คนไทยในตระกูลใหญ่ๆ หากนักทวนต้นตระกูลขึ้นไปสักสาม-สี่ชั่วอายุคนก็จะพบว่าบรรพบุรุษของตระกูลนั้นมีเชื้อสายจีนที่เป็นเจ้าภาษีนายอากรเช่น
ตระกูล "โชติกเสถียร" , "โชติกะพุกกณะ" (ซึ่งเกิดกับพระยาโชฎึกฯ
อีกท่านหนึ่ง), "ฮุนตระกูล" หรือ "พิศาลบุตร" เป็นต้น
คนจีนที่ได้ดิบได้ดีเป็นเจ้าภาษีนายอากรถือศักดินา ถือได้ว่าเป็น "จีนศักดินา"
ที่ได้กลายเป็นข้าราชบริพารฝากฝังกันมาหลายชั่วอายุคนจนถึงปัจจุบัน ซึ่งลูกหลายเหลนได้แตกแขนงไปเป็นพ่อค้า
ข้าราชการกันเสียมาก
นรฤทธิ์ โชติกเสถียรก็เป็นคนหนุ่มคนหนึ่งที่สืบเชื้อสายจีนแคะมีบรรพบุรุษคุณทวดเป็น
จีนศักดินา "พระยาโชฎึกราชเศรษฐี" ในรัชกาลที่ 5 เจ้าคุณปู่ก็รับราชการทำความดีความชอบได้รับตำแหน่งพระยาธรรมจรรยานุกูลมนตรี
(ทองดี โชติกเสถียร) จนตกมาถึงรุ่นพ่อก็มีตำแหน่งต้นห้องรองเสวกโทรองสนิทของรัชกาลที่
7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ
ท่านรองสนิทคนนี้เองที่ริเริ่มก่อตั้งบริษัทอาคเนย์ประกันภัยขึ้นเมื่อ
40 ปีก่อน และผู้ที่ถือกรมธรรม์ฉบับแรกหมายเลข 1 ก็คือสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีในรัชกาลที่
7 จนกระทั่งปัจจุบัน บริษัทนี้จัดอยู่ในอันดับที่ 4 โดยมีบริษัทไทยประกันชีวิต,
เมืองไทยประกันชีวิตและไทยสมุทรฯ อยู่ใน 3 อันดับแรก
และเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ที่ผ่านาในงานครบรอบ 40 ปีของอาคเนย์ประกันภัย
ที่โรงแรมดุสิตธานี "ผู้จัดการ" ก็ได้ร่วมโต๊ะรับประทานอาหารมื้อเที่ยงกับนรฤทธิ์
โชติกเสถียรผู้มีแนวโน้มในอนาคตว่าจะเป็น "ทายาทของอาคเนย์ประกันภัย"
คนต่อไปสืบต่อจากอาทร ติดตรานนท์ กรรมการผู้จัดการบริษัทคนปัจจุบันซึ่งขณะนี้อายุ
58 ปี
"สำหรับผมไม่คิดหรอกฮะ เพราะว่าในที่สุดแล้วการเราสวมหมวกสองใบ คือเป็นทั้งรองผู้จัดการที่ทำงานด้วย
มันมีทั้งดีและเสีย ใน Long run ผมคิดว่าจะต้องใช้โปรเฟสชั่นแนลมาทำงานจริงๆ
ผมคงช่วยทางด้านนโยบาย อย่างกรณีของคุณอาทรก็เป็นมือโปรเฟสชั่นแนลมาตั้งแต่ต้นจนจบ
แต่ก็หาคนแบบนี้ได้ยาก เพราะงานประกันภัยเป็นงานที่ต้องการคนรู้เรื่องตัวเลขคณิตศาสตร์ดี
อีกประการหนึ่งที่สำคัญต้องรู้เรื่องมนุษย์และด้านการตลาดดีมากด้วย แค่เก่งคณิตศาสตร์อย่างเดียวไม่พอ"
