ประวัติศาสตร์เกาะภูเก็ตที่พอจะจับความได้นั้นเกี่ยวข้องกับการทำเหมืองแร่ดีบุกมาแล้วไม่น้อยกว่า
3 ศตวรรษ!
ตอนปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา ชาวภูเก็ตเป็นคนพื้นเมืองที่หน้าตากระเดียดไปทางมลายูและศรีลังกา
ทำมาหากินด้วยการร่อนหาแร่ดีบุกเท่านั้น "…แร่ดีบุกเป็นสิ่งสำคัญของเมืองนี้และได้เกิดการค้าขายและที่ชาวเมืองได้อยู่เลี้ยงชีพไปได้ก็ดยอาศัยแร่ดีบุกนี้เอง
เพราะพวกชาวเมืองขุดแร่ดีบุกนั้นไปแลกเปลี่ยนกับพ่อค้าซึ่งนำสินค้ามาจากภายนอก
การค้าดีบุกนี้กำไรมาก เพราะฉะนั้นบริษัทการค้าขายของฮอลันดาซึ่งไปทุกหนทุกแห่งที่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์ได้
จึงได้ตั้งห้างใหญ่ในเมืองนี้มาแต่เดิมแต่ได้เลิกไปสักสี่สิบห้าสิบปีมาแล้ว
เหตุที่ต้องเลิกห้างไปนั้นก็เพระพวกฮอลันดาจะคิดเอาแต่กำไรฝ่ายเดียว พวกชาวเมืองกับพวกแขกมลายูที่มาตั้งบ้านเรือนอยู่ในเมืองภูเก็ตจึงได้ฆ่าฟันพวกฮอลันดาเสียหมดสิ้น.."
บาดหลวงมิชชั่นนารีชาวฝรั่งเศสบันทึกเหตุการณ์ที่เมืองภูเก็ตไว้เมื่อปี 2229
ไว้อย่างเห็นภาพชัด
สมัยต้นรัตนโกสินทร์ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า เบื้องหลังสำคัญชัยชนะของท้าวเทพสตรี
ท้าวศรีสุนทร ที่มีต่อพม่านั้น แท้ที่จริงมาจากการที่สามารถส่งดีบุกไปแลกข้าวกับฟรานซีส
ไลท์ ผู้ครองเมืองปีนังขณะนั้น โดยแก้ปัญหาการขาดแคลนข้าวปลาอาหารในการทำศึกอย่างต่อเนื่องได้
สมัย ร. 3-ร. 4 กลุ่มคนจีนจากแผ่นดินใหญ่ระลอกแรกอพยพหนีภัยแล้งมาถึงเกาะภูเก็ต
กลุ่มชาวจีนฮกเกี้ยนรอนแรมล่องเรือสำเภาสามเสาลงสู่ทะเลใต้ นักแสวงโชคทุกเพศทุกวัยเหล่านั้นประกอบด้วย
กุลี ขอทาน รวมไปถึงศิลปิน (งิ้ว)-ผู้เดินทางมาพร้อมซอเก่า ๆ คอยบรรเลงกล่อมพี่น้องบนเรือให้ระลึกถึงความหลังเศร้า
ๆ บนแผ่นดินใหญ่ สำเภาลำแล้วลำเล่าแวะเลียบส่งคนขึ้นฝั่งเป็นระยะ ๆ จากเกาะฟิลิปปินส์
บอร์เนียว ชวา สุมาตรา มะละกา มลายู ปีนัง และมาสุดทางที่เกาะภูเก็ต
ชาวจีนเหล่านั้นคือ กุลีทำงานในเหมืองแร่ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก!
