อาจจะกล่าวได้ว่าคนไทยทุกคนหรือกว้างออกไปก็คงจะเป็นคนทั้งโลกนั้น อยากทราบกันมากว่าอะไรหรือใคร
คือเบื้องหลังเหตุการณ์จลาจลเผาโรงงานแทนทาลัมที่จังหวัดภูเก็ต และมีหลายคนพยายามจะอธิบายกันไปต่างๆ นานา ใกล้ตัวบ้าง ไกลตัวบ้าง แต่ก็เหมือนว่าจะไม่ช่วยให้คลายข้อคลางแคลงใจไปได้เท่าไหร่
“ผู้จัดการ” เองก็พยายามจะอธิบายตามแนวทางที่ได้ติดตามและรับทราบ
แต่คงไม่ถึงกับพูดหรอกว่า นี่คือเบื้องหลังที่แท้จริงทั้งหมด
เรื่องราวบางเรื่องในใต้หล้ามีบ้างที่เกิดขึ้นแล้วจบลงโดยไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ
แต่ยังมีเรื่องราวอีกบางเรื่องที่กลับต้องการคำอธิบายและขุดคุ้ยหาสาเหตุ
ดังกรณีโรงงาน “แทนทาลัม” ที่ภูเก็ตก็คงจะเข้าข่ายเรื่องราวอีกบางเรื่องนี้
คำอธิบายเรื่องราวนานานั้นมักจะเป็น 2 ด้าน ปรากฏการณ์ด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเป็นเนื้อแท้อันก่อให้เกิดปรากฏการณ์ขึ้น
ในการอธิบายเรื่องราวกรณีโรงงาน “แทนทาลัม” ที่บานปลายเป็นเหตุการณ์จลาจลเมื่อเร็วๆ
นี้ ก็มีพูดกันทั้ง 2 ด้าน เพียงแต่แพร่หลายที่สุดล้วนเป็นด้านปรากฏการณ์
เพราะการอธิบายโดยยึดติดปรากฏการณ์เป็นเรื่องไม่ยาก
อาจจะเริ่มได้ตั้งแต่ช่วงต้นๆ ปี 2529 เมื่อมีการเคลื่อนไหวศึกษาปัญหามลพิษจากโรงงานบริษัทไทยแลนด์แทนทาลัมอินดัสทรีย์ (ทีทีไอซี) ของนิสิตนักศึกษาและนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมกลุ่มหนึ่ง ผลการศึกษาแม้ว่าจะไม่ได้คำตอบอะไรชัดเจนมากนัก
แต่ก็มีการตั้งข้อสงสัยว่ากรรมวิธีการผลิตทางเคมีของโรงงานจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและลุกลามไปถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของภูเก็ต
ต่อมามีกลุ่มนิสิตนักศึกษาในนามชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกลุ่ม
24 สถาบัน ซึ่งหลายคนเป็นคนท้องถิ่นที่ขึ้นไปเรียนในระดับอุดมศึกษาในกรุงเทพฯ
นำข้อสงสัยนี้มาเผยแพร่และทำงานความคิดให้ประชาชนชาวภูเก็ตได้ร่วมรับทราบ
มีการนำวิดีโอเกี่ยวกับหายนะของโรงงานยูเนียนคาร์ไบด์ในอินเดียและภาพยนตร์เรื่อง
“เดอะ เดย์ อาฟเตอร์” เข้ามาประกอบให้สมเหตุสมผล พร้อมๆ กับการจัดตั้งแกนเคลื่อนไหวในนามกลุ่มประสานงานฯ
ดึงปัญญาชนและผู้นำระดับท้องถิ่นเข้าร่วม และเผอิญช่วงนั้นก็มีข่าวดาวเทียมในจอทีวีเกี่ยวกับการรั่วไหลของกัมมันตภาพรังสีจากโรงงานไฟฟ้าปรมาณูเชอร์โนบิลของโซเวียตพอเหมาะพอเจาะด้วย
เพียงการเคลื่อนไหวช่วงสั้นๆ อย่างต่อเนื่องและเป็นระบบก็ทำให้บรรยากาศแห่งความกลัวตายเริ่มแพร่คลุมไปทั่วทั้งเกาะ
หัวข้อการบ่นสนทนาในช่วงนั้นก็ไม่มีเรื่องอื่นนอกจากเรื่องโรงงานนรกแห่งนี้?
หน่วยงานของทางการที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องก็ให้คำตอบไม่ได้ว่า โรงงานแทนทาลัมจะเป็นพิษเป็นภัยจริงหรือไม่?
เนื่องจากเอาเข้าจริงทั้งคนของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานสิ่งแวดล้อมแห่งชาติก็บอกว่า
เป็นเทคโนโลยีใหม่จะต้องไปเรียนรู้จากเยอรมันเสียก่อนจึงให้คำตอบได้
ส่วนฝ่ายโรงงานต้นเหตุก็แสดงท่าทีและกล่าวแก้ต่างอย่างกำกวม ตัวผู้บริหารโรงงานที่มีหน้าที่จะต้องแถลงข้อเท็จจริงอย่างเปิดใจนั้นก็อยู่ในสภาพที่ยิ่งพูดยิ่งพัง
ยิ่งออกความเห็นก็เหมือนกับยิ่งยั่วยุ
มีนักข่าวท้องถิ่นคนหนึ่งเคยถามอาทร ต้องวัฒนา ผู้ถือหุ้นของโรงงานและมีตำแหน่งเป็นประธานสภาจังหวัดภูเก็ตว่า
จะแก้ความเข้าใจผิดนี้อย่างไร? อาทรก็ยืดอกตอบว่า ไม่ต้องห่วงหากถึงวันเปิดโรงงานเมื่อไร?