นรฤทธิ์กล่าวหลังอิ่มอร่อยกับอาหารจานใหญ่และจุดบุหรี่วินสตันสูบแล้ว
ในอดีตของนรฤทธิ์เป็นเด็กเรียนเก่ง จบมศ.5 จากโรงเรียนวชิราวุธแล้วสอบชิงทุนเอเอฟเอส.บินไปเรียนที่สหรัฐอเมริกา
เรียนรุ่นเดียวกับเดช บุลสุขแห่งแมคโดนัลด์ เมื่อกลับเมืองไทยก็ทำงานรับจ้างขายตั๋วเครื่องบินสายนอร์ทเวสต์แอร์ไลน์
8 เดือนระหว่างรอสอบเอ็นทรานซ์ได้เห็นเด็กหนุ่มสาวอเมริกันที่กล้าคิดริเริ่มกว่าเด็กไทย
ทำให้เมื่อกลับมาเรียนต่อคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ก็ได้จัดทัวร์บินไปต่างประเทศอยู่บ่อยๆ
นี่เองเป็นช่องทางแรกเริ่มที่ทำให้นรฤทธิ์ก้าวเข้ามาเดินในถนนธุรกิจ
"ตอนนั้นเงินผ่านมือผมเป็นล้าน-ผมก็มานั่งคิดว่า เอ๊ะ-เราทำได้นี่
อะไรที่เราตั้งใจจะทำ ผมคิดว่าเราทำได้ ปรากฎว่าการจัดทัวร์เหมาเครื่องบินตอนนั้นผมสามารถหาเงินช่วยการกุศลได้ตั้งสองสามแสนบาทให้กับสมาคมนักเรียนเก่าเอเอฟเอส."
จบจากธรรมศาสตร์ในปี 2516 นรฤทธิ์ก็สนใจทำงานด้านการเงินก็เลยสมัครเข้าไปเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์อาคเนย์ธนกิจ
ในระยะเวลาสั้นเพียง 2 ปีเขาก็ได้รับการโปรโมทเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ
ขณะที่เขาเพิ่งย่างเข้าวัยเบญจเพสเท่านั้น
"ตอนนั้นผมปวารณาตัวเองไว้ว่า ถ้ายอดสินทรัพย์ที่มีอยู่เดิม 30 ล้านบาทสามารถขึ้นไปถึงพันล้านได้เมื่อไหร่
ผมจะลาออก ซึ่งก็ใช้เวลาทั้งหมด 8 ปีเต็มๆ และเมื่อครบพันล้านแล้ว ผมก็เลยเปลี่ยนงานอย่างที่ได้ตั้งใจไว้จริงๆ"
เขากล่าวด้วยยิ้มและคำพูดที่มั่นใจ
หลังจากเอาชนะในเกมที่เขาคิดว่าจบไปอย่างสวยงามแล้ว นรฤทธิ์หนุ่มไฟแรงก็หางานท้าทายประเภทงานยากต่อไป
สนามที่นรฤทธิ์เลือกลงต่อมาคือ บริษัทอาคเนย์ประกันภัย ซึ่งพ่อของเขาถือหุ้นและเป็นกรรมการก่อการชุดแรก
นรฤทธิ์ได้เรียนรู้ถึงความยากของการทำงานระดับบริหารที่คุมงานด้านการตลาดประกันชีวิตของอาคเนย์ประกันภัยว่า
สิ่งที่ยากที่สุดคือคนหมู่มาก นับตั้งแต่ตัวแทนขายประกันนับพันๆ คน จนกระทั่งถึงพนักงานธุรการเล็กๆ
ในบริษัท ในขณะที่งานด้านไฟแนนซ์เป็นเรื่องของการตัดสินใจตัวเลข
"การบริหารงานประกันชีวิตจำเป็นต้อง "แข็ง" ต้องยืนอยู่บน
