป็นชีวิตของคนธรรมดา
พ่อของเขา เตียเท่งซ้งเป็นคนจีนอพยพหนีความยากแค้นจากซัวเถามา ทำงานหากินคร้งแรกที่
อ.บางปะกง ฉะเชิงเทรา เปิดร้านขายของชำเล็กๆ ชายทุ่งนา
กิมเที๊ยะ เกิดที่นี่ เมื่อเขาลืมตามองโลก เขาก็เห็นทุ่งนาเป็นสิ่งแรกๆ
ต่อมาไม่นานบิดาของเขาก็สามารถเก็บหอมรอมริบพอจะมีเงินก้อน จึงไปขอเช่าโรงสีขนาดเล็กมาดำเนินกิจการ
กิตติบอกว่าเป็นโรงสีขนาดเล็กมากๆ ประมาณ 10 เกวียนเท่านั้น เมื่อเท่งซ้งเสียชีวิต
เขาก็ต้องดำเนินกิจการต่อ
กิตติ ถ่อเรือผ่านทุ่งนาซึ่งในยามน้ำหลากพื้นนาแถวนั้นจะอยู่ในน้ำต้นข้าวลอยคอไปรับซื้อข้าวเปลือกมาสีขาย
จากวันเวลาธรรมดาและการต่อสู้แบบธรรมดา เขาสามารถเก็บเงินได้มาก จากที่ขนถ่ายสินค้า-ข้าวสารมาขายถึงกรุงเทพ
ทำให้เรียนรู้ชีวิตของ "หยง" หรือนายหน้าขายข้าวจากโรงสีไปยังผู้ส่งออก
จะผิดแผกก็ตรงที่กิตติ ดำเนินชาญวนิชย์มีความพยายามเป็นเลิศ และมัธยัสถ์อย่างยิ่ง
จากการเช่าโรงสีเขาทำจนมาเปิดโรงสีขนาดเล็กของตนเอง และขยายตัวไปเรื่อยๆ
จนมาถึงทุกวันนี้
กิตติและครอบครัวไม่มีบ้าน เขาอาศัยในที่ทำงานเป็นบ้านตั้งแต่ที่โรงสีเล็กๆ
มาจนถึงตึกแถว 4 ชั้นที่ทรงวาดและตึก 14 ชั้นถนนสาธร
เพราะชีวิตของเขาคืองาน
ถึงแม้ว่าวันนี้กิตติ จะมีรถเบนซ์ถึง 3 คัน แต่ชีวิตจริงๆ ของเขาไม่ได้หรูหราฟุ่มเฟือยเลย
"บริษัทเรามีแขกจากต่างประเทศมาบ่อยมาก จำเป็นต้องอำนวยความสะดวกเขาเราเองก็ต้องสร้างภาพพจน์ที่ดีให้เขาเห็น"
คนสุ่นหั่วเซ้งคนหนึ่งไขปัญหาที่มาของรถเบนซ์ 3 คน
ภรรยาของเขาก็คนบ้านนอก พื้นเพเดิมที่ฉะเชิงเทราเช่นเดียวกันสุรางค์ ได้ชื่อว่าเป็นคนฉลาดและนักสร้างคนหนึ่ง
จนบางครั้งคู่แข่งของสุ่นหั่วเซ้งมักจะยกย่องเธอมากกว่ากิตติ "เขาได้ดิบได้ดีเพราะเมีย"
กิตติ-สุรางค์มีลูกชาย-ลูกสาว 5 คน 2 คนแรกเป็นผู้หญิง พิสมัย และศิริวรรณ
ลูกผู้หญิงทั้งสองคนทำงานในธุรกิจครอบครัวตั้งแต่ยังเล็กๆ จนเป็นคนคล่องงานมาก
และว่ากันว่าฝีไม้ลายมือของเธอทั้งสองไม่แพ้ผู้ชายอกสามศอกแม้ว่าจะไม่ได้ร่ำเรียนมากมายนัก
(ระยะแรกๆ ไม่ได้ร่ำเรียนระดับอุดมศึกษา ต่อมามีเวลาว่างก็เรียนที่รามคำแหง)
ลูกชายคนแรก คือโยธิน ดำเนินชาญวนิชย์ หนุ่มน้อยวัย 26 ปี จบปริญญาวิศวกรรมศาสตร์
จากจุฬา ถือได้ว่าเป็นลูกคนแรกที่ได้ร่ำเรียนในระดับดีผู้เป็นพ่อเคยหมายมั่นปั้นมือจะให้เรียนมากๆ