จะเช่าเครื่องบินแอร์บัสเอานักข่าวจากส่วนกลางมาดูโรงงานด้วยตาตัวเอง รับรองว่าหนังสือพิมพ์ส่วนกลางจะกระพือข่าวไปทั่วประเทศแล้วทุกอย่างก็จะหมดปัญหา
นักข่าวท้องถิ่นคนนั้นได้ฟังแล้วก็กัดฟันกรอดๆ
หรือเมื่อภายหลังการชุมนุมใหญ่คัดค้านโรงงานแทนทาลัมเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน
ที่มีคนมาร่วมราวๆ 6 หมื่นคนนั้น นักข่าวส่วนกลางฉบับหนึ่งถามธรรมเรศน์
สุวรรณภาณุ ผู้จัดการฝ่ายบริหารของโรงงานว่ารู้สึกอย่างไร? ธรรมเรศน์ก็บอกทำนองว่า
ไม่ยั่น เพราะเชื่อว่าคนที่มาชุมนุมส่วนมากมากันแบบไม่รู้เรื่อง ก็เข้าทำนองตามแห่นั่นแหละ
ตามคำบอกเล่าของคนภูเก็ตจำนวนมากที่ “ผู้จัดการ” ลงไปสัมผัสโดยตรงกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า
“พูดดูถูกกันอย่างนี้เจ็บใจอย่างยิ่ง
จากการชุมนุมแสดงพลังครั้งแรกที่จัดโดยกลุ่มประสานงานฯ กลุ่ม 24 สถาบัน
และกลุ่มตลาดสดกับกลุ่มบางเหนียว (กลุ่มตลาดสดกับกลุ่มบางเหนียวเป็นกลุ่มพลังที่ถือว่ามีพลังมากในภูเก็ต)
ฯลฯ ซึ่งเป็นการชุมนุมคนที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน แม้ในเทศกาลกินเจที่ลือลั่นของภูเก็ตก็ดูเหมือนว่าแนวร่วมของกลุ่มคัดค้านจะขยายตัวกว้างขวางขึ้น
และเมื่อขยายตัวการนำที่เคยเป็นเอกภาพก็เริ่มเข้าสู่จุดที่ไร้การจัดตั้ง
เป็นช่วงที่นักการเมืองที่ลงสมัคร ส.ส. บางคนพยายามเข้าแทรกด้วยความหวังว่าจะได้คะแนนเสียง
และเริ่มจะมีเป้าหมายการคัดค้านต่างๆ ออกไปตามจุดยืนหรือผลประโยชน์ของแต่ละกลุ่ม
บางกลุ่มระบุว่าไม่ต้องการโรงงานแทนทาลัมตั้งอยู่บนเกาะภูเก็ต
บางกลุ่มก็ว่าไม่ต้องการโรงงานแทนทาลัมในประเทศไทย
ส่วนบางกลุ่มอย่างเช่นกลุ่มของผู้สมัคร ส.ส. หมายเลข 6 พรรคพลังใหม่ที่ชื่อ เรวุฒิ
จินดาพล ก็มาในมาดแปลก ด้วยการประกาศชัดถ้อยชัดคำว่า ถ้าเขาได้รับเลือกเข้าสภาเป็น
ส.ส. ก็จะต่อสู้เรื่องแทนทาลัมอย่างหัวชนฝาไม่ให้โรงงานนี้เปิดได้ และหากทำไม่สำเร็จเขาก็เตรียมโลงศพเอาไว้แล้ว
3 โลง โลงหนึ่งสำหรับผู้อนุญาตให้ตั้งโรงงานฯ อีกโลงหนึ่งสำหรับเจ้าของโรงงาน นายเอี๊ยบ
ซุน อัน และโลงสุดท้ายสำหรับตัวเขา เพราะเขาจะยิงตัวตายทันทีที่หน้ารัฐสภา
และเพื่อเชิดชูจุดยืนให้ดูสมจริง ในวันที่รัฐมนตรีอุตสาหกรรม ดร. จิรายุ
อิศรางกูรฯ เดินทางมาภูเก็ตเมื่อวันที่ 23 มิถุนายนนั้น เรวุฒิ จินดาพล ลูกชายเศรษฐีใหญ่เจ้าของสวนยางนับพันไร่คนนี้ก็พาสมัครพรรคพวกแบกโลงศพจริงๆ
ทั้ง 3 โลงมาต้อนรับรัฐมนตรีจิรายุถึงสนามบิน และเหตุการณ์ก็เริ่มวุ่นวายตั้งแต่สนามบินเรื่อยมาจนถึงตัวเมืองภูเก็ต
ว่ากันว่าการกระทำของเรวุฒิ ผู้สมัครเบอร์ 6 ก็เพื่อดัดหลังซ้อนแผนของบันลือ
ตันติวิทย์ ผู้สมัครพรรคราษฎรที่วันนั้นผู้ว่าฯ จะให้ความร่วมมือเพื่อทำให้บันลือเป็นขวัญใจประชาชน ต่อสู้เรียกร้องให้ปิดโรงงานได้สำเร็จ
ซึ่งแผนของบันลือได้มีการตระเตรียมถึงขั้นจัดพวงมาลัยไว้ให้คล้องคอและมีคนชุดหนึ่งจะเอาบันลือแบกขึ้นบ่าแห่ไปรอบเมือง
แต่ก็น่าเสียดายที่ยังไม่ทันได้คล้องพวงมาลัย แผนก็มาเริ่มเสียเมื่อเจอกับโลงศพของเรวุฒิเข้า
พร้อมๆ กับการขยายตัวของแนวร่วมคัดค้านโรงงานแทนทาลัมนี้เอง ผู้ว่าราชการจังหวัด
สนอง รอดโพธิ์ทอง ก็กระโดดเข้ามาอย่างไม่มีต้นมีปลาย ผู้ว่าฯ สนองได้ทำหนังสือเชิญชวนกลุ่มพลังมวลชน
18 กลุ่ม ทั้งกลุ่มที่เคลื่อนไหวอยู่เดิมและกลุ่มใหม่ๆ อย่างเช่น ชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านให้มาชุมนุมเสนอปัญหาให้รัฐมนตรีจิรายุรับทราบและฟังคำตอบว่ารัฐบาลจะจัดการปัญหาเช่นไรจากปากของรัฐมนตรีจิรายุ
จากนั้นก็เกิดเหตุการณ์จลาจลในวันที่ 23 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันชุมนุมมีคนมาร่วมเป็นจำนวนแสน
มีการเผาโรงงานและโรงแรมเมอร์ลิน ขว้างปาศาลาประชาคม และทำลายป้อมสัญญาณไฟจราจรทั่วเมือง
เพราะเหตุจากความไม่สามารถควบคุมฝูงชนให้อยู่ในระเบียบ ขาดการเตรียมพร้อมล่วงหน้า
ปล่อยให้ฝูงชนเฝ้าคอยรัฐมนตรีจิรายุ ตั้งแต่เช้าจนบ่ายด้วยความกระวนกระวาย
หิว เหนื่อย และคิดว่าตนถูกหลอกให้ต้องมานั่งตากแดดอย่างขาดความรับผิดชอบ
เรื่องที่ไม่น่าเกิดก็เลยต้องเกิดและเป็นการเปิดโอกาสให้ “มือที่สาม”
เข้าแทรกแซงก่อความวุ่นวายขึ้น
คำอธิบายแบบยึดติดปรากฏการณ์นี้สรุปแล้วก็ค่อนข้างจะง่ายและรวบรัด อีกทั้งยังเป็นคำอธิบายที่ไม่ต้องสุ่มเสี่ยงว่าจะไปชนตออะไรเข้าอีกด้วย
แต่ที่ไม่ง่ายและไม่รวบรัด กลับเป็นคำอธิบายที่หยั่งลึกลงสู่เนื้อแท้ของปัญหาจริงๆ
ซึ่งแน่นอน…เป็นคำอธิบายที่ค่อนข้างจะสุ่มเสี่ยงอยู่ไม่น้อย
คำอธิบายนี้แทนที่จะเริ่มกันตามคำอธิบายตัวปรากฏการณ์ข้างต้น ก็จะขอเริ่มกันตรงเหตุการณ์ในช่วงตั้งแต่
20 กว่าปีที่แล้ว เนื่องจากถ้าพิจารณากันอย่างตรงไปตรงมา เหตุการณ์เมื่อเร็วๆ
นี้มันได้เริ่มก่อหวอดขึ้นจากจุดเล็กๆ ในช่วงนั้นอย่างเงียบเชียบ…
นับแต่โบราณกาลนั้น ความลับเรื่องตะกรันแร่ดีบุกจะมีราคาค่างวดอย่างไรยังไม่มีใครทราบ
คนงานเหมืองแร่, คนภูเก็ต-พังงา ตลอดจนนายเหมืองชาวจีนที่ร่ำรวยขึ้นมาจากกิจการเหมืองแร่ทั้งหลายทราบกันแต่ว่ามันเป็นของที่ไร้ค่า
จะใช้ประโยชน์บ้างก็เพียงการถมถนนหรือถมบริเวณบ้าน ทุกคนล้วนไม่ทราบว่าแทนทาลัมเพนต็อกไซด์ที่ผสมอยู่ในตะกรันดีบุกคืออะไรด้วยซ้ำ?
