Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTV ผู้จัดการรายวัน12 มีนาคม 2553
หุ้นไทยขึ้น5จุดรับวันแรกพ.ร.บ.มั่นคง             
 


   
search resources

Stock Exchange




ดัชนีตลาดหุ้น ต้อนรับการประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคงวันแรก วิ่งแดนบวกตลอดวันเหนือกว่าตลาดอื่นๆในภูมิภาค แม้ช่วงบ่ายเจอแรงเทขายฉุดปิดที่ระดับ 725.95 จุด หรือเพิ่มขึ้นแค่ 5.11 จุด วอลุ่มซื้อขายเบาบาง ต่างชาติยังช้อนเก็บต่อเนื่อง ส่วนสถาบันและโบรกเกอร์เริ่มกับมาซื้อ ประเมินวันนี้(12มี.ค.)ยังต้องลุ้นหนัก อาจแกว่งตัวในกรอบแคบ แนะนำชะลอลงทุนรอดูท่าที ฝั่งเอกชน ยอมรับห่วงเกิดความรุนแรง แต่เชื่อมั่นภาครัฐใช้พ.ร.บ.ควบคุมอยู่ชี้หากทุกอย่างคลี่คลาย ปีนี้จีดีพีไทยมีแนวโน้มอาจโตขึ้นถึง5%

ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้(11มี.ค.)ตอบรับในทางบวกกับวันแรกของการประกาศใช้พระ ราชบัญญัติความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ที่รัฐบาลเพิ่มประกาศใช้ โดยตลอดวันอยู่ในแดนบวกตลอด แม้ช่วงปลายของการซื้อขายจะแผ่วลงมาปิดที่ระดับ 725.95 จุด เพิ่มขึ้น 5.11 จุด หรือ 0.71% มูลค่าการซื้อขาย 16,973.17 ล้านบาท โดยระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 730.63 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 720.72 จุด

ขณะที่การซื้อขายสุทธิ สรุปตามประเภทนักลงทุนพบว่า นักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิต่อเนื่องอีก 1,813.55 ล้านบาท เช่นเดียวกับสถาบันที่ซื้อสุทธิ 414.75 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 521.11 ล้านบาท มีเพียงนักลงทุนทั่วไปที่ขายสุทธิ 2,749.41 ล้านบาท

ส่วนความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นอื่นๆ พบว่า ดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ระดับ 21,228.20 จุด เพิ่มขึ้น 19.91 จุด หรือ 0.09 %, ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดตลาดที่ระดับ 10,664.95 จุด เพิ่มขึ้น 101.03 จุด หรือ 0.96 % และดัชนี เวทเต็ด ตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดตลาดที่ระดับ 7,749.66 จุด ลดลง 29.42 จุด หรือ -0.38 %

นายพิชัย เลิศสุพงษ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวสูงขึ้น และอยู่ในทิศทางที่ดีกว่าที่คาดหมายไว้มาก และดีกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่มีการแกว่งตัวบวก-ลบสลับกัน เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับทางการจีนจะมาคุมเข้มนโยบายการเงิน

อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดบ้านเราจะปรับตัวขึ้น แต่วอลุ่มเทรดไม่ได้ให้การสนับสนุนมากนัก คาดว่านักลงทุนส่วนหนึ่งคงยังมีความกังวลเกี่ยวกับปัจจัยการเมืองในประเทศ ที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แต่อย่างไรก็ดีพบว่ากระแสเงินต่างชาติยังไหลเข้า แต่ก็ไหลเข้าตลาดอื่นในภูมิภาคเอเชียด้วย เนื่องจากเศรษฐกิจโลกขยายตัวได้ดีกว่าที่ประมาณการณ์ไว้ อีกทั้งธนาคารกลางของหลาย ๆ ประเทศเริ่มจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นไป ซึ่งก็มีคาดว่าเงินสกุลต่าง ๆ ในแถบภูมิภาคเอเชียจะแข็งค่าขึ้นเร็วกว่าที่ประเมินไว้ ส่วนในประเทศถ้าไม่มีปัจจัยการเมือง เชื่อว่าทางธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)น่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นใน การประชุมช่วงเดือนเมษายนนี้

สำหรับ แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(12 มี.ค.) ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยจะแกว่งตัวในกรอบแคบ และบางส่วนอาจจะชะลอการลงทุนเพื่อรอดูเหตุการณ์การเมืองก่อน พร้อมให้แนวต้านไว้ที่ 730 จุด แนวรับ 723 จุด

ด้าน นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมการซื้อขายของดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ ดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้น สูงเกือบ 1% เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในต่างประเทศ เนื่องจากเริ่มมีแรงซื้อกลับ (Cover Short) เข้ามาของนักลงทุนในประเทศ ซึ่งแรงซื้อดังกล่าวมีเข้ามาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 วันซื้อขาย ประกอบกับเกิดจากแรงซื้อเก็งกำไรก่อนที่จะมีการนัดชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเสื้อ แดง ในปลายสัปดาห์นี้

ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่ปลายสัปดาห์ก่อนจนถึงช่วงต้นสัปดาห์นี้ ได้มีแรงเทขายออกมาจากความกังวลถึงสถานการณ์การเมือง จึงส่งผลให้ในช่วงดังกล่าวตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยเมื่อเทียบกับ ตลาดหุ้นในภูมิภาค นอกจากนี้ ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่ยังมียอดซื้อสุทธิ ต่อเนื่อง

ส่วนแนวโน้มดัชนีฯในวันนี้ประเมินว่า หากยังไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรงคาดว่าดัชนีฯมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อ จากแรงซื้อคืนของนักลงทุนในประเทศ ที่มีโอกาสจะเข้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่ยังอยู่ในเชิงบวก แต่อย่างไรก็ดีหากสถานการณ์ทางการเมืองเกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงขึ้น ตลาดหุ้นก็มีความเสี่ยงที่จะร่วงลงทันทีจากผลกระทบดังกล่าว

โดยปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ สถานการณ์ทางการเมืองที่ต้องให้น้ำหนักและคงติดตามอย่างใกล้ชิดในช่วงก่อน ที่จะมีการนัดชุมนุมใหญ่ของกลุ่มนปช. ในวันที่ 14 มีนาคมว่า ในช่วงก่อนวันดังกล่าวสถานการณ์จะมีแนวโน้มออกมาอย่างไร สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์ทางการเมือง ประเมินแนวรับอยู่ที่ 732 จุด ส่วนแนวต้าน 737 จุด

***เอกชนห่วงเหตุการณ์รุนแรงแต่เชื่อมือรัฐ

ด้านนายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการบริหาร บมจ. สหพัฒนพิบูล กