Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTV ผู้จัดการรายสัปดาห์12 เมษายน 2553
เงินต่างชาติไหลบ่าดันหุ้นไทย เหตุพื้นฐานดีเตือนยิ่งสูงต้องยิ่งระวัง ขายให้ไวก่อนโดนทุบ             
 


   
search resources

Stock Exchange




คาดยังมีเงินต่างชาติไหลเข้ามาซื้อหุ้นไทยต่ออีก ดันดัชนีไปใกล้ๆ 850 จุดได้ เน้นหุ้นตัวใหญ่พื้นฐานดี แต่เตือนยิ่งสูงยิ่งหนาวต้องระวังถูกลากขึ้นไปทุบ แนะได้กำไรแล้วต้องลดพอร์ตบ้าง

มนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ ประเมินว่า ดัชนีหุ้นตลาดไทยมีโอกาสที่จะขึ้นไปถึง 800-820 จุดได้ในเร็วๆ นี้ เห็นได้จากมูลค่าการซื้อขายที่เข้ามาหนาแน่นตั้งแต่ช่วง 5-10 นาทีแรกที่เปิดตลาด ชี้ให้เห็นว่ามีเงินจำนวนมากรอเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย

"เงินลงทุนที่ไหลเข้ามาน่าจะเป็นเงินของนักลงทุนจีนที่ทางการจีนอนุญาตให้ ออกมาลงทุนนอกประเทศได้ และอีกส่วนหนึ่งก็คงเป็นการลงทุนเพื่อเก็งกำไรค่าเงิน เพราะเชื่อว่าหากค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นจะทำให้ค่าเงินในภูมิภาคนี้แข็งค่า ขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะทำให้ได้กำไรจากค่าเงินอีกต่อ"

หากดัชนีหุ้นไทยขึ้นไปถึง 820 จุด จะต้องระมัดระวังอย่างมาก นักลงทุนไม่ต้องรอให้เข้าใกล้ 858 จุด ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ที่ 13 เท่า ก็ควรจะต้องเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุน โดยพยายามจะขายทำกำไรบางส่วนเอาไว้และเปลี่ยนการถือครองหุ้นที่มีสภาพคล่อง น้อยออกไปถือหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง เพื่อให้ขายได้ง่ายหากตลาดปรับตัวลง และอาจจำเป็นต้องลดสัดส่วนการถือครองหุ้นจาก95% เป็น 90%

“ประเมินว่าหุ้นขึ้นรอบนี้ยังเป็นแค่คลื่นลูกเล็กเท่านั้น และคาดว่าคลื่นลูกใหญ่ของจริงจะมาในช่วงครึ่งหลังของปีนี้มากกว่า เพราะเป็นเวลาที่เศรษฐกิจโลกเติบโตจริงๆแล้ว ไม่ใช่เป็นแค่การฟื้นตัวเหมือนอย่างในช่วงที่ผ่านมา”

ด้าน ธนัทเทพ จันทรกานต์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์(บล.)บัวหลวง คาดว่าแนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในปีนี้ มีโอกาสจะแตะจุดสุงสุดที่ระดับ 830-840 จุดได้ โดยประเมินว่าเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติ มีโอกาสที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากในอดีตเม็ดเงินต่างชาติเคยเข้ามาถึง 8% ของมูลค่าตลาดรวม (market capitalization) แต่ปัจจุบันมีสัดส่วนแค่ 4.5%

หากพิจารณาจากเงินปันผลตอบแทน(Dividend Yield) จากการลงทุนในหุ้นยังให้ผลตอบแทนในระดับที่สูงประมาณ 4.3% เมื่อเทียบกับผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรอายุ 10 ปี หรือ Bond Yield ซึ่งอยู่ที่ 4% อย่างไรก็ดี บนพื้นฐานเศรษฐกิจที่มีการฟื้นตัวกลับมา ผลตอบแทนโดยปกติจากการลงทุนในหุ้นจะต้องต่ำกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนใน พันธบัตร ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติมีการโยกย้ายเงินลงทุนออกจากพันธบัตรมาลงทุนในหุ้น เนื่องจากได้ผลตอบแทนที่สูงกว่า

"กระแสเงินทุน(Fund Flow)ยังน่าจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยได้อีกประมาณ 3 หมื่นล้านบาท เฉลี่ยทั้งปีนี้น่าจะได้เห็นตัวเลขซื้อสุทธิของต่างชาติประมาณ 7 หมื่นล้านบาท เทียบสถิติหลายปีที่ผ่านมาซึ่งก็มีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามาเฉลี่ยปีละ 7 หมื่นล้านบาทเช่นกัน"

การไหลเข้าของ Fund Flow ทำให้หุ้นขนาดใหญ่ที่อยู่ 20 อันดับแรกของตลาดหุ้นไทยได้รับอานิสงส์ของการไหลเข้า ซึ่งมีทั้ง บมจ.ปตท (PTT), บมจ.บ้านปู (BANPU),บมจ.ปตท.เคมิคอล (PTTCH), บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC), ธนาคารกรุงไทย (KTB), ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY), บมจ.ซีพีออล์ (CPALL),บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT), บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ซึ่งหุ้นเหล่านี้จะเติบโตไปตามภาวะเศรษฐกิจอยู่แล้ว

สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่จะเป็นตัวกดดันดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย คือ นโยบายทางการเงิน โดยเฉพาะในส่วนของประเทศจีน ซึ่งได้มีการคาดการณ์ล่วงหน้าแล้วว่าในเดือนเมษายนมีโอกาสที่จีนจะปรับขึ้น อัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลเชิงลบต่อตลาดหุ้นในระยะกลาง ประกอบกับหากพิจารณาจากค่า P/E ของตลาดหุ้นไทยพบว่ายังอยู่ในระดับต่ำกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆใน ภูมิภาค

ส่วนปัญหาการเมืองในขณะนี้คงไม่ส่งผลต่อการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติมากนัก เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติไม่มีการกระจายการลงทุน อีกทั้งการลงทุนในตลาดหุ้นไทยก็มีการพิจารณาถึงปัจจัยความเสี่ยงด้านการ เมืองไว้แล้ว ทั้งนี้มองว่าต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเห็นว่าสถานการณ์ที่เกิด ขึ้นเป็นเรื่องที่ยังควบคุมดูแลได้

นอกจากนี้ยังคาดการณ์ว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯใน ปีนี้จะเติบโต 16-17% สูงกว่าคาดการณ์เดิมที่คาดว่าจะเติบโตกว่า 10% ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ส่วนกรณีปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด หากได้ข้อสรุปและมีทางออกจะมีกลุ่มบริษัทฯที่จะได้รับอานิสงส์ดังกล่าว คือ กลุ่มปตท. ซึ่งจะส่งผลให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมเติบโตเพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ ไว้อีก 5%

ทั้งนี้จากสถิติพบว่านักลงทุนต่างชาติจะเทขายทำกำไรหากได้ผลตอบแทนจากการลง ทุนอยู่ที่ระดับ 20-25% โดยปัจจุบันผลตอบแทนการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 17-18% แล้ว   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us