จากนี้จึงเป็นจุดเริ่มที่ชาวจีนฮกเกี้ยนจำนวนมากค่อย ๆ กลืนชาวพื้นเมืองจำนวนน้อย
เกิดเป็นชุมชนใหม่ โรงเหล้า โรงยาฝิ่น ซ่องโสเภณี โรงหวยผุดขึ้นพร้อมกับคดีอาชากรรม
ปีนัง-เมืองที่ถูกชาวอังกฤษยึดครอง ความรู้สมัยใหม่เกี่ยวกับการทำเหมืองแร่ดีบุกเริ่มต้นที่นั่น
ในขณะเดียวกันอังกฤษก็ถือว่าเกาะภูเก็ตก็เป็นแหล่งแร่ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งที่รอจังหวะในการกอบโกยต่อไป
ชาวจีนฮกเกี้ยนรุ่นที่แวะขึ้นฝั่งและปักหลักที่ปีนังก็มีอาชีพที่เกี่ยวกับเหมืองดีบุกเช่นกัน
"ชาวจีนกลุ่มนี้อพยพมาที่เกาะภูเก็ตอีกระลอก แต่การมาของพวกเขาไม่เหมือนกลุ่มแรก
พวกเขามีเป้าหมายแน่ชัด คือประกอบกิจการเหมืองแร่ หรือติดต่อซื้อแร่จากภูเก็ตไปขายให้อังกฤษ"
นักประวัติศาสตร์ที่ค้นคว้าเรื่องคนจีนในภาคใต้อธิบาย
คนจีนเหล่านี้นอกจากจะมีความรู้เรื่องเหมืองแร่แล้ว ยังมีทุนรอนที่ได้จากการสะสมไว้ก่อนหน้านี้
"คนจีนที่ทำงานในเหมืองคนจีนหรือคนไทยที่ภูเก็ต สภาพชีวิตความเป็นอยู่ลำบากมาก
ถูกเอารัดเอาเปรียบ แตกต่างจากชาวจีนรุ่นที่มาจากปีนัง ซึ่งเคยทำงานในเหมืองฝรั่ง
ความแตกต่างเหล่านี้ทำให้เกิดขบวนการอั้งยี่ และคนที่เป็นหัวหน้าก็จะเป็นคนจีนรุ่นหลังนั่นเอง"
เขาเล่าต่อ
เป้าหมายการต่อสู้ของกลุ่มอั้งยี่ในระยะแรกเพื่อรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตนเท่านั้น
บ่อยครั้งกลุ่มอั้งยี่บางกลุ่มก็เกิดวิวาทบาดหมางกันเอง จนกลายเป็นตำนานเล่าขานกันในกาลต่อมาว่า
ได้ต่อสู้กันถึง 30 ปี โดยลงเอยด้วยโศกนาฏกรรมเผาตายนับน้อยคน เป็นต้น
จะด้วยเหตุใดก็ตามชาวอังกฤษก็ยังไม่มาดำเนินการโดยตรงในประเทศไทย!?
ในสมัย ร. 5 กรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นเสนาบดีมหาดไทย!?
"พวกอังกฤษยุหนังสือพิมพ์ที่เมืองสิงคโปร์และเมืองปีนัง ทั้งพวกทำเหมืองแร่โฆษณากล่าวโทษเนือง
ๆ ว่า พวกคนในบังคับของอังกฤษที่ไปทำเหมืองแร่ที่ภูเก็ต ไม่ได้รับความทะนุบำรุงตอบแทนเงินภาษีอากรที่ต้องเสียแก่ไทย
เพราะรัฐบาลเอาเงินรายได้ตามตัวเมืองเข้าไปใช้สอยในราชธานีเสียหมด สมเด็จพระเจ้าหลวงตรัสปรารภกับหม่อมฉันว่า
จะต้องจัดการแก้ไขอย่างใดอย่างหนึ่งเพราะที่เขาว่านั้นเป็นความจริงอยู่บ้าง
หม่อมฉันเห็นว่าทางที่แก้ไขต้องจัดบำรุงเมืองภูเก็ต เช่น ทำถนนหนทาง และจัดการ…
ตามอย่างเมืองปีนังเท่านั้นที่จะทำได้…" กรมพระยาดำรงฯ เขียนบันทึกทูลสมเด็จกรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ถึงมูลเหตุของการฟื้นฟูเมืองภูเก็ตเพื่อเชิญชวนชาวอังกฤษเข้าดำเนินกิจการเหมืองแร่โดยตรง
กัปตันไมล์ เจ้าของบริษัททุ่งคาฮาร์เบอร์ ได้เข้ามาดำเนินกิจการเหมืองแร่ในภูเก็ตโดยนำเรือดีบุกลำแรกมาใช้ในประเทศไทยปี
2540 พร้อมกันนั้นก็มีบริษัททุ่งคาคอมเปาวน์ และบริษัทสเตรทเทรดดิ้งซึ่งเข้าดำเนินการค้าแร่ดีบุก"
กัปตันไมล์เข้ามาโดยื่นเงื่อนไขว่า ต้องให้แบงก์ชาเตอร์สมาเปิดสาขาที่ภูเก็ต
และขอให้ตั้งโรงพักตำรวจหน้าแบงก์ด้วย" คนเก่าแก่ภูเก็ตเล่าให้ฟังซึ่งยืนยันได้จากหลักฐานที่ปรากฏในปัจจุบัน
บุคคลที่ได้รับการยกย่องในการพัฒนาเมืองภูเก็ตคราวนั้นคือ คอซิมบี้ หรือพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี
ต้นตระกูล ระนอง
ว่ากันว่า กลุ่มอั้งยี่ได้ก่อคดีฆ่าฟันกันเป็นประจำ และมักจะเกี่ยวพันมาถึงผู้ประกอบกิจการเหมืองแร่ชาวอังกฤษ
ถึงกับทางกรุงเทพฯ ต้องส่งเรือรบหลวงมาคอยระงับเหตุ
คอซิมบี้ในฐานะเจ้าเมืองภูเก็ตพลิกกลยุทธ์การปกครอง โดยเชิญพวกกุลี หัวหน้าอั้งยี่
มาปรับความเข้าใจ พร้อมทั้งตั้งคณะกรรมการพิเศษช่วยปกครองบ้านเมือง "บรรดาคณะกรรมการพิเศษหรือบรรดาหัวหน้าอั้งยี่ต่อมาได้กลายเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของเมืองและสืบเชื้อสายมาจนทุกวันนี้"
ผู้รู้บอก
ทั้งยังได้รับการแต่งตั้งมีบรรดาศักดิ์เป็นการให้กำลังใจอีกทางหนึ่งอาทิ
หลวงอำนาจนรรักษ์ (ตันกวด) ต้นตระกูลตัณฑเวส พระอร่ามสาครเขตร์ (ตันเพ็กฮวด)
ต้นตระกูลตันทัย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเจ้าของที่ดินค่อนเกาะภูเก็ต พระพิทักษ์ชินประชา
(ตันม้าเสียง) ต้นตระกูลตัณฑวณิช หลวงอนุภาษภูเก็ตการ (ลิ้มเจียน) ต้นตระกูลหงษ์หยก
เป็นต้น
และนี่เองก็คือจุดเริ่ม CONNECTION ที่ผู้นำทางเศรษฐกิจของภูเก็ตเหล่านี้โยงมาถึง
เจ้าหน้าที่ของรัฐรวมไปถึงราชนิกูล
ผู้นำเศรษฐกิจของเกาะภูเก็ตยุคดังกล่าวยังพอหลงเหลือและสืบทอดมาถึงปัจจุบัน
ก็เห็นจะได้แก่ตระกูลหงษ์หยก และตระกูลเอกวานิช ซึ่งถือว่าเป็น 2 ใน 10 กลุ่มเศรษฐีภูเก็ตปัจจุบัน
ในบรรดาเศรษฐีภูเก็ตประมาณ 10 ตระกูลที่คุม "ชีพจร" เมืองภูเก็ตทั้งเกาะนั้น
ได้เดินทางออกเป็น 2 สาย หนึ่ง-เกิดที่ภูเก็ต รวยที่ภูเก็ต และดำเนินธุรกิจปักหลักปักฐานที่ภูเก็ต
หรือจังหวัดใกล้เคียงตลอดไป สอง-ทำตัวเป็น "พวกอพยพ" ไม่จบสิ้น
ขยายอาณาจักรออกไปทั่วประเทศ หลาย ๆ ประเทศ จนได้ชื่อว่าเป็นนักลงทุนระดับอินเตอร์ฯ
ไปแล้ว "บางทีก็เป็นนักขนเงินออกนอกประเทศด้วย" ผู้มองโลกในแง่ร้ายบางคนตั้งข้อสังเกต
