ธนาคารปารีบาส์ เป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
และมีสำนักงานสาขาอยู่ในประเทศต่างๆ อีกหลายประเทศ ใกล้ประเทศไทยที่สุดอยู่ที่สิงคโปร์
โดยมีเพียรีฟ-เลอเจิน (Pierre-Yves Legeune) และเทียวคิ้มเม้ง (Teow Kim
Meng) เป็นผู้มีอำนาจเต็ม
มาบุญครองฯมาเกี่ยวข้องกับปารีบาส์เพราะการชักนำของทวีป ชาติ ธำรงผู้คร่ำหวอดวงการธนาคารต่างประเทศ
และเคยเป็นที่ปรึกษาทางการเงินของมาบุญครอง
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2526 มาบุญครองอบพืชและไซโลได้ทำสัญญากู้เงินจากธนาคารปารีบาส์สาขาสิงคโปร์ในวงเงิน
3 ล้านเหรียญสหรัฐ กำหนดจ่ายคืนภายใน 3 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7/8 หรือ
0.875 ต่อปี (ในกรณีล่วงเลยกำหนดเวลาชำระคืนให้คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ
1.75 บวกด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เสนอระหว่างธนาคารในสิงคโปร์ที่เรียกว่า SIBOR)
สัญญาเงินกู้ฉบับนี้ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เพียงแต่ห้ามมาบุญครองฯก่อภาวะหนี้สินใดๆ
(Negative Pledge) เช่นการจำนอง จำนำ ค้ำประกันทรัพย์สินหรือสินทรัพย์ รายได้หรือสิทธิใดๆ
เพื่อประกันหนี้วงเงินกู้ใดๆ โดยมิได้รับความยินยอมจากธนาคารปารีบาส์
หลังจากทำสัญญาเพียง 6 วันมาบุญครองฯก็รีบเบิกเงินก้อนดังกล่าวทั้งหมดเพียงครั้งเดียว
โดยส่งเงินเข้าบัญชีของตนที่ธนาคารเชสแมนฮัตตันสาขากรุงเทพผ่านธนาคารเชสแมนฮัตตัน
นครนิวยอร์ค สหรัฐ
เมื่อมาบุญครองฯเริ่มมีปัญหาขาดเงินทุนหมุนเวียนสำหรับโครงการมาบุญครองคอมเพล็กซ์
เดือนธันวาคม 2528 จึงได้มีการเจรจาเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระหนี้จากการชำระครั้งเดียวมาเป็นชำระคืน
3 งวดๆ ละ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ (รวมดอกเบี้ย) โดยกำหนดว่างวดที่ 1 ในวันที่
19 กุมภาพันธ์ 2529 งวดที่ 2 ในวันที่ 21 เมษายน 2529 และงวดที่ 3 ในวันที่
23 มิถุนายน 2529
ครั้งถึงกำหนดมาบุญครองฯชำระเพียงเงินต้นจำนวน 5 แสนเหรียญสหรัฐสำหรับงวดแรกเท่านั้น
ส่วนดอกเบี้ยไม่ต้องพูดถึง
ปารีบาส์ได้เทเล็กซ์ทวงถาม แต่มาบุญครองฯเฉย
ประกอบกับมาบุญครองฯโดนกระหน่ำด้วยข่าวร้ายในช่วงนั้น ปารีบาส์ประเมินสถานการณ์ว่าท่าทางจะไม่ค่อยดี
เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2529 จึงส่งเทเล็กซ์ขอให้มาบุญครองฯชำระเงินกู้ทั้งต้นทั้งดอกเบี้ยที่เหลือทั้งหมดก่อนกำหนดภายใน
14 วัน (ตามสัญญา) ในฐานผิดสัญญากู้เงิน
ระหว่างรอปฏิกิริยาจากมาบุญครองฯอยู่นั้น ปารีบาส์สืบทราบว่า มาบุญครองฯได้ยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนจำนองทรัพย์สินอันได้แก่อาคารศูนย์การค้ามาบุญครองฯ
จำนวน 33 ชั้น ซึ่งอยู่เลขที่ 444 ถนนพญาไท เขตปทุมวัน ต่อเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตปทุมวันเพื่อประกันหนี้สินของมาบุญครองฯที่มีต่อธนาคารไทยพาณิชย์
และธนาคารกสิกรไทยรวมเป็นเงิน 730 ล้านบาท (ตามแผน RESTRUCTURE) ซึ่งอยู่ในระหว่างการประกาศให้มีการคัดค้าน
(ตามระเบียบ) และจะครบกำหนดในวันที่ 13 มิถุนายน 2529
เมื่อเจอเข้ารูปนี้ปารีบาส์จึงร้อนใจอย่างยิ่ง
ปารีบาส์ตัดสินใจดำเนินคดีฟ้องร้องมาบุญครองฯทันที
"การที่มาบุญครองฯได้ยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมจำนองดังกล่าวนั้น
เป็นการแสดงให้เห็นว่ามีเจตนากระทำผิดสัญญา และยังตั้งใจจะทำการฉ้อฉลเพื่อให้ธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารกสิกรไทยได้เปรียบปารีบาส์ในอันที่จะชำระหนี้เป็นพิเศษกว่าปารีบาส์
