แสนสิริขยับก้าวสร้างแบรนด์ระลอกใหม่ จับมือค่ายเพลงใช้ Music Marketing ชูแนวคิด The Iconic of Living ผูกใจคนรุ่นใหม่

หากนึกถึงดีเวลลอปเปอร์ในวงการที่โดดเด่นเรื่องการสร้างแบรนด์ และมีภาพลักษณ์ที่ดูเป็นคนรุ่นใหม่ ทันสมัยหนีไม่พ้นที่จะต้องเอ่ยถึง “แสนสิริ” เพราะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่แสนสิริเริ่มขยับมาลุยตลาดบ้านเดี่ยวในยุคแรก มีการรีแบรนด์ เปลี่ยนโลโก้ ปรับโฉมสินค้าให้ดูทันสมัย เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างแบรนด์ครั้งแรกและเป็นดีเวลลอปเปอร์ที่ให้ความ สำคัญกับการสร้างแบรนด์อย่างจริงจัง เพราะนับจากนั้นเป็นต้นมาแสนสิริมีการออกแคมเปญในเชิง Corporate เพื่อสร้างภาพลักษณ์ขององค์กรอย่างต่อเนื่อง โดยพยายามเน้นเรื่อง Emotional Marketing ในการสร้างแบรนด์ในหลายรูปแบบ สอดแทรกไปกับไลฟ์สไตล์รูปแบบต่างๆ ของผู้บริโภค

เหตุผลที่แสนสิริให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ เพราะแสนสิริมีเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งเบอร์หนึ่งของตลาดบ้านจัด สรรให้ได้ การเดินไปสู่เป้าหมายดังกล่าวแสนสิริได้วางกลยุทธ์ไว้ว่าจะต้องมีการลงทุน พัฒนาที่อยู่อาศัยที่ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ จากเดิมที่เน้นตลาดระดับกลาง-บนเป็นหลัก ทั้งนี้สิ่งหนึ่งที่จะมารองรับการก้าวขึ้นไปเป็นเจ้าตลาดได้จะต้องมาจากการ สร้างแบรนด์ให้ผู้บริโภครู้สึกใกล้ชิดและยอมรับ เมื่อนึกถึงที่อยู่อาศัย แสนสิริก็จะเป็น Top of Mind หรือแบรนด์อันดับแรกในใจที่ตัดสินใจเลือก แม้การทุ่มเงินสร้างแบรนด์อย่างหนัก จะทำให้ผลกำไรสุทธิที่ผ่านมาของแสนสิริอยู่ในระดับที่ไม่สูงนัก แต่ผู้บริหารแสนสิริมองว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ เพราะเป็นการลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนในระยะยาว

ในปีนี้แสนสิริได้เปิดตัวแนวคิดในการทำตลาดภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Iconic of Living” โดยเน้นการสื่อสารเรื่อง Emotional Benefit กับลูกค้า บอกต่อถึงความคุ้มค่าของการเลือกแบรนด์แสนสิริมากกว่า Funtional Benefit เหมือนในอดีต ซึ่งสมัชชา พรหมศิริ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดองค์กร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) มองว่า จะเป็นยุทธศาสตร์ในการสร้างฐานลูกค้าใหม่ เพราะลูกค้าจะตัดสินใจซื้อง่ายขึ้นจากแบรนด์ที่ลูกค้ารู้สึกชอบ มากกว่าการชูจุดขายด้วยโปรโมชั่นทั่วไป

“แนวคิดนี้เป็นการกลับมาทำตลาดครั้งใหญ่อีกครั้ง หลังจากในรอบ 3-4 ปีที่ผ่านมาอสังหาริมทรัพย์มักเน้นแต่การแข่งขันด้านราคาเป็นหลัก วนเวียนในจุดขายเดิมๆ ไม่มีอะไรใหม่ๆ เราหยิบเรื่องอารมณ์มาใช้ในการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ทำให้ลูกค้ามี Brand Loyalty เพราะรู้สึกผูกพัน” สมัชชากล่าว

แนวคิดดังกล่าวประกอบด้วย 1.Inspiration การเปิดรับทุกมุมมองและประสบการณ์ใหม่ๆ ของการใช้ชีวิตจากสิ่งใกล้ตัวและทั่วโลก ทำให้มีแรงบันดาลใจที่จะใช้พัฒนาการออกแบบ เพื่อสร้างรูปแบบการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่และดีกว่าวันวาน 2.Tomorrow นวัตกรรมแห่งวันพรุ่งนี้ พัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยที่มีนวัตกรรมรองรับวิถีชีวิตระยะยาวในอนาคต ซึ่งแสนสิริได้จัดตั้งทีม Design Solution Unitแยกจากฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ มาดูแลเรื่องการออกแบบฟังก์ชั่นใหม่ๆ ของบ้านให้แตกต่างและสอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ โดยบ้านซีรีส์ใหม่จะเปิดตัวในช่วงปลายปี

3.Beautiful Community (CRM) ให้ความสำคัญกับลูกบ้านในการจัดกิจกรรมหลังการขาย เพื่อสร้างความสัมพันธ์ในการใช้ชีวิตร่วมกันด้วยบริการต่างๆ ให้ลูกบ้านอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข 4.Exclusive (Partnership) สรรหาสิทธิพิเศษและสิทธิประโยชน์ในการใช้ชีวิตที่เหนือกว่า เพื่อนำมาเสนอแก่ลูกบ้าน ผ่านพันธมิตรที่หลากหลาย เพื่อให้ลูกบ้านรู้สึกคุ้มค่าเมื่อเลือกแบรนด์แสนสิริ 5.Goodwill (CSR) เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์สังคม โดยเน้นไปที่เด็ก เพราะเป็นอนาคตของชาติที่จะเติบโตขึ้น เข้าไปสร้างสังคมที่มีความสุขให้เกิดขึ้นในอนาคต

ภายใต้งบการตลาด 700-800 ล้านบาทของปีนี้ ซึ่งเป็นเม็ดเงินที่ไม่ต่างจากปีที่แล้ว แสนสิริได้แยกส่วนหนึ่งมาใช้การสร้างแบรนด์ภายใต้งบประมาณรวม 100 ล้านบาท ในการสื่อสารแคมเปญผ่านสื่อต่างๆ จัดกิจกรรมรูปแบบต่างๆ กับลูกบ้านที่สอดคล้องไปตามแนวคิดทั้ง 5 อย่าง พร้อมจับมือค่ายเพลงรัก Love is จัดทำเพลงในอัลบั้มพิเศษ เพื่อมอบให้เป็นของขวัญแก่ลูกบ้าน 50,000 ราย

สมัชชาทิ้งท้ายเคล็ดลับการสร้างแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จว่า จะต้องมาจาก 3 ด้าน คือ ต้องแตกต่าง, ต้องทำอย่างต่อเนื่อง และผู้บริหารต้องเข้าใจและให้ความสำคัญ การสร้างแบรนด์ครั้งนี้แสนสิริมองว่าจะขยายผลไปสู่คนรุ่นใหม่ที่แม้วันนี้จะ ยังอายุน้อย แต่ ณ วันที่มีความพร้อม เขาจะไม่ลังเลใจที่จะเลือก “แสนสิริ” เป็นคำตอบเดียวของการอยู่อาศัย