เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์ฯคาดรายได้ปีนี้พุ่ง 2หมื่นล้านบาท หลังโรงงานส่วนขยายโพลิโพรพิลีน 3แสนตันแล้วเสร็จในปลายไตรมาส 2 นี้ พร้อมหันไปผลิตเม็ดพลาสติกPPเกรดพิเศษหนีคู่แข่งตะวันออกกลาง

นายสัมฤทธิ์ สำเนียง รองประธาน บริษัท เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือปตท. เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2 นี้ส่วนขยายกำลังการผลิตโพลิโพรพิลีน (PP) จาก 4.5 แสนตันเป็น 7.5 แสนตัน/ปีคาดว่าจะดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ ส่งผลให้รายได้ของบริษัทฯเติบโตขึ้นจาก 1.6 หมื่นล้านบาทเป็น 2 หมื่นล้านบาทในปีนี้

ทั้งนี้ บริษัทฯได้มีการลงทุนผลิตโพลิโพรพิลีนแบบครบวงจร โดยทำโครงการPropane Dehydrogenation (PDH) ซึ่งเป็นการนำก๊าซฯมาผลิตเป็นโพรพิลีนจำนวน 3 แสนตันเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการป้อนโรงงานส่วนขยายกำลังการผลิตโพลิโพรพิลี น(PP)กำลังผลิต 3 แสนตัน/ปี ใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 600 ล้านเหรียญสหรัฐ นับเป็นโครงการที่เกิดจากการ Synergyระหว่างปตท.กับเอ็ชเอ็มซีฯ หลังจากปตท.ตัดสินใจเข้าไปถือหุ้นในเอ็ชเอ็มซีฯสัดส่วน 40% ของทุนจดทะเบียน

นายสัมฤทธิ์ กล่าวต่อว่า ปีนี้บริษัทฯจะใช้เงินลงทุนประมาณ 300-400 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนซ่อมบำรุงโรงงานตามปกติในแต่ละปี โดยไม่มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่เกิดขึ้น หลังจากโครงการส่วนขยายโพลิโพรพิลีนแล้วเสร็จ ซึ่งเพียงพอที่จะรองรับความต้องการใช้เม็ดพลาสติกPPในประเทศได้ เนื่องจากปัจจุบันไทยยังมีการนำเข้าเม็ดพลาสติกชนิดเดียวกันนี้และเครือซิ เมนต์ไทยเองก็มีการขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกPPด้วยเช่นกันแม้ว่าจะอยู่ 1ใน 76 โครงการมาบตาพุดตามคำสั่งศาลฯก็ตาม แนวโน้มการแข่งขันธุรกิจปิโตรเคมีในปีนี้จะมีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากมีกำลังการผลิตใหม่เข้ามาจากตะวันออกกลาง ที่มีความได้เปรียบด้านวัตถุดิบ ดังนั้นบริษัทฯจำเป็นต้องมีการพัฒนาเม็ดพลาสติกเกรดพิเศษให้เพิ่มมากขึ้นแทน การผลิตเม็ดพลาสติกเกรดธรรมดา

บริษัท เอ็ชเอ็มซี โปลิเมอส์ จำกัด ลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือเพื่อพัฒนาพลาสติกโพลิโพรพิลีนในแบบ ยั่งยืนกับบริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยทั้ง 2 บริษัทจะมีการร่วมมือกันในการพัฒนาผลิตภัณฑ์พลาสติก เพื่อให้มีการใช้เม็ดพลาสติกแบบคุ้มค่ามากขึ้น โดยทำให้ขึ้นรูปผลิตภัณฑ์พลาสติกบางลงทำให้ประหยัดด้านพลังงานและวัตถุดิบ

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการบริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้ราคาเม็ดพลาสติกโพลิโพรพิลีนมีการปรับราคาขึ้นตลอด แต่สิ่งที่ผู้ค้าเป็นห่วงคือไม่มีสินค้าส่งให้ลูกค้ามากกว่า เนื่องจากความต้องการใช้ที่สูงขึ้น ทำให้ปัจจุบันทุกโรงงานใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 80%

ดังนั้นรัฐบาลจะต้องมีความกล้าที่จะชี้ขาดแก้ปัญหามาบตาพุด ยิ่งแก้ปัญหาได้เร็วจะสร้างความเชื่อมั่นให้เอกชน และจะทำให้จีดีพีประเทศเติบโตได้ถึง 5.5%