เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2524 ผู้ถือหุ้นจำนวน 15 ราย ได้ตกลงใจกันตั้งบริษัทมาบุญครองหินอ่อนขึ้นเพื่อจำหน่ายหินอ่อน
โดยนำหินอ่อนมาจากประเทศอิตาลี และบางส่วนในประเทศมาแปรรูป
ทุนจดทะเบียนครั้งแรก 25 ล้านบาท โดยชำระครั้งแรกเพียง 25% เพียงเดือนตุลาคม
2524 บริษัทก็เพิ่มทุนจดทะเบียนอีกครั้งเป็น 40 ล้านบาท จนถึงเมื่อวันที่
30 ตุลาคม 2528 (เท่าที่หาหลักฐานได้จากกระทรวงพาณิชย์) ก็ยังรักษาทุนจดทะเบียนไว้เท่าเดิม
ทว่าสรุปข้อสนเทศของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยระบุว่า ณ วันที่ 30 มิถุนายน
2528 บริษัทมาบุญครองหินอ่อนมีทุนจดทะเบียน 60 ล้านบาท? ไม่ทราบว่าใครถูกผิดกันแน่แต่ถ้าจะให้เชื่อ
ก็ต้องเชื่อข้อมูลอันแรกจากกระทรวงพาณิชย์ไว้ก่อน
หลังจากบริษัทนี้ตั้งขึ้นไม่นานบริษัทมาบุญครองอบพืชและไซโล ซึ่งเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ทำสัญญาเช่าที่ดินจำนวนประมาณ
23 ไร่ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อทำการพัฒนาที่ดินใน "โครงการมาบุญครองเซ็นเตอร์"
ความจริงโครงการนี้มาบุญครองฯ "จ่อคิว" มาตั้งแต่ปี 2521 แต่ติดขัดปัญหากับสำนักงานผังเมือง
กทม. อันมีผลให้โครงการล่าช้าออกไปมาก
เมื่อโครงการนี้เปิดตัวออกมาก็ครึกโครมสุดขีด จุดเด่นๆ นอกจากจะตั้งตระหง่านใจกลางเมือง
เป็นคอมเพล็กซ์ที่ใหญ่เอามากๆ ที่สำคัญเจ้าของโครงการประกาศว่าเป็น "นครหินอ่อนใจกลางเมือง"
อันเป็นที่รู้กันว่าคอมเพล็กซ์ต่างๆ ที่ผุดขึ้นหลายแห่งเวลานั้นสะพรึงกลัว
"ที่จริงบริษัทมาบุญครองหินอ่อนเกิดขึ้นก็เพื่อการนี้โดยเฉพาะ กะกันว่าทั้งโครงการนี้ต้องใช้หินอ่อนมูลค่าไม่ต่ำกว่า
500 ล้านบาท" ผู้รู้คนหนึ่งบอก
ทุกคนที่รู้ก็ได้แต่สรรเสริญความชาญฉลาดของศิริชัย บูลกุล ผู้บริหารสูงสุดของทั้งสองบริษัท!!