เพราะก่อนฟ้องคดีนี้ ธนาคารทั้งสองดังกล่าวต่างมีฐานะเป็นเจ้าหนี้เช่นเดียวกัน"
ปารีบาส์ได้อ้างต่อศาล
ธนาคารปารีบาส์ยื่นฟ้องมาบุญครองฯเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2529 ในฐานผิดสัญญาเงินกู้
ขอให้ศาลบังคับมาบุญครองฯชำระเงินกู้ หนึ่ง-เงินต้น 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐ
สอง-ดอกเบี้ย 77,635.46 เหรียญสหรัฐ ทั้งสองรายการคิดเป็นเงินไทย 68,152,618.56
บาท (อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันฟ้อง 1 เหรียญสหรัฐเท่ากับ 26.44 บาท) เมื่อรวมค่าธรรมเนียมต่างๆ
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 72,052,680.30 บาท
ขณะเดียวกันปารีบาส์ได้ขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน และมีคำสั่งห้ามชั่วคราวมิให้มาบุญครองฯจดทะเบียนจำนองศูนย์การค้าให้แก่บุคคลอื่น
ทั้งขอให้ศาลมีคำสั่งอายัดเงินที่จำเลยจะได้รับจากผู้เช่าร้านในศูนย์การค้ามาบุญครองฯทั้งหมดด้วย
ในวันเดียวกัน เวลา 16.00 น. ศาลได้ขึ้นบัลลังก์พิจารณาตามคำร้อง
"ตามสัญญากู้เงินกับธนาคารปารีบาส์ได้ระบุว่า มาบุญครองฯจะไม่นำทรัพย์สินไปจดจำนองกับเจ้าหนี้รายอื่น
และปารีบาส์นำสืบได้ว่ามาบุญครองฯกำลังจะนำศูนย์การค้าไปจดทะเบียนจำนองไว้กับธนาคาร
2 แห่ง และเจ้าหน้าที่ได้ประกาศให้บุคคลทั่วไปทราบ ซึ่งจะครบกำหนดประกาศวันที่
14 มิถุนายน 2529 หากมาบุญครองฯจดทะเบียนจำนองทรัพย์สินดังกล่าวย่อมเป็นเหตุให้ปารีบาส์เสียเปรียบในการที่จะบังคับชำระหนี้จากมาบุญครองฯ
คำร้องของปารีบาส์จึงมีเหตุผลสมควรเพียงพอ" ผู้เข้ารับฟังการพิจารณาคดีวันนี้แปลเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย
ถึงเหตุผลที่ศาสสั่งห้ามมาบุญครองฯทำนิติกรรมจดทะเบียนจำนองอาคารศูนย์การค้าไว้ชั่วคราว
แต่อย่างไรก็ตามศาลฯเห็นว่ามาบุญครองฯเป็นหนี้ปารีบาส์อยู่เพียง 72 ล้าน
ส่วนตึกศูนย์การค้าที่จะจำนองนั้นมีมูลค่าประมาณ 730 ล้านบาทดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะห้ามมิให้มาบุญครองฯเพิ่มภาระการจำนองทรัพย์สินอื่น
คือไซโลอบพืชซึ่งติดจำนองไว้กับเจ้าหนี้อื่นอีก 6 รายในวงเงินประมาณ 100
ล้านบาท และไม่มีความจำเป็นต้องห้ามมาบุญครองฯโอนสิทธิการเช่าร้านต่างๆ ในศูนย์การค้าและไม่จำเป็นต้องสั่งอายัดเงินค่าเช่าซึ่งผู้เช่าจะต้องชำระให้แก่จำเลย
ต่อมามาบุญครองอบพืชและไซโลได้ยื่นคำให้การสู้คดีขณะที่เขียนต้นฉบับ (23
กรกฎาคม 2529) ศาลยังมิได้นัดไต่สวนแต่อย่างใด
เป็นที่ทราบกันว่าไม่ว่าก่อนหน้านี้แบงก์ไทยแบงก์เทศต่างก็อยู่ในฐานะเดียวกันคือ
ปล่อยกู้ให้มาบุญครองแบบ CLEAN LOAN ด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ว่ายังรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่าสัญญาเช่าที่ดิน
30 ปีระหว่างมาบุญครองฯกับจุฬาฯค้ำประกันไว้กับธนาคารไทยพาณิชย์หรือไม่ดังนั้นเหตุการณ์ครั้งนี้จึงชี้ชัดว่าไม่มี!
ถึงวันนี้บรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลายโดยเฉพาะรายค่อนข้างใหญ่ จึง HAPPY เป็นที่สุด
เพราะไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกันอีกแล้ว ไม่ว่าธนาคารต่างประเทศ เช่น
ปารีบาส์ เชสแมนฮัตตัน หรือแบงก์อเมริกา ธนาคารไทยก็กสิกรไทย กรุงไทย เป็นต้น
"เมื่อมีปัญหาจริงๆ ทุกแบงก์ก็มีสิทธิ์จะได้ส่วนแบ่งทรัพย์สินเหมือนๆกัน"
ผู้อยู่ธนาคารต่างประเทศชี้
แต่ทว่างานนี้คนที่เจ็บปวดมากที่สุดคือธนาคารไทยพาณิชย์ในฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่เข้าทำนอง
"หมู่เขาจะหามดันเอาคานเข้ามาสอด