ผลิตภัณฑ์เซรามิกที่ออกสู่ตลาดของกลุ่มอุตสาหกรรมเสถียรภาพนั้น ที่สำคัญ
ซึ่งทำยอดขายให้สูงสุด ก็เห็นจะได้แก่ เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร (TABLEWARE)
ทำด้วยเซรามิกอันสามารถจะแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดใหญ่ๆ ตามองค์ประกอบของวัตถุดิบและวิธีการเผา
คือเป็นเอิร์ธเธนแวร์ สโตนแวร์แล้วก็พอร์ซเลน หรืออีกชื่อหนึ่งว่าไชน่าแวร์
โดยใน 3 ประเภทนี้เอิร์ธเธนแวร์จัดว่าเป็นเครื่องดินเผาที่คุณภาพต่ำที่สุด
ราคาถูกที่สุดในขณะที่พอร์ซเลนเป็นเครื่องดินเผาคุณภาพสูงและมีราคาแพงที่สุด
ขอให้ดูภาพเปรียบเทียบประกอบ
สำหรับพอร์ซเลนเนื้อเบาและเนื้อหนักก็แตกต่างกันที่ผลของอุณหภูมิการเผาคือ
พอร์ซเลนเนื้อหนักจะเผาครั้งแรกด้วยอุณหภูมิ 1,000 องศาเซลเซียสใช้เวลาเผา
17 ชั่วโมง และต้องเผาเคลือบที่อุณหภูมิ 1,400 องศาเซลเซียส ใช้เวลาอีก 29
ชั่วโมง ส่วนพอร์ซเลนเนื้อเบาจะเผาครั้งแรกที่อุณหภูมิ 900-1,000 องศาเซลเซียส
ใช้เวลานานกว่าเป็น 23 ชั่วโมงจากนั้นก็เผาเคลือบที่อุณหภูมิ 1,300 องศาเซลเซียส
ใช้เวลาเผา 30 ชั่วโมง
จากการจัดระดับดังกล่าวตามตารางการเปรียบเทียบนี้ จะเห็นได้ว่าโบนไชน่ามีคุณภาพสูงสุดอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ว่าจะเป็นคุณลักษณะทางความงามหรือความแข็งแกร่งทนทานก็ตาม ส่วนพอร์ซเลนเนื้อหนักมีคุณภาพสูงรองลงมาด้วยความงามพิเศษอันน่าจับใจของเนื้อโปร่งแสงสีขาวอมฟ้า
และพอร์ซเลนเนื้อเบาก็เป็นพอร์ซเลนที่มีคุณภาพสูงอีกชนิดหนึ่งซึ่งมีความทนทานตลอดจนสีเคลือบดีกว่าพอร์ซเลนเนื้อหนัก
กล่าวกันว่าเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารมักจะเป็นผลิตภัณฑ์เซรามิก ในขณะที่พลาสติก
(เมลามีน) สเตนเลสและเครื่องแก้วยังจัดว่าใช้กันน้อยกว่าเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร
ที่ทำด้วยเมลามีนและสเตนเลสนั้นเป็นเครื่องใช้ชนิดล่าสุดที่เพิ่งออกสู่ตลาด
แต่ก็เป็นที่นิยมอยู่ได้ไม่นาน เพราะเป็นรอยขีดข่วนและเปื้อนได้ง่าย กลายเป็นสินค้าที่นิยมกันเฉพาะในหมู่ผู้ขายอาหารและร้านอาหารทั่วๆ ไปเป็นส่วนใหญ่ ส่วนที่เป็นเครื่องแก้วซึ่งต้องสั่งเข้าจากต่างประเทศก็เป็นที่นิยมใช้กันในกลุ่มผู้มีรายได้สูง
เนื่องจากมีราคาแพง เครื่องใช้เซรามิกซึ่งมีระดับคุณภาพราคาต่างๆ กันอันทำให้สามารถสนองความต้องการกลุ่มผู้ซื้อและรสนิยม
จึงได้รับความนิยมมากกว่าและมีผู้คาดว่าเครื่องใช้ชนิดนี้จะได้รับส่วนแบ่งตลาดมากกว่าเดิมยิ่งๆ ขึ้นไปในอนาคต
กิจการโรงแรมก็เป็นตลาดสำคัญอีกตลาดหนึ่งของเครื่องใช้เซรามิกคุณภาพดีโดยทั่วๆ ไปโรงแรมชั้นหนึ่งหรือโรงแรมระดับห้าดาวตลอดจนภัตตาคารที่หรูหรานั้นจะสั่งซื้อเครื่องพอร์ซเลนจากบริษัทผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงในยุโรป
ต่อมาคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้ประกาศให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ผลิตในประเทศ
เพื่อเป็นการส่งเสริมการลงทุนของคนไทย และเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมเซรามิกในประเทศด้วยรัฐบาลไทยได้ประกาศห้ามนำเข้าเครื่องใช้เซรามิกบางชนิดในปี
2521 และห้ามนำเข้าเครื่องเซรามิกทุกชนิดในปี 2525 ซึ่งถ้าสังเกตให้ดีก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กลุ่มเสถียรภาพ
ก่อตั้งบริษัทบัวหลวงเซรามิคและสร้างโรงงานที่เจ็ดสำหรับผลิตเซรามิกคุณภาพสูง
มาตรการห้ามนำเข้านี้เริ่มได้รับการผ่อนคลายหลังจากที่รัฐบาลประจักษ์ชัดว่า
ผู้ผลิตเครื่องใช้เซรามิกคุณภาพสูงภายในประเทศ เช่น บริษัทบัวหลวงเซรามิค (ซึ่งเป็นบริษัทเดียวในขณะนั้น)
ไม่สามารถสนองความต้องการของตลาดโรงแรมและภัตตาคารได้หมด ในปัจจุบันโรงแรมชั้นหนึ่งภายใต้การสนับสนุนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนจึงได้รับอนุญาตให้นำเข้าเครื่องเซรามิกคุณภาพสูงได้
แต่ก็ต้องเสียภาษีสูงถึง 80 เปอร์เซ็นต์ และรัฐบาลก็ประกาศชัดเจนว่ามาตรการผ่อนคลายนี้จะเปิดให้เพียงชั่วคราว
เพราะฉะนั้นกลุ่มนักลงทุนในประเทศหลายรายก็เริ่มให้ความสนใจอุตสาหกรรมเซรามิกกันมากขึ้น
จากบริษัทบัวหลวงเซรามิคเพียงบริษัทเดียว ในขณะนี้จึงมีอีก 3 รายเด่น ๆ
ที่กระโดดเข้ามาในอุตสาหกรรมเซรามิก และได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ
คือ บริษัท โรแยลเอเซียพอร์ซเลน (API) บริษัทไทย-เยอรมันเซรามิค (TGC) และบริษัทเซ็นทรัลเซรามิค
(CTC)
บริษัท API นั้นเริ่มดำเนินงานไปแล้วเมื่อปลายปี 2527 แต่เนื่องจากเป็นบริษัทที่เริ่มด้วยผลิตภัณฑ์สโตนแวร์
ตลาดจึงยังจำกัดอยู่เฉพาะโรงแรมระดับปลายแถวเท่านั้น
บริษัท TGC เริ่มดำเนินงานเมื่อเดือนมกราคม 2529 มีบริษัทฮุลล์เชนรอยเตอร์
(HUTSCHENREUTHER) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารที่มีชื่อเสียงของเยอรมนีตะวันตก
เป็นหุ้นส่วนและเป็นผู้สนับสนุนด้าน KNOW-HOW บริษัท TGC จะออกผลิตภัณฑ์ที่ว่าไปแล้วก็คือการแข่งขันโดยตรงของบริษัทบัวหลวงเซรามิค
และขณะนี้ได้รับการทาบทามจากกลุ่มเจ้าหนี้ให้เข้าไปศึกษาปัญหาของกลุ่มอุตสาหกรรมเสถียรภาพ
ส่วนบริษัท CTC ก็จะออกผลิตภัณฑ์เหมือนๆ กันกับบัวหลวงเซรามิคและ TGC
แต่จะเริ่มวางตลาดสินค้าของตนในราวปลายปี 2530 ก็เป็นที่คาดกันว่าผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตทั้งสองรายนี้
จะช่วยเสริมความต้องการได้ครบและช่วยให้เกิดการแข่งขันด้านราคาอย่างคึกคักด้วย
และก็คงจะยิ่งมีอนาคตสดใสมากถ้าโรงงานของกลุ่มอุตสาหกรรมเสถียรภาพจะต้องปิดดำเนินการ