ลงทุนเอง ขายเอง ซื้อเองอย่างนี้ ต้นทุน "นครหินอ่อน" ก็ควรจะถูกกว่าที่ควรจะเป็น
ใครๆ ก็คิดกันอย่างนั้น
แต่ความจริงกลับตาลปัตรจากที่คาดเอาไว้มาก
ก่อนจะไปไกลกว่านี้ ขอมาเริ่มต้นที่ความแตกต่างระหว่างบริษัทมาบุญครองอบพืชและไซโล
เจ้าของโครงการมาบุญครองคอมเพล็กซ์ กับมาบุญครองหินอ่อน ผู้นำเข้าหินอ่อนมาแปรรูปจำหน่าย
บริษัทแรกเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน ผู้ถือหุ้นกระจายออกไปในลักษณะมหาชน
ศิริชัย บูลกุล และบริษัทในเครือของเขาถือหุ้นไม่เกิน 30% ขณะเดียวกันที่บริษัทมาบุญครองหินอ่อนเป็นบริษัทธรรมดา
ศิริชัย บูลกุล ถือหุ้นในนามส่วนตัวประมาณ 18% พี่น้อง "บูลกุล"
และบริษัทในเครือถือหุ้นอีกไม่น้อยกว่า 60% (โปรดดูตารางประกอบ)
สรุปลงมาให้เข้าใจง่ายๆ ก็ว่า ผลของการประกอบการทั้งสองบริษัทนั้น ศิริชัย
บูลกุลล้วนมีแต่ส่วนได้ส่วนเสีย เพียงแต่ว่าบริษัทหลังเขาจะมีส่วนได้ส่วนเสียมากกว่าอย่างมากๆ
เท่านั้น
เพื่อให้ดูเป็นเนื้อเดียวกัน มาบุญครองอบพืชและไซโลก็เข้าถือหุ้นบริษัทมาบุญครองหินอ่อน
20%
บางคนบอกว่าการเข้ามาถือหุ้นของมาบุญครองอบพืชฯ ก็เพื่อให้สมเหตุสมผลในการทำสัญญารับซื้อหินอ่อนจากมาบุญครองหินอ่อน
บริษัทมาบุญครองอบพืชและไซโลมีทุนจดทะเบียน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2528
จำนวน 550.125 ล้านบาท ผลประกอบการเมื่อสิ้นปี 2528 มีกำไร 9.87 ล้านบาท
ส่วนบริษัทมาบุญครองหินอ่อน ทุนจดทะเบียน 40 ล้านบาทกำไรสำหรับสิ้นปีสุด
วันที่ 30 มิถุนายน 2528 เป็นเงิน 82 ล้านบาท
มันช่างเป็นความ "ห่างชั้น" กันเหลือเกิน!
ยิ่งไปกว่านั้น มาบุญครองอบพืชและไซโลยังไม่ได้ชื่นชมกับผลกำไรสิ้นปีเมื่อ
30 มิถุนายน 2528 ก็กลับขายหุ้นไปเสียก่อน โดยทำหลักฐานโอนหุ้น 20% กันเมื่อวันที่
15 มิถุนายน 2528 "เท่าที่ทราบขายกันในราคาพาร์" คนวงในให้ข้อมูล
บริษัทที่รับซื้อหุ้นจากมาบุญครองอบพืชและไซโลพร้อมกับยิ้มรับเงินปันผลอันงดงาม
มิใช่ใครที่ไหน คือบริษัทมาบุญครองโฮลดิ้งจำกัด ผู้ถือ 100% (ก็ว่าได้) ก็คือพี่น้อง
"บูลกุล" และแน่นอนที่สุดหุ้นใหญ่ที่สุดได้แก่ ศิริชัย บูลกุลนั่นเอง
ปมเงื่อนอันนี้ "ผู้มีอำนาจ" ในตลาดหลักทรัพย์ฯจะต้องแก้กันหรือไม่?
"เป็นข้อมูลที่น่าสนใจ ผมเห็นว่าน่าจะกระทำหรือหามาตรการบางอย่าง
แต่หน้าที่ของเราขณะนี้มีเพียงเปิดเผยข้อมูลบริษัทต่างๆ ให้ประชาชนรับรู้มากที่สุด…"
ดุษฎีสวัสดิ-ชูโต ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ รักษาการกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์
(ในช่วงนั้นดร.มรวยไม่อยู่เดินทางไปต่างประเทศ) ตอบคำถาม "ผู้จัดการ"
สั้นๆ
จากข้อมูลที่มีอยู่พบว่าบริษัทในเครือมาบุญครองเกือบๆ 20 บริษัทนี้ มาบุญครองหินอ่อน
เป็นบริษัทที่มีผลประกอบการดีที่สุด
และที่น่าตกอกตกใจอีกประการหนึ่งก็คือ บริษัทในเครือมาบุญครอง ที่บริษัทมาบุญครองอบพืชและไซโลถือหุ้นอยู่ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันล้วนขาดทุนกันถ้วนหน้า