สายแรกได้แก่ หงษ์หยก เอกวานิช ณ ระนอง ถาวรว่องวงศ์ ตันติวิทย์ ซิ่นฮ่องซุ่ย
(อุปติศฤงค์) สายที่สอง--บุญสูง งานทวี ยงสกุล วานิช
หงษ์หยก เป็นคนแซ่ตัน (คนแซ่ตันเต็มเมืองภูเก็ต) คนแรกที่พอจะสาวไปถึงชื่อตันเชกอูด
มีลูกชายคนหนึ่ง-ตันจินหงวน ซึ่งต่อมาได้บรรดาศักดิ์เป็นหลวงอนุภาษภูเก็ต
เป็นคนแรกที่บุกเบิกกิจการทำเหมืองเป็นวิธีเหมืองสูบ และเป็นคนไทยคนที่สองที่มีเอขุดของตนเอง
ตันจินหงวน ปัจจุบันมีกิจการทำสวนยาง โรงหล่อกลึง โรงน้ำแข็ง โรงงานไม้แปรรูป
โรงสีข้าว และมีที่ดินในเมืองภูเก็ตจำนวนไม่น้อย
ตระกูลเอกวานิชมีลูกสาวหลายคน และในจำนวนนี้แต่งงานกับลูกเศรษฐีเมืองภูเก็ตด้วยกัน
อาทิ ถาวรว่องวงศ์ งานทวี ด้วยเหตุนี้การดำเนินธุรกิจของเอกวานิชจึงดูเหมือนไม่มีความขัดแย้งกับใครโดยตรง
ณ ระนอง ชื่อตระกูลนี้มาจากคอซิมบี้หรือพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี
พ่อเมืองภูเก็ต ที่ได้รับการยกย่องว่า ได้เปิดเกาะภูเก็ตต้อนรับชาวต่างชาติ
และพัฒนาเมืองภูเก็ต แต่ทว่าความเป็นเศรษฐีของตระกูล ณ ระนอง ปัจจุบันกลับมาจากตระกูลโภคารักษ์โดยมีขุนเลิศโภคารักษ์เป็นต้นตระกูล
ตามประวัติศาสตร์ระบุว่า ขุนเลิศโภคารักษ์นั้นเริ่มธุรกิจด้วยการรับเหมาส่งฟืนป้อนบริษัททุ่งคาฮาร์เบอร์
บริษัทฝรั่งเศสรายแรกที่นำเรือขุดแร่เครื่องจักรไอน้ำเข้ามาดำเนินกิจการเหมืองแร่ในประเทศไทย
ครั้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองระเบิดขึ้นฝรั่งเจ้าของบริษัททุ่งคาฮาร์เบอร์ก็จำต้องถอยทัพกลับประเทศ
ขุนเลิศฯ ผู้ซื่อสัตย์เก็บเอกสาร แผนที่สัมปทานเหมืองแร่ต่าง ๆ ไว้ให้ เมื่อลูกชายกัปตันไมล์ทายาทได้กลับมาฟื้นฟูทุ่งคาฮาร์เบอร์อีกครั้ง
ขุนเลิศฯ ก็ได้รับผลตอบแทนความซื่อสัตย์ด้วยสัมปทานเหมืองแร่ชั้นดี ที่สามารถสร้างความร่ำรวยอันรวดเร็วเพียงอายุ
40 กว่าปีเท่านั้น
เขามีลูกสาวเพียงคนเดียว ชื่อกาญจนา ต่อมาได้แต่งงานกับอุ่น ณ ระนอง มรดกของขุนเลิศทั้งหมดจึงตกทอดมาอย่างเป็นกอบเป็นกำต่อมา
คนที่ได้รับผลแห่งความซื่อสัตย์และอุตสาหะของเขาในปัจจุบันคือ วิจิตร ณ ระนอง
หลานตานั่นเอง
ณ ระนอง หลังจากร่ำรวยอู้ฟู่จากกิจการเหมืองแร่ต่อมาภายหลังก็ DIVERSIFIED
สู่กิจการโรงแรม อันได้แก่ โรงแรมเพิร์ล โรงแรมที่ใหญ่ที่สุดของภูเก็ตปัจจุบัน
รวมทั้งรีสอร์ตที่หาดราไว
วิจิตร ณ ระนอง คนหนุ่มผู้มีอนาคตไกล ผู้กุมบังเหียนของตระกูลนี้ เน้นธุรกิจโรงแรมเป็นจุดหนัก