โดยส่งไปศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศสศูนย์กลางของพ่อค้าคนกลางสินค้าคอมมอดิตี้ของโลก
แต่เอาเข้าจริงกิจการค้าเติบโตเร็วกว่าที่คิดโยธิน จึงได้แต่เรียนด้านภาษาเพิ่มเติมเท่านั้น
เวลาส่วนใหญ่ที่เขาอยู่ที่ฝรั่งเศสก็คือการสร้างสำนักงานตัวแทนของสุ่นหั่วเซ้งขึ้นในเขตคู่แข่งขัน
เวลานี้โยธินต้องทำงานหนักเพิ่มมากขึ้น พร้อมๆ กับอายุกิตติมากขึ้น ปัจจัยอีกประการหนึ่งที่ผลักดันให้โยธินต้องทำงานหนักตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น
ก็คือการที่แม่ของเขาต้องล้มป่วยอย่างกระทันหันเมื่อกลางปี 2528
เพราะการล้มป่วยเป็นอัมพาตของสุรางค์นั่นเอง ที่กิตติต้องล้มแผนที่จีนแผ่นดินใหญ่และโยธินต้องดูแลกิจการด้านการผลิตที่
อ.บางปะกง สำหรับโยธินแล้ว ถือได้ว่าไม่หนักหนาอะไร เนื่องจากเขามีความรู้ด้านวิศวกรรม
ไม่เพียงแต่เท่านั้นโยธินยังต้องเดินทางออกนอกประเทศเป็นว่าเล่นดูแลกิจการสาขาและตัวแทน
"ผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำหน้าที่แทนผมในอนาคตได้ดีหรือไม่ ยังต้องดูกันต่อไปแต่ถ้าดูบุคลิกของเขาแล้วโยธินเป็นคนที่เข้ากับคนง่าย"
กิตติพูดถึงลูกชายของเขากับ "ผู้จัดการ"
โยธินเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างมากๆ คนหนึ่งและมีสีสันของฝรั่งเศสติดมาเล็กน้อย
เขานั่งรถซีตรอง และเพิ่มจะตัดสินใจซื้อเครื่องสำหรับติดตั้งในโรงสีข้าวนึ่งคุณภาพดีจากฝรั่งเศสของ
OMESA มาเครื่องหนึ่งมูลค่าหลายสิบล้านบาท
ส่วนลูกชาย 2 คนสุดท้ายพูลสมบัติ และไตรรัตน์นั้นมีการศึกษาในระดับดีทั้งคู่คนแรกจบบัญชี
จุฬา ขณะนี้กำลังเดินทางไปเรียนเอ็มบีเอที่สหรัฐอเมริกา ส่วนไตรรัตน์นั้นถือได้ว่าได้ร่ำเรียนในต่างประเทศมานาน
ขณะนี้เริ่มงานที่สุ่นหั่วเซ้งในบางปะกง
อนาคตของโยธินในขณะนี้ถือได้ว่าเป็นอนาคตของสุ่นหั่วเซ้งอย่างแท้จริง แต่คำตอบยังหาไม่ได้ในห้วงเวลานี้แม้แต่กิตติ
ดำเนินชาญวนิชย์เอง!
กิตติมีความฝันอยู่ที่ฉะเชิงเทรามาก
เขามีธุรกิจปักฐานที่นั่นจนเรียกได้ว่า เป็นนักธุรกิจใหญ่ที่สุดของจังหวัด
เลยทีเดียว
ที่ อ.พนมสารคาม เขาซื้อที่มีเนินเขา 3 ลูก ซึ่งซินแซบอกว่า ทำฮวงซุ้ยดีที่สุด
อยู่ในป่ายูคาลิปตัสของเขา
"ผมเป็นคนฉะเชิงเทราผมต้องอยู่ที่นี่" กิตติ ดำเนินชาญวนิชย์
กล่าว.