ดูจากงบดุลจะเห็นว่า ครั้นเมื่อรวมบริษัทมาบุญครองอบพืชและไซดลกับบริษัทในเครือกำไรจะลดลงจากบริษัทหลัก
และมีโครงการสร้างผู้ถือหุ้นแตกต่างไปจากบริษัทอื่นๆ (ในเครือ) ซึ่งบ่งบอก
CONNECTION สำคัญๆ ของ ศิริชัย บูลกุล
พลอากาศเอกเรืองชัย กาญจนะโภคิน ถือหุ้น 1.8% เคยดำรงตำแหน่งรองเสนาธิการทหาร
สมัยพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ธาตรี ประภาพันธ์
(4%) อดีตเลขารัฐมนตรีอุตสาหกรรม (อบ วสุรัตน์) เป็นลูกเขยคนสำคัญของบรรณสมบูรณ์
มิตรภักดี ซึ่งว่ากันว่าเป็นฐานการเงินรายใหญ่ของพรรคชาติประชาธิปไตยของพลเอกเกรียงศักดิ์
ธาตรีเดิมเป็นพ่อค้าอาวุธจึงมีสายสัมพันธ์กับทหารเป็นอย่างดี
ทวีป ชาติธำรง (0.6%) เคยเป็น VICE PRESIDENT ของธนาคารเชสแมนฮัตตัน แล้วลาออกมาอยู่มาบุญครองทำหน้าที่ปรึกษาด้านการเงิน
ต่อมาได้ลาออกไปอยู่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ข่าววงในแจ้งว่ามีความขัดแยังกับมา
ชานลีน้องชายของศิริชัย "ผลประกอบการดีอย่างนี้ คุณทวีปรู้ขายหุ้นก็โง่สิ"
แหล่งข่าวกล่าว
สมพร บุณยคุปต์ (4%) อดีตรัฐมนตรีสำนักนายกรัฐมนตรีและเป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
(บีโอไอ.) ตั้งแต่ 25 มีนาคม 2514 ถึง 1 ตุลาคม 2525 ซึ่งเป็นคนเซ็นต์อนุมัติการส่งเสริมสร้างไซโล
ของมาบุญครองอบพืชและไซโล ที่ศรีราชา โครงมาบุญครองซีเมนต์ซึ่งเป็นโครงการที่ทำให้หุ้นมาบุญครองทะยานขึ้นไปไม่หยุด
(โปรดอ่านเดินเรื่อง) และอีกหลายๆ โครงการ
สำเนา จุลกะรัตน์ (0.6%) รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมและอดีตเคยเป็นรองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
"ผมว่าบุคคลเหล่านี้คือผู้มีส่วนสนับสนุนและเคยช่วยเหลือคุณศิริชัยในเรื่องการงานมาแล้วทั้งนั้น
การมาถือหุ้นบริษัทมีกำไรดีเช่นนี้ ก็ต้องถือว่าคุณศิริชัยเป็นคนไม่ลืมบุญคุณ"
อดีตเพื่อนศิริชัย บูลกุล คอมเมนต์กับ "ผู้จัดการ"
เมื่อไม่นานมานี้มีกระแสว่ามาบุญครองหินอ่อนจะปิดตัวเองเนื่องจากโครงการมาบุญครองเซ็นเตอร์กำลังจะเสร็จสิ้น
"ผมว่ายังไม่ปิดตอนนี้ เพราะอาคารโรงแรมยังไม่เรียบร้อยต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง
หากเมื่อสิ้นโครงการนี้แล้วไม่แน่" คนในบริษัทมาบุญครองหินอ่อนบอก
อย่างไรก็ตาม "ผู้จัดการ"ได้รับการยืนยันว่าขณะนี้บริษัทกำลังดำเนินการต่างๆ
เพื่อลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจ้างงานและมีแนวโน้มจะก่อเป็นข้อพิพาทแรงงาน
เนื่องจากกลุ่มกรรมกรได้ล่วงรู้ว่าบริษัททำกำไรจำนวนมากมาโดยตลอด
ลืมบอกไปว่า…บริษัทมาบุญครองหินอ่อน ไม่เพียงขายหินอ่อนสำหรับโครงการมาบุญครองเซ็นเตอร์เท่านั้นบ้านหินอ่อนหลังใหญ่มูลค่านับร้อยล้านบาทในซอยเอกมัยของศิริชัย
บูลกุลก็ใช้บริการของบริษัทนี้เหมือนกัน…