principal ที่ต้องเข้มแข็งทางจิตใจ ต้องตอบปฏิเสธได้บ่อยในการบริหารตัวแทนฯ
ตรงนี้แหละที่บางครั้งเราผิดพลาดไปเราไป motivate บางจุดแบบเก่าผิดที่ ผลออกมาจึงเสีย
เช่นเราไปจูงใจให้ตัวแทนทำยอดขายมากไปเร่งให้เขาขาย โดยลืมคิดถึงบางเรื่องไป
ผลคือคุณภาพของกรมธรรม์ไม่ดี
ถ้าคุณไปเร่งผิดจุด มันพัง คุณต้อง balance ให้ได้ มันเป็นศิลปะ"
โครงการที่ทีมงานของเขาได้คิดริเริ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปีนี้ก็ได้แก่สินเบญพร,
เคหะบริการ และล่าสุดคือ สินเชื่อปรางค์อรุณ และกรมธรรม์ใหม่ๆ ที่กำลังจะตามมาอีกมากมาย
ซึ่งทั้งนี้ก็ต้องอาศัยมันสมองระดับบริหารอย่างเขาเป็นประการสำคัญ
แต่จะสำคัญอย่างไรก็ต้องมีสุขภาพที่แข็งแรง มิฉะนั้นจะพาลเอาชีวิตมาทิ้งกับงานเสียตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่นเสียเปล่าๆ
เหมือนครั้งหนึ่งที่เขาเคยจีบหนักแทบเอาชีวิตไม่รอดมาแล้ว
"ผมเคยมีสุขภาพโทรมมากๆ จนเป็นไวรัสลงตับเมื่อ 7-8 ปีที่แล้วสมัยที่มีปัญหายุ่งๆ
ของราชาเงินทุน ตอนนั้นผมเครียดมาก สูบบุหรี่จัดจนต้องนอนป่วยที่โรงพยาบาล
ผมเริ่มรู้สึกว่าจะเอางานหรือชีวิตดี? ก็มาคิดว่า เอาชีวิตดีกว่า แต่ก็ทิ้งงานไม่ได้ต้องค่อยๆ
ทำไปหลังหายป่วย หมออุดมศิลป์ก็แนะนำให้วิ่งเราฟังดูมัน make sence เพราะเราเป็นนักธุรกิจไม่ค่อยมีเวลาเรานัดใครไปตีเทนนิส
บางทีก็เสียนัดบ่อยๆ เราก็เกรงใจเพื่อนแต่การวิ่งก็ไปคนเดียวได้ วิ่งไปทั่วทั้งที่สวนลุม
หลังบ้านแถวคลองประปาก็วิ่งเป็นคนแรก ที่ไปโลคลับก็ไป มันง่ายดี"
มิน่าเล่า - อาคเนย์ประกันภัยจึงเป็นโต้โผจัดงาน "วิ่งลอยฟ้าเฉลิมพระเกียรติ"
ในเดือนพฤศจิกายนปี 2530 (Royal Marathon Bangkok' 87) เพื่อนำรายได้สร้างตึกอนุสรณ์
"สยามินทร์" 100 ปีศิริราช
แต่งานนี้ใครอย่าได้ชวนกรรมการผู้จัดการอาคเนย์ประกันภัย - อาทร ติดตรานนท์วิ่งมาราธอน
42 กม.เสียล่ะ เพราะว่าเท้าซ้ายของท่านสุขภาพไม่ดีมาตลอดหลังจากประสบอุบัติเหตุรถคว่ำจนกระดูกเท้าแตกเป็นสองเสี่ยงเมื่อวันที่
1 มกราคมของ 10 ปีก่อน
สำหรับนรฤทธิ์ โชติกเสถียร เขากำลังวิ่งอยู่ในลู่แข่งขันของสนามธุรกิจประกันชีวิตจะวิ่งได้ชัยชนะแค่ไหนในเกมวิ่งมาราธอนธุรกิจสายนี้ก็ต้องคอยดูกันต่อไป…