อย่างไรก็ตามเขาเองก็ไม่ทิ้งกลิ่นอายของเศรษฐีภูเก็ตทั่วไปคือ มีกิจการสวนยาง
และสวนปาล์มที่สุราษฎร์ฯ ในจำนวนไม่น้อยไม่มาก
ถาวรว่องวงศ์ คนจีนฮกเกี้ยนแซ่อ๋องต้นตระกูลคือ อ๋องซิมพ่าย นับเป็นแบบฉบับนักธุรกิจใหญ่ที่ปักหลักปักฐานที่เมืองภูเก็ตอย่างแท้จริง
ปัจจุบัน ติลก ถาวรว่องวงศ์ คือผู้นำกลุ่มธุรกิจนี้
เขาโตมาจากเหมือง และติลกร่ำเรียนที่ปีนังเหมือน ๆ ทายาทของผู้มีอันจะกินคนอื่น
ๆ ทั่วไปบนเกาะภูเก็ต ตระกูลถาวรว่องวงศ์ถือเป็น "นายหัว" เหมืองแร่คนแรกที่กระโจนมาจับธุรกิจโรงแรม
ภูมิหลังแรงจูงใจนี้มีการเล่าปากต่อปากมาจนทุกวันนี้ว่า ผู้ที่ผลักดันให้อ๋องซิมพ่าย
สร้างโรงแรมได้แก่ จอมพลสฤศดิ์ ธนะรัชต์ ผู้มีอำนาจล้นฟ้าในช่วงกึ่งพุทธบาล
โรงแรมถาวร สูง 5 ชั้น เปิดกิจการเมื่อ 2506 ก่อสร้างด้วยเงินประมาณ 10
ล้านบาท ในสมัยนั้นถือเป็นโรงแรมชั้นหนึ่งที่โอ่อ่ามาก
จากจุดนี้เอง ถาวรว่องวงศ์ จึงเดินเครื่องธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว
และที่ดิน โดยมีปรัชญาการดำเนินธุรกิจที่มุ่งสร้างสินทรัพย์เป็นหลัก อาทิ
หมู่บ้านนิมิตร โรงภาพยนตร์ ศูนย์การค้า บาร์-ไนต์คลับ กิจการฟาร์มจระเข้
ในขณะนี้กำลังเร่งก่อสร้างโรงแรมที่ริมหาดกะรน และหาดนาคาเร ด้วยเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า
100 ล้านบาท
ติลกส่งลูกสาว-ลูกชายไปเรียนเมืองนอก ศึกษาวิชาธุรกิจโรงแรมอย่างตรงเป้า
ถาวรวงศ์ เป็นเศรษฐีภูเก็ตที่มีที่ดินจำนวนมากในเมือง และเป็นเอเย่นต์เพียงรายเดียวในการจำหน่ายสุรายี่ห้อแสงโสมและหงส์หยก
ของกลุ่มหงส์ทอง ที่คนภูเก็ตชอบดื่ม โดยไม่รู้ว่าเป็นของพงส์ สารสิน (ในขณะที่แอนตี้ไม่ดื่มโค้ก)
บุญสูง ถือกันว่าเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองภูเก็ต หรือจะกล่าวให้ใกล้เคียงความเป็นจริงก็ว่า
อันดับหนึ่งของภาคใต้เลยทีเดียว และความจริงบุญสูงไม่ได้เริ่มปักหลักที่ภูเก็ตเป็นแห่งแรก
คนบุญสูงถือว่าตนเองกำเนิดที่พังงา และทว่าปัจจุบันบุญสูงกลายเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่งอกเงยในทุกพื้นที่
หลายประเทศ จนมีบางคนบอกว่า เขายังตัวเหมือนคนจีนฮกเกี้ยนเมื่อ 100 กว่าปีก่อนที่อพยพไปทุกที่ที่ทำมาหากินร่ำรวยได้อยู่อย่างไรก็อย่างนั้น
จุติ บุญสูง คือคนแรกที่นำบุญสูงขึ้นสูงเด่น หากค้นคว้าให้ไกลกว่านั้นในยุคนั้นจะพบว่า
บรรพบุรุษของเขาคือ เอ่งเซ่ง หรือเรียกกันว่า พ่อแดงอันเป็นสิ่งแสดงสัญลักษณ์ของหัวหน้าอั้งยี่ธงแดงในยุคนั้นนั่นเอง