ล่วงเข้าปี 2497 มีนักวิชาการด้านธรณีวิทยาของไทยบางคนที่ทราบว่า พื้นดินภาคใต้มีแร่แทนทาไลต์ในรูปของแทนทาลัมเพนต็อกไซด์ปะปนอยู่กับแร่ดีบุก
แต่เผอิญช่วงนั้นราคาแทนทาลัมเพนต็อกไซด์ยังไม่สูงมาก และไม่ใช่แหล่งแร่แทนทาไลต์โดดๆ
เหมือนเช่นบางประเทศในยุโรป การให้ความสำคัญในทางพาณิชย์ก็เลยไม่ปรากฏชัด
คงมีเพียงการบันทึกทางด้านวิชาการไว้เท่านั้น
“จากการวิเคราะห์ทางวิชาการก็พบว่า ดีบุกในประเทศไทยจะประกอบด้วยดีบุกบริสุทธิ์
73.4 เปอร์เซ็นต์ แทนทาลัมเพนต็อกไซด์ 1.1 เปอร์เซ็นต์ เหล็ก 0.5 เปอร์เซ็นต์
นอกนั้นเป็นมลทินอื่นๆ” บันทึกทางวิชาการของกรมทรัพยากรธรณีระบุ
และในช่วงหลังๆ ก็มีการประมาณการว่าแทนทาลัมชนิดที่เกิดขึ้นในแหล่งแร่ดีบุกของไทยนี้มีปริมาณถึง
16 ล้านปอนด์ (หมายถึงเนื้อของแทนทาลัม) ซึ่งมากที่สุดในโลก (ประมาณ 27 เปอร์เซ็นต์ของแทนทาลัมในโลกนี้)
ทีเดียว
แต่ทุกอย่างก็ยังเป็นความลับมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นยุคที่มีเตาถลุงแร่แบบโบราณในรัชสมัยพระพุทธเจ้าหลวงที่ภูเก็ต
พังงา ยุคที่มีการส่งแร่ไปถลุงในปีนังและมาเลเซีย หรือยุคที่มีการก่อตั้งโรงถลุงแร่เพียงแห่งเดียวของไทยในปัจจุบันเมื่อปี 2508 บริเวณอ่าวมะขาม จังหวัดภูเก็ตที่รู้จักกันในนามของไทยซาร์โก้แล้วก็ตาม
“คือนอกจากจะไม่เห็นคุณค่าของตะกรันแล้ว เวลาเอาแร่ไปขายก็ยังถูกหักค่ามลทินของดีบุกอีก
โดยโรงถลุงเขาอ้างว่าแร่ธาตุที่เจือปนอยู่ทำให้ดีบุกมีความบริสุทธิ์น้อยลงและยุ่งยากในการถลุง
เขาก็หักราคาไป โดยที่เจ้าของเหมืองก็ไม่ทราบว่าตัวแร่ธาตุที่โดนหักนั้นมันมีความลับมูลค่ามหาศาลแฝงอยู่…”
คนที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการเหมืองแร่มานานเล่าให้ฟัง
กล่าวสำหรับไทยซาร์โก้หรือบริษัทไทยแลนด์สเมลติ้งแอนด์รีไฟนิ่ง นับแต่ปี
2508 เป็นต้นมา ก็ต้องยอมรับว่าเป็นผู้ที่หยิบชิ้นปลามันโดยตลอด และก็ไม่มีใครสามารถทราบแน่ชัดว่าไทยซาร์โก้มีรายได้มหาศาลขนาดไหนจากการขายตะกรันแร่ไปต่างประเทศ?
ทุกคนทราบแน่ชัดเท่านั้นว่า ความลับเรื่องคุณค่าของตะกรันนี้ ไทยซาร์โก้รู้เรื่องมานานแล้ว
"จากสถิติที่เปิดเผยโดยกรมทรัพยากรธรณีเมื่อปี 2518 ซึ่งปีนั้น ไทยซาร์โก้ส่งตะกรันไปขายเป็นมูลค่า
26.2 ล้านบาท คำนวณกลับไปในช่วง 9 ปีของการตั้งโรงถลุง ก็เชื่อว่าไทยซาร์โก้น่าจะได้กำไรโดยมิพักต้องลงทุนลงแรงอะไรเลยจากแทนทาลัมเพนต็อกไซด์นี้ประมาณ 200-600 ล้านบาท” นักวิชาการคนหนึ่งเปิดเผยกับ “ผู้จัดการ”
ครั้นแล้วเหตุการณ์ก็เริ่มผันแปรเปลี่ยนไปในช่วงปี 2516
ช่วงนั้นสำหรับประเทศไทยก็คือช่วงของการตื่นตัวทางการเมือง เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม คว่ำรัฐบาลถนอม-จอมพลประภาส และพลังมวลชนเริ่มเคลื่อนไหวคัดค้านการครอบงำของต่างชาติ ทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
(ต่อมาก็เกิดกรณีเท็มโก้ซึ่งเป็นกิจการเหมืองแร่เครือเดียวกับไทยซาร์โก้)
ส่วนในสหรัฐฯ และยุโรปตะวันตกก็เป็นช่วงเริ่มต้นของอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ยุคใหม่ที่สามารถผลิต
“ไมโครชิป” ได้สำเร็จ และวัสดุที่ต้องใช้ในการผลิตตัวสำคัญก็คือ แทนทาลัม จากความต้องการใช้แทนทาลัมที่เพิ่มขึ้น ราคาของแร่ธาตุที่ใช้ผลิตแทนทาลัมก็สูงขึ้นเรื่อยๆ จากไม่กี่เหรียญต่อปอนด์ก็เริ่มขึ้นเป็นสิบเหรียญยี่สิบเหรียญ!
เหตุการณ์ทั้งภายในและภายนอกประเทศเช่นนี้ ได้ทำให้กรมทรัพยากรธรณีต้องเริ่มให้ความสนใจกับการส่งออกตะกรันดีบุกของโรงงานไทยซาร์โก้มากขึ้น
หลังจากที่ไม่เคยสนใจเลยแม้แต่น้อยตลอดระยะเวลา 8 ปีเต็มๆ ก่อนหน้านั้น
“ก็พบว่าตะกรันที่ไทยซาร์โก้ส่งไปขายในสหรัฐฯ นั้นมีปริมาณแทนทาลัมเพนต็อกไซด์อยู่ในระดับสูงหรือในระดับไฮเกรด ก็เลยต้องมีการเสนอให้แก้ไขกฎหมายและกำหนดให้เรียกเก็บค่าภาคหลวงจริงๆ แล้วก็ไม่ได้ทำกันอย่างเป็นระบบอะไร? เป็นเรื่องตื่นตามกระแสมากกว่า…” นักวิชาการคนเดิมขยายความต่อ
สำหรับนายเหมืองหลายแร่ที่เพิ่งจะตาสว่าง ก็เจ็บใจมากที่ตลอดเวลาถูกไทยซาร์โก้ปิดบังมาเรื่อย
ดูเหมือนสัญชาตญาณแห่งการต่อสู้ได้เริ่มขึ้นแล้วในใจของนายเหมืองคนไทยเชื้อสายจีนเหล่านี้
เพียงแต่การผูกขาดโรงงานถลุงแร่ไว้เพียงโรงเดียว พร้อมๆ กับมาตรการห้ามนำสินแร่ออกขายต่างประเทศก็ยังทำให้พูดอะไรไม่ได้มาก
ในปี 2517 เรื่อยมาจนถึงปี 2520 ราคาแทนทาลัม (เพนต็อกไซด์) ก็ยังสูงต่อไปเรื่อยๆ คือในปี 2519 อยู่ในระดับราคาปอนด์ละ 25 เหรียญยูเอส แล้วก็ขึ้นเป็นเกือบ 30 เหรียญยูเอสในปี 2520
ซึ่งในช่วงปี 2520 นี้เอง ที่ตะกรันโบราณบนเกาะภูเก็ตที่ถูกทอดทิ้งนับเป็นร้อยๆ ปีเริ่มกลายเป็น “สมบัติเจ้าคุณปู่” ที่มีค่าขึ้นมาทันตาเห็น
มีเรื่องเล่าว่ามันเกิดจากหัวหน้าช่างของไทยซาร์โก้คนหนึ่งที่ชื่อ สมหมาย มีทรัพย์หลาก
สมหมายผู้นี้มีลูกน้องคนหนึ่งชื่อ สุจิตต์…เป็นคนตำบลกระโสม อำเภอตะกั่วป่า พังงา แหล่งถลุงแร่ในยุคโบราณของภาคใต้
ทั้งสมหมายและสุจิตต์รู้เรื่องคุณค่าของตะกรันมานานแล้ว แต่ตลอดมาก็ได้แต่มองความร่ำรวยของไทยซาร์โก้ตาปริบๆ ทำอะไรไม่ได้ จนกระทั่งราคาตะกรันสูงขึ้นอย่างพรวดพราด วันหนึ่งสุจิตต์ก็นำตะกรันโบราณแถวๆ บ้านที่ตำบลกระโสมมาให้สมหมายตรวจสอบปริมาณแทนทาลัมเพนต็อกไซด์
จากการตรวจสอบนั้นก็พบว่าเป็นตะกรันที่มีแทนทาลัมเพนต็อกไซด์อยู่ในเปอร์เซ็นต์สูง
สมหมายกับสุจิตต์ก็ลาออกจากไทยซาร์โก้มาทำธุรกิจรับซื้อตะกรันโบราณจากตำบลกระโสม
แล้วติดต่อจนสามารถส่งไปขายต่างประเทศได้ โดยผ่านบริษัทนายหน้าชื่อฟิลลิป บราเดอร์ เพียงช่วงสั้นๆ ก็สร้างความร่ำรวยให้หุ้นส่วนทั้งสองคนนี้อย่างน่าอิจฉา
แต่ไม่นานต่อมาสุจิตต์ก็ถูกยิงตาย เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนสืบสวนแล้วเชื่อว่าเป็นการหักหลังกันทางธุรกิจค้าตะกรันแร่
นับแต่นั้นมาทั่วเกาะภูเก็ตก็เข้าสู่ยุคตื่นตะกรัน มีพ่อค้ารับซื้อเกิดขึ้นอีกหลายราย ส่งไปขายมาเลเซียบ้าง สิงคโปร์บ้าง
ประวัติศาสตร์จังหวัดภูเก็ตถูกตรวจสอบกันอย่างละเอียดเพื่อจะให้ทราบว่า
มีที่ดินตรงไหนบ้างที่คนโบราณเคยเอาตะกรันแร่ไปถม ถนนบางสายจู่ๆ ก็มีคนมาเสนอกับเทศบาลว่าจะขอขุดโดยยอมเสียเงินให้จำนวนหนึ่งและเมื่อขุดเสร็จจะสร้างให้ใหม่ดีกว่าเก่าเสียอีก
เช่นเดียวกับบ้านหลายหลังถูกรื้อทิ้งเพื่อขุดเอาตะกรันโดยเฉพาะ
“คุณอย่าเห็นเป็นเรื่องขำนะ…รู้ไหม เมื่อปี 2521-2523 นั้น ราคาแทนทาลัมเพนต็อกไซด์ปอนด์ละเท่าไหร่
เฉพาะปี 2523 ราคามันขึ้นไปถึงปอนด์ละ 120 เหรียญเชียวนะ….” เศรษฐีภูเก็ตคนหนึ่งบอกให้ฟัง
และในช่วงนี้เองที่เมืองภูเก็ตเกิดพ่อค้ารับซื้อตะกรันโบราณขึ้นคนหนึ่ง เขาเข้ามาอยู่ในประเทศไทยนานถึงเกือบ 20 ปีแล้ว เกิดและเรียนหนังสือในมาเลเซีย (ว่ากันว่าเรียนมาด้านวิศวะเหมืองแร่) เป็นคนจีนฮกเกี้ยน เข้ามาอยู่ภูเก็ตครั้งแรกด้วยการทำงานกับมหาเศรษฐีเจ้าของเหมืองแร่และสวนยางที่แซ่เดียวกันชื่อเจียร วานิช (บิดาของเอกพจน์ วานิช ที่ปัจจุบันมีกิจการสวนปาล์มใหญ่โต)
เขาชื่อ เอี๊ยบ ซุน อัน (YEAR SOON AUN) ที่ต่อมาแปลงสัญชาติเป็นไทยแล้วก็เปลี่ยนชื่อตามสัญชาติเป็น
วุทธิพงศ์ โชติธรรมาภรณ์
เอี๊ยบ ซุน อัน ปัจจุบันอายุอยู่ในวัย 50 กว่า ๆ เกือบ 60 มีลูกสาว 2 คนที่เติบโตและเรียนหนังสือในไทย
คนในตลาดสดภูเก็ตเกือบทุกคนรู้จักเขาในภาพของอาแป๊ะที่แต่งตัวธรรมดาๆ ไม่พิถีพิถัน
พูดภาษาใต้สำเนียงภูเก็ตคล่องแคล่วชัดถ้อยชัดคำ ชอบออกจ่ายตลาดในช่วงเช้าทุกเช้า
กินอยู่ง่ายๆ แบบชาวบ้าน เป็นคนมีฝีมือในการทำงานที่ “เถ้าแก่เจียร” รักมาก และออกจะเป็นขมิ้นกับปูนกับลูกชายคนเดียวของ “เถ้าแก่เจียร” ที่ชื่อเอกพจน์ วานิช อย่างรุนแรง เพียงแต่จะด้วยสาเหตุอะไรกลับไม่มีใครทราบ?
เอี๊ยบ ซุน อัน นั้นภายหลังการตายของเจียร วานิช ก็ออกมาประกอบธุรกิจส่วนตัว
เขาก่อตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัด เอส. เอ. มิเนอแร็ลส์ ขึ้น ทำกิจการรับซื้อตะกรันแร่ดีบุกส่งไปที่มาเลเซีย
และสิงคโปร์และจากความเฉลียวฉลาดบวกกับความคร่ำหวอดมานานในวงการเหมืองแร่ ก็ได้ชักนำให้เขาได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับบริษัทเฮอร์แมน ซี สตาร์ค เบอร์ลิน เจ้าของเทคโนโลยีและโรงงานผลิตแทนทาลัมระดับยักษ์ของโลกแห่งเยอรมนีตะวันตก
ในช่วงต้นๆ ปี 2522 เอี๊ยบ ซุน อัน เดินทางเข้าออกเป็นว่าเล่นระหว่างไทยมาเลเซียและเยอรมนีตะวันตก พร้อมกับกระเป๋าเอกสารใบหนึ่ง ที่ภายในนั้นบรรจุโครงการก่อสร้างโรงงานแทนทาลัมขึ้นเป็นแห่งแรกในทวีปเอเชีย
ไม่มีใครทราบว่ามันเป็นโครงการของเอี๊ยบหรือบริษัทสตาร์คกันแน่?
แหล่งข่าวระดับสูงคนหนึ่งยืนยันว่าเดิมนั้นเอี๊ยบเสนอโครงการนี้ให้ธนาคารภูมิปุตตราของมาเลเซียพิจารณา
เรื่องดำเนินไปบ้างแล้วบางส่วน แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน เพราะช่วงนั้นบังเอิญธนาคารเริ่มประสบปัญหา
(ธนาคารภูมิปุตตราซวดเซอย่างรุนแรงในเวลาต่อมา)
และในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่โครงการจะได้เกิดหรือไม่ได้เกิดนี้ก็ดูเหมือนโชคจะอยู่ข้างเอี๊ยบเอามากๆ
เพราะช่วงนั้นมันเป็นช่วงที่อุตสาหกรรมดีบุกในประเทศไทยเป็นการเผชิญหน้าอย่างไม่ยอมลดราวาศอกให้แก่กันอีกต่อไป ระหว่างกลุ่มไทยซาร์โก้กับกลุ่มนายเหมืองกลุ่มใหญ่ภายใต้การนำของ 3 ตระกูล บุญสูง-งานทวี-ยงสกุล
จากการเคลื่อนไหวโจมตีไทยซาร์โก้ว่าเป็นบรรษัทข้ามชาติที่ผูกขาดและกอบโกย, ความขัดแย้งกับนายเหมืองเกี่ยวกับการซื้อขายแร่ การกำหนดเปอร์เซ็นต์และภาษีบางอย่าง ได้ก่อให้เกิดเสียงเรียกร้องให้มีการจัดตั้งโรงถลุงแร่เพิ่มขึ้น
และรัฐบาลในยุคนั้น (2520) ก็อนุญาตให้มีการตั้งโรงงานถลุงแร่ดีบุกได้อีก 2 แห่ง คือบริษัทไทยเพรเซ่น สเมลเตอร์ ที่จังหวัดนครปฐม และบริษัทไทยไพโอเนียร์ เอนเตอร์ไพรซ์ ที่จังหวัดปทุมธานี
โรงงานไทยเพรเซ่น สเมลเตอร์นั้นก่อตั้งโดยกลุ่มธุรกิจผลิตภาชนะจากดีบุกที่เรียกว่า
“พิวเตอร์” กิจการดำเนินไปได้ช่วงหนึ่งไม่ประสบความสำเร็จ เจ้าของก็ขายใบอนุญาตให้กับกลุ่มนายเหมืองภูเก็ตกลุ่มหนึ่ง ซึ่งก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่กลุ่มบุญสูง-งานทวี-ยงสกุล ที่รอท่ามานานแล้วนั่นเอง
เมื่อได้ใบอนุญาตก็มีการวิ่งเต้นขอเปลี่ยนที่ตั้งโรงถลุงจากนครปฐมมาลงที่ภูเก็ต
ช่วงนั้นก็มีการออกข่าวว่าโรงถลุงนี้จะมีกำลังการผลิตปีละ 8,000-10,000 ตันเป็นการร่วมทุนกับบริษัทมาโมเร่ของบราซิล
ใช้ทุนดำเนินงาน 450 ล้านบาท แต่จนขณะนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีการสร้างโรงถลุงที่ว่านี้ขึ้นแต่ประการใด?
ก่อนหน้าการตัดสินใจ ของกลุ่มบุญสูง-งานทวี-ยงสกุล ช่วงจะรับซื้อใบอนุญาตตั้งโรงถลุงดีบุกเพียงนิดเดียวนั้น
เอี๊ยบ ซุน อัน ก็นำโรงการก่อสร้างโรงงานแทนทาลัมมาปรึกษากับกลุ่ม 3 ตระกูลนี้
ก็ดูเหมือนว่าทั้งฝ่ายเอี๊ยบ ซุน อัน และฝ่ายบุญสูง-งานทวี-ยงสกุล มีความเห็นสอดคล้องกันว่างานนี้จะต้องเป็นงานใหญ่ที่จะต้องทำกันแบบครบวงจร
คือมีโรงถลุงแร่ดีบุก และตะกรันแร่ที่ถลุงได้ก็จะใช้เป็นวัตถุดิบป้อนเข้าสู่โรงงานแทนทาลัมที่จะใช้เทคโนโลยีของบริษัทสตาร์ค ซึ่งถ้าทำเช่นนั้นได้ก็ไม่จำเป็นจะต้องพึ่งพาโรงถลุงของไทยซาร์โก้อีกต่อไป
จากนั้นในปี 2522 ก็มีการตั้งบริษัทไทยแลนด์แทนทาลัมอินดัสทรีย์ขึ้น ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 100 ล้านบาท ถือหุ้นใหญ่โดยกลุ่มเอส. เอ. มิเนอแร็ลส์ ของเอี๊ยบ ซุน อัน ผู้ถือหุ้นกลุ่มอื่นๆ นอกจากบุญสูง งานทวี และยงสกุลแล้ว ก็ประกอบด้วยกลุ่มเอกวานิช เจ้าของที่ดินจำนวน 120 ไร่ ที่ขายให้เป็นที่ตั้งโรงงาน ด้วยมูลค่า 15 ล้าน 6 แสนบาท และเอาเงินที่ขายที่ดินได้ 3 ล้านบาทมาซื้อหุ้นในไทยแลนด์แทนทาลัมอินดัสทรีย์อีกต่อหนึ่ง
ต่อมาก็มีการดึงกลุ่มพงส์ สารสิน เข้ามาร่วมถือหุ้นด้วย โดยอาศัยการติดต่อผ่านทางกลุ่มบุญสูง ที่สนิทกับพงส์ และร่วมกันลงทุนอยู่แล้วหลายแห่ง
แล้วก็ยื่นโครงการเข้าบีโอไอเพื่อขอรับการส่งเสริมลงทุน
“ช่วงนี้เรียกว่าบทบาทของเอี๊ยบหลบไปอยู่ข้างหลัง เพราะเอี๊ยบกับนักการเมืองตลอดจนกลไกของรัฐไม่มีสายสัมพันธ์กันเลยก็ว่าได้ ผู้ที่ทำหน้าที่ออกหน้าก็มีแต่อาทร ต้องวัฒนา ลูกเขยของบุญสูงที่สนิทกับอบ วสุรัตน์ รัฐมนตรีอุตสาหกรรมช่วงนั้นคนเดียว…และก็บวกกับบารมีของพงส์ สารสิน เข้าไปด้วย…”
แหล่งข่าวรายหนึ่งพูดกับ “ผู้จัดการ”
และช่วงนั้นอีกเหมือนกันที่ไทยซาร์โก้ไหวตัว ด้วยการยื่นโครงการสร้างโรงงานแทนทาลัมเข้าขอรับการส่งเสริมประกบกับโครงการของไทยแลนด์แทนทาลัมฯ
ผลก็ออกมาว่าโครงการของไทยแลนด์แทนทาลัมได้รับการส่งเสริมจากบีโอไอ ส่วนโครงการของไทยซาร์โก้ก็ต้องตกไป ด้วยเหตุผลที่คนฝ่ายไทยซาร์โก้บอกว่า
“รัฐบาลเขาไม่อยากให้เกิดการผูกขาดโดยเรา…”
พงส์ สารสิน เปิดเผยเมื่อเร็วๆ นี้ว่า “ตอนนั้นพลเอกเปรมเป็นประธานคณะกรรมการบีโอไอ
พลเอกเปรมเป็นคนบอกให้รัฐบาลเข้าไปถือหุ้นโครงการนี้ 25 เปอร์เซ็นต์ แต่ถามคุณสมหมายบอกไม่มีตังค์”
แทนที่จะเป็นรัฐบาลเข้าไปถือ เรื่องก็โยนมาให้บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรม ช่วยเข้าไปถือหุ้นแทน
จากบรรษัทเงินทุนฯ ก็มาถึงธนาคารกรุงเทพกับธนาคารไทยพาณิชย์ และด้วยการติดต่อผ่านทางบรรษัทฯ
โครงการซึ่งค่อนข้างแน่ชัดว่าจะให้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่ามหาศาลนี้ ก็ได้รับเงินกู้จากหน่วยงานของธนาคารโลกที่ชื่อ
ไอเอฟซี (INTERNATIONAL FINANCE CORPORATION) ในการก่อสร้างโรงงานที่หากสร้างเสร็จก็จะมีมูลค่ากว่า
1,200 ล้านบาท และไอเอฟซีก็เข้าร่วมถือหุ้นด้วย 12 เปอร์เซ็นต์
โรงงานได้เริ่มลงมือก่อสร้างในปี 2527 มีกำหนดแล้วเสร็จภายใน 2 ปี พร้อมๆ กับช่วงใกล้เคียงกันนี้ไทยแลนด์แทนทาลัมก็ทำสัญญาซื้อตะกรันแร่ดีบุกจากโรงงานไทยซาร์โก้
“ซึ่งไทยซาร์โก้ก็ไม่มีบิดพลิ้วไม่ขาย เพราะมาตรการส่งเสริมของบีโอไอให้สิทธิประโยชน์ในการห้ามส่งตะกรันในประเทศไปขายข้างนอก อาจจะขายได้ก็ในเงื่อนไขที่ไทยแลนด์แทนทาลัมไม่ซื้อ และในขณะเดียวกันไทยแลนด์แทนทาลัมก็มีสิทธิในการนำเข้าตะกรันจากต่างประเทศ หากตะกรันในประเทศไม่พอเพียงป้อนโรงงาน…” นักธุรกิจภูเก็ตคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนอยากจะร้องไห้แทนซาร์โก้
ในปี 2527 อีกเช่นกันที่กลุ่มไทยแลนด์แทนทาลัมรุกคืบหน้าอีกก้าวในส่วนของโรงงานถลุงดีบุก ด้วยความพยายามที่จะเข้าไปรับซื้อกิจการของบริษัทไทยไพโอเนียร์ เอนเตอร์ไพรซ์ ซึ่งตั้งโรงถลุงระบบไฟฟ้าอยู่ที่จังหวัดปทุมธานี เพราะโรงงานอยู่ในสภาพมีหนี้สินล้นพ้นตัว
โรงงานนี้ได้รับการส่งเสริมเมื่อปี 2522 ภายหลังจากได้ใบอนุญาตมาพร้อมๆ กับโรงงานที่นครปฐมเมื่อปี 2520 ซึ่งกลุ่มบุญสูง-ยงสกุล-งานทวี (หรือกลุ่มไทยแลนด์แทนทาลัมนั่นแหละ) ซื้อไปแล้ว
“ถ้าเปรียบเทียบกับโรงถลุงของกลุ่มไทยซาร์โก้ โรงงานนี้ก็ได้เปรียบตรงที่ได้รับการส่งเสริมจากบีโอไอ โดยไม่ต้องจ่ายภาษีการค้า 4.4 เปอร์เซ็นต์ที่โรงงานจะหักเก็บจากผู้ผลิตแร่แก่รัฐ คือโรงงานเก็บไว้ได้เลย ลองคิดดูก็แล้วกันว่าถ้าเขาเอาส่วนนี้มาเพิ่มราคารับซื้อแร่จากลูกค้า คนจะแห่มาใช้โรงถลุงของเขากันมากแค่ไหน…” คนในวงการเหมืองแร่หลายคนพูดให้ฟัง
ไทยไพโอเนียร์ เอนเตอร์ไพรซ์ เริ่มก่อตั้งและดำเนินงานโดยกลุ่มทุนที่ประกอบด้วย สุชาติ ภูพานิช ถาวร พรประภา ประสิทธิ์ ณรงค์เดช เพียรศักดิ์ ซิโสตถิกุล
สุชาติ หวั่งหลี และประเสริฐ ฟูตระกูล เป็นต้น ส่วนนอกนั้นก็เป็นสถาบันการเงินชั้นนำอย่างธนาคารกรุงเทพ
ธนาคารกสิกรไทย และบริษัทเงินทุนเครดิตการพาณิชย์ของพร สิทธิอำนวย
ไทยไพโอเนียร์กำหนดทุนดำเนินการไว้เบื้องต้น 155 ล้านบาท โดยเป็นทุนจดทะเบียน
70 ล้าน เงินกู้จากบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรม 55 ล้าน และอีก 30 ล้านเป็นเงินกู้จากนอกประเทศ
นอกจากนั้นก็ได้รับเครดิตสำหรับเงินทุนหมุนเวียนในการรับซื้อแร่และค่าใช้จ่ายในการผลิตจากธนาคารกรุงเทพ
ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารฮ่องกงแอนด์เซี่ยงไฮ้ ในวงเงินอีกราวๆ 300 ล้านบาท
ดำเนินกิจการไปได้พักใหญ่ๆ กิจการก็ประสบปัญหาวิกฤต มีหนี้สินถึง 300 ล้าน โดย 200 ล้านเจ้าหนี้คือธนาคารกรุงเทพ
และมีการติดต่อเจรจาระหว่างชาตรี โสภณพนิช กับกลุ่มไทยแลนด์แทนทาลัมฯ เพื่อหาข้อตกลงซื้อขายกิจการนี้กันอยู่นาน ถึงขณะนี้ก็ยังไม่เป็นที่ตกลงกันได้ “ก็เกี่ยงกันเรื่องการยอมรับสภาพหนี้ ซึ่งเชื่อเถอะ ในที่สุดโรงถลุงนี้ไม่พ้นมือกลุ่มไทยแลนด์แทนทาลัมหรอก…” แบงเกอร์คนหนึ่งวิจารณ์
ก็คงจะไม่มีสิ่งใดที่จะมาหยุดยั้งกลุ่มไทยแลนด์แทนทาลัมฯ ผู้พร้อมด้วยเทคโนโลยี
(จากสตาร์ค), ทุน (ตระกูลมหาเศรษฐีภูเก็ตที่มีสายสัมพันธ์กว้างและลึก) และเส้นสายทางการเมือง
(ผ่านทางพงส์ สารสิน) ไม่ให้เดินออกไปข้างหน้าอย่างผู้ชนะบนผลประโยชน์เป็นหมื่นๆ ล้านของอุตสาหกรรมดีบุกและแทนทาลัมแล้วกระมัง
ทุกอย่างสำหรับกลุ่มนี้กำลังอยู่ใกล้แค่เอื้อม
มีใบอนุญาตตั้งโรงถลุงอยู่ในมือแล้วหนึ่งใบ
กำลังเจรจาจะซื้อโรงถลุงสมัยใหม่อีกโรงหนึ่งที่ปทุมธานี
และในช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2529 นี้โรงงานแทนทาลัมที่ห่างจากคฤหาสน์ของเอกพจน์ วานิช เพียงไม่เกิน 300 เมตรบริเวณโรงไฟฟ้าดีเซลจังหวัดภูเก็ตก็จะแล้วเสร็จพร้อมที่จะทดลองเดินเครื่องได้
โชคลาภมหาศาลและความแค้นที่สั่งสมมานานของกลุ่มนายเหมืองที่รอการชำระก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว
แต่ชะตากรรมจะตกอยู่กับใครเล่า? ถ้าโชคไปอยู่ข้างไทยเลนด์แทนทาลัม!
กลางปี 2528 สำหรับนักการเมืองสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ทางภาคใต้คนหนึ่งนั้น
เขาว่าชะตากรรมทั้งหมดจะตกอยู่กับคนภูเก็ตหรืออาจจะคนไทยทั้งชาติ เพราะสาเหตุที่โรงงานแทนทาลัมจะปล่อยมลพิษออกมาทำลายสภาพแวดล้อม
เขามีเอกสารชุดหนึ่งเขียนบรรยายในเชิงตั้งข้อสงสัยถึงกรรมวิธีการผลิตแทนทาลัมของโรงงานที่จะต้องมีการใช้กรดกัดแก้ว
เห็นได้ชัดว่าเป็นเอกสารที่เขียนขึ้นโดยนักวิชาการที่มีความรู้เกี่ยวกับปัญหามลภาวะและสภาพแวดล้อม
และเอกสารถูกส่งไปถึงสื่อมวลชนหลายฉบับ แต่ไม่ได้รับการสนใจเพราะสื่อมวลชนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเป็นเกมการเมือง ที่ประชาธิปัตย์คนนี้ต้องการ “อัด” กับ พงส์ สารสินโดยเฉพาะ
ผ่านมาอีกช่วงหนึ่งในช่วงต้นๆ ปี 2529 ก็มีนักศึกษาใต้กลุ่มหนึ่งอ้างตนว่าเป็นกลุ่ม 24 สถาบัน และชมรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินทางไปเผยแพร่ความคิดเรื่องมลพิษจากโรงงานแทนทาลัมกับคนภูเก็ต
การเคลื่อนไหวขยายตัวจนมีการก่อตั้งแกนนำเป็นกลุ่มประสานงานต่อต้านมลพิษจังหวัดภูเก็ต
มีเสริมศักดิ์ ปิยะธรรม เป็นประธานกลุ่มฯ ซึ่งก็ไม่เป็นเรื่องที่ถึงกับปิดบังว่าเสริมศักดิ์นั้นเป็นยุวประชาธิปัตย์มาก่อนในช่วงที่ยังเรียนอยู่คณะนิติศาสตร์ รามคำแหง
อีกทั้งเสริมศักดิ์ก็แสดงแววว่าเขาจะต้องเล่นการเมืองต่อไป ซึ่งหากเขาจะต้องลงสมัครเป็น
ส.ส. จังหวัดภูเก็ต แล้วเขาก็คงต้องเข้ามาแทนจรูญ เสรีถวัลย์ ส.ส. 2 สมัยของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งกำลังลงชิงชัยในภูเก็ตเป็นสมัยที่ 3 อยู่ขณะนี้
เพียงแต่ถ้าจรูญยังสามารถยึดตำแหน่ง ส.ส. ได้อย่างเหนียวแน่นต่อไปเรื่อยๆ เสริมศักดิ์ก็คงต้องนั่งรออยู่ข้างเวทีอีกพอสมควร
ในช่วงของการรณรงค์คัดค้านมลพิษจากโรงงานแทนทาลัมระยะแรกๆ จนถึงการชุมนุมครั้งใหญ่เมื่อวันที่
1 มิถุนายนนั้น ก็อาจจะพูดได้ว่าทิศทางการคัดค้านยังคงเส้นคงวาและมีเอกภาพภายใต้การนำของกลุ่มประสานฯ
แต่หลังวันที่ 13 มิถุนายน อันเป็นวันสุดท้ายของการรับสมัครผู้ลงชิงชัยตำแหน่ง
ส.ส. ที่มีเพียง 1 ที่นั่งของภูเก็ตแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีผู้สมัครจำนวนหนึ่ง
(จากผู้สมัครทั้งหมด 6 คน) พยายามจะใช้กระแสการคัดค้านนี้กวาดคะแนนเข้าตัวให้มากที่สุด
ซึ่งสำหรับนักเคลื่อนไหวมวลชนที่พยายามจะผลักดันกระแสการเคลื่อนไหวคัดค้านโรงงานให้เกิดขึ้นในจังหวัดพอเหมาะพอเจาะเช่นนี้
ก็ย่อมรู้ได้โดยไม่ต้องวิเคราะห์ให้ลึกซึ้งว่ามันจะก่อให้เกิดปัจจัยที่สำคัญอย่างน้อย
2 สิ่ง
ประการแรก ขบวนที่คัดค้านจะมีลักษณะผสมปนเป ร่วมมือบ้าง ทำลายกันบ้างและก็จะไม่มีใครสามารถสาวลงถึงต้นตอที่แท้จริงของการเคลื่อนไหว
ถ้ามีการชักใยผู้ชักใยนั้นก็จะไม่เป็นเป้าที่ชัดเจนหรือถึงขั้นถูกแฉภายหลังออกมา
เพราะ “แพะ” ก็จะมีอยู่ทั่วไปทั้งขบวน
ประการที่สอง ขบวนนี้เมื่อขยายตัวไปสู่ระดับหนึ่งแล้วจะควบคุมไม่ได้และในที่สุดก็พร้อมที่จะอยู่ในสภาพที่จะให้หันเหไปในทางทิศใดก็ได้
ถ้ามีการกระตุ้นอย่างถูกจังหวะ ก็อาจจะหมายถึงการแสดงอารมณ์ที่บ้าคลั่งด้วย
“ผู้จัดการ” นั้นอยากจะเชื่ออย่างยิ่งว่า เฉพาะเหตุการณ์จลาจลในวันที่
23 มิถุนายน โดยพื้นฐานแล้วเกิดขึ้นอย่างไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังใดๆ มันเป็นอุบัติเหตุของม็อบที่อยู่ภายใต้สถานการณ์กดดันหลายๆ ด้าน แล้วความบ้าคลั่งก็ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างอัตโนมัติ
เชื่อว่าผู้ว่าฯ สนองกระทำการไปด้วยเจตนาบริสุทธิ์ อยากให้รัฐบาลแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ตก และอยากให้คนภูเก็ตได้สบายใจว่าผู้ว่าฯ คนนี้ถ้าจะทำอะไรแล้วทำได้และทำจริง
เชื่อว่าผู้สมัครจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นจรูญ เสรีถวัลย์ แห่งพรรคประชาธิปัตย์
บันลือ ตันติวิทย์ ที่ขอลงประชาธิปัตย์แล้วไม่ได้ลง ต้องมาลงพรรคราษฎร ตลอดจนเกษม สุทธางกูล พรรคกิจสังคม ก็ล้วนแล้วแต่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวคัดค้านนี้อย่างบริสุทธิ์ใจ และพยายามเล่นในเกมมาโดยตลอด
และเชื่อว่าแกนนำทุกๆ กลุ่มนั้นโดยเฉพาะระดับผู้ปฏิบัติงานเป็นคนประเภทไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังใดๆ ทั้งสิ้น
ที่ “ผู้จัดการ” จะยังตะขิดตะขวงใจอยู่นิด ก็เห็นจะเป็นคำถามที่ว่า
หลังจากทุกคนทำกันลงไปด้วยความบริสุทธิ์ใจเช่นนี้แล้ว
ใครกันที่ได้ประโยชน์?