เขาคบค้ากับอังกฤษและเข้ามาชายฝั่งทะเลอันดามันของประเทศไทยก็เพราะต้องการแร่ดีบุกไปขายพวกอังกฤษ
บุญสูงร่ำรวยอย่างมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เนื่องจากคบค้าขายกับญี่ปุ่น
"คุณจุติคบกันญี่ปุ่นอย่างเพื่อนและซื่อสัตย์ต่อญี่ปุ่นมาก เมื่อญี่ปุ่นหวนกลับมาเมืองไทยอีกครั้งภายหลังสงคราม
คุณจุติจึงเป็นคนแรก ๆ ที่พวกญี่ปุ่นคิดถึงบุญคุณ" แหล่งข่าวว่า และนี่ก็คือที่มาของการลงทุนร่วมกับญี่ปุ่นอย่างสนั่นหวั่นไหวในเวลาต่อมาจนผู้คนฉงนสนเท่ห์
มิเพียงเท่านั้น จุติยังมี CONNECTION อันลึกซึ้งกับราชนิกูล และตระกูลสารสินผู้ยิ่งยงทางธุรกิจอีกกลุ่มหนึ่งของเมืองไทยที่บรรดาธนาคารพาณิชย์พยายามเก็บตกคนตระกูลนี้มาเป็นกรรมการในปัจจุบัน
"คุณจุติรู้จักคุณพจน์ สารสิน สมัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาการยุคจอมพลสฤษดิ์ฯ
ที่รับผิดชอบกรมป่าไม้ และกรมทรัพยากรธรณี เรียกว่าสนิทกันมาก ๆ จนไม่รู้จะใช้คำขยายอย่างไรดี"
ผู้รู้ปักใจเชื่ออย่างมาก
มรว. พงศ์อมร กฤดากร เพื่อนของจุติ บุญสูง เขียนคำไว้อาลัยวันลาจากโลกของจุติบ่งบอกอย่างชัดเจนถึงความสัมพันธ์ของเขากับจุติ
ตระกูลบุญสูงมีกิจการในเครือไม่ต่ำกว่า 20 บริษัท โดยพุ่งเป้า JOINTVENTURE
กับญี่ปุ่น อาทิ อิซูซุมอเตอร์ ไทยบริดจ์สโตน นิปปอนเดนโซฯลฯ
หากจะกล่าวไปแล้ว ธุรกิจที่ภูเก็ตเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจของบุญสูงในประเทศไทย
เพียงแต่ว่าที่ภูเก็ตเป็นจุดแรก ๆ ที่เขาสะสมความร่ำรวยต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด
งานทวี เศรษฐีภูเก็ตอีกคนที่อาณาจักรกว้างออกไปมาก สไตล์การขยายอาณาจักรคล้าย
ๆ กับบุญสูง จะต่างก็เพียง 2 จุด หนึ่ง-งานทวีปัจจุบันมีพื้นฐานกิจการสวนยางค่อนข้างมาก
ว่ากันว่ามีพื้นที่สวยมากที่สุดในปะเทศไทย เป็นธุรกิจที่งานทวียังรุกไม่ถอยหลังจากกิจการเหมืองแร่ซบเซา
สอง-งานทวีไม่คบญี่ปุ่น หากคบไต้หวันแทน "เขามีอดีตที่ไม่ลงรอยกับญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
และญี่ปุ่นเองก็คิดถึงประวัติศาสตร์เสียด้วย หรือพูดให้ชัด งานทวีนั้นสายก๊กมินตั๋งเต็มตัว"
คนภูเก็ตเก่าแก่บอก และชี้ว่าการลงทุนของงานทวีในต่างประเทศปัจุบันจึงมีอยู่ที่ไต้หวันไม่น้อย
เขาเป็นคนจีนฮกเกี้ยนจากปีนัง มาปักหลักที่ภูเก็ต อาศัยบารมีของพระพิทักษ์ชินประชา
และค่อย ๆ ขยายอาณาจักรออกไปในหลายจังหวัดภาคใต้ มีกิจการเหมืองแร่ สวนปาล์ม
หมู่บ้านจัดสรร สไตล์ธุรกิจของกลุ่มค่อนข้างไม่พยายามยุ่งเกี่ยวกับใครมากนัก
ยงสกุล เริ่มมาที่ภูเก็ต เพราะต้องการขยายกิจการค้าหลัก นำสินค้าจากตะวันตกมาขายให้กับผู้ประกอบกิจการเหมืองแร่ชาวฝรั่ง
ซึ่งได้ขยายกิจการมาสู่ภูเก็ตเช่นเดียวกัน ในที่สุดก็ปักหลักทำธุรกิจเหมืองแร่ที่นี่ด้วย
ในบรรดาเศรษฐีภูเก็ตที่กล่าวมาแล้วและจะกล่าวต่อไป ยงสกุลได้ชื่อว่า "ขี้เหนียว"
ที่สุด ชอบเก็บเงินสดไว้ในธนาคาร บางคนบอกว่าหากยงสกุลมาถอนเงินฝากไปเพียงคนเดียวที่ธนาคารแหลมทอง
สาขาภูเก็ต ธนาคารจะไม่มีปัญญาจ่าย
การดำเนินธุรกิจมักจะติดสอยห้อยตามบุญสูง มีการลงทุนในต่างประเทศประปราย
และค่อนข้างเงียบ ๆ
บริษัทเหมืองแร่ลุ่นเส็งของเขาได้ชื่อว่าได้รับสัมปทานต่อจากฝรั่งรายแรกที่มาหากินที่ภูเก็ต
อาทิ บริษัททุ่งคาคอมเปาวน์ที่อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง ซะเทินคินตา ที่
ต. เกาะแก้ว-สะป่า อ. เมืองภูเก็ต เป็นต้น
ยงสกุลนอกจากทำเหมืองแร่แล้วว่ากันว่าทำอย่างอื่นไม่ค่อยเป็น จึงออกมาในลักษณะร่วมทุนเท่านั้น
วาณิช คนแซ่เอี๊ยบ เช่นเดียวกับเอี๊ยบ ซุน อัน เจ้าของโครงการอื้อฉาวที่ถูกเผาไปไม่นานมานี้
(เรื่องที่ "ผู้จัดการ" พยายามเขียนอยู่ขณะนี้) กำพืดของเขาเริ่มจริง
ๆ ที่พังงา ตามสูตรก็เศรษฐีภูเก็ตทุกคนร่ำรวยจากการขุดของมีค่าในดินไปขาย
(ไม่มีเทคนิคอะไรซับซ้อน) เจียร วาณิช หรือ "เถ้าแก่เจียร" คือคนที่ธนาคารกรุงเทพลืมไม่ได้
ในฐานะผู้บุกเบิกสาขาธนาคารแห่งนี้ในเขตภาคใต้โดยเริ่มยึดหัวหาดที่ภูเก็ตเป็นแห่งแรก
"เถ้าแก่เจียร" มีความสัมพันธ์อันดีกับไทยซาร์โก้ เพราะแต่แรกคนที่มีอำนาจเหนือทั้งไทยซาร์โก้และธนาคารกรุงเทพคือกลุ่มสี่เสาเทเวศร์
เถ้าแก่เจียรมีลูกชายคนเดียวชื่อ เอกพจน์ วุฒิสมาชิกคนดังของภาคใต้ที่ชอบกีฬายิงปืนเป็นชีวิตจิตใจ
และเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงที่ทำให้ไทยซาร์โก้เจียดเงินมาสร้างสนามยิงปืนเมื่อภูเก็ตเป็นเจ้าภาพกีฬาเขต
เขากับเอี๊ยบ ซุน อัน นั่นคือขมิ้นกับปูน เมื่อเอี๊ยบอยู่กับเถ้าแก่เจียร
และเป็น "หลงจู๊" ที่เถ้าแก่รักใคร่มาก เอกพจน์ก็คงค่อนข้างอึดอัด
ดังนั้นเมื่อเถ้าแก่เจียรลาโลกไป ลูกชายคนเดียวเช่นเขาจึงมีโอกาสอันชอบธรรมที่จะกุมชะตาชีวิตธุรกิจในตระกูลวาณิชต่อไป
เอี๊ยบ ซุน อัน จึงจำต้องระเห็จออกจากบ้านวาณิชตั้งแต่นั้นมา
เอกพจน์ปัจจุบันได้กลายเป็นนักลงทุนกิจการสวนปาล์มที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ
และถึงขั้นร่วมทุนกับบริษัทยูนิลิเวอร์ยักษ์ใหญ่คอนซูเมอร์โปร์ดักส์ เชื้อสายเดียวดัช-อังกฤษ
(เช่นเดียวกับเชลล์)
ท่ามกลางอาณาจักรธุรกิจที่ขยายตัวจากภูเก็ต ทั่วพื้นที่ภาคใต้ และข้ามไปสู่ระดับโลกนั้น
ปัจจุบันเอกพจน์ วาณิช ยังมี "โหงวเฮ้ง" และบารมีจะเป็นรัฐมนตรีกับเขาด้วยคนหนึ่ง
หากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล
ตันติวิทย์ ตระกูลเก่าอีกตระกูลหนึ่ง ปัจจุบันผ่านมาแล้ว 3 GENERATION
บันลือ ตันติวิทย์ ดูจะเป็นนักธุรกิจที่โดดเด่นที่สุดในภูเก็ตคนหนึ่ง เขาเริ่มจากเหมืองแร่
จนถึงปัจจุบันกำลังหันเหไปสู่ธุรกิจท่องเที่ยว โดยร่วมทุนกับญาติที่ปีนัง
(เศรษฐีภูเก็ตมีญาติที่ปีนังเกือบทุกคน) สร้างรีสอร์ตที่หาดป่าตอง นอกจากที่ภูเก็ตแล้วตันติวิทย์ยังมีกิจการเหมืองแร่ที่ระนองอีก
บันลือยังมีน้องชายชื่อบันเทอง ตันติวิทย์ ซึ่งเก่งเรื่องการเงินมาก ปัจจุบันเป็นผู้บริหารไฟแนนซ์แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
สุดท้าย อุปติศฤงค์ ตระกูลนักธุรกิจใหญ่ที่ชาวภูเก็ตเรียกกันว่า "ซิ่นฮ่องซุ่ย"
ได้ชื่อว่าเป็นราชาสนยางแห่งภาคใต้ที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับงานทวี ซึ่งเคยมีอดีตที่ขมขื่นระหว่างตระกูลทั้งสองเกี่ยวกับสวนยางหลายแสนไร่เมื่อประมาณ
30 ปีก่อน มีคดีฆ่ากันตายอื้อฉาวไปทั้งเมืองภูเก็ต ว่ากันว่าหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น
สองตระกูลไม่คบค้ากันอีกเลย
ในด้านการลงทุนที่ชี้ความสัมพันธ์ทั้งเบื้องลึกและเบื้องสูงก็คือ ซิ่นฮ่องซุ่ยเป็นเอเย่นต์เบียร์สิงห์ของภูเก็ต
รวมทั้งมีข่าวว่าถือหุ้นในบริษัทบุญรอดบริวเวอรี่ อีกด้วย
เศรษฐีภูเก็ตในปัจจุบันที่มีการ "เกาะตัว" อย่างเหนียวแน่น"
จะเห็นได้แก่ บุญสูง ยงสกุล และงานทวี บ่อยครั้งที่กลุ่มพวกนี้ประกาศออกมาค่อนข้างชัดแจ้งในการ
"ต่อสู้" กับนายทุนต่างชาติอีกลุ่มหนึ่งที่มาปะทะทางผลประโยชน์ในกิจการเหมืองแร่ที่ภูเก็ตและบริเวณริมฝั่งด้านทะเลอันดามัน
อย่างไรก็ตามพวกเขามิได้ต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว เขาได้กระโจนไปอีกฝ่ายหนึ่งที่มี
KNOW-HOW อันเป็นยุทธวิธีต่อสู้มาหลายยุคหลายสมัย (โปรดอ่านในเรื่องนี้ประกอบ)
และอย่างไรก็ตาม มีบางคนตั้งคำถามขึ้นมาว่า พวกเขาบางตระกูลเหล่านี้จะแตกต่างอะไรกับ
"ต่างชาติ" อื่น ๆ เล่าในเมื่อพวกเขาทำตัวเป็นพวกอพยพไม่จบสิ้น
จนไม่รู้แล้วว่า เขาคือสวนหนึ่งของภูเก็ตหรือสังคมไทยหรอไม่?!?! หรือพวกเขาคำนึงถึงแต่ตัวเองเท่านั้น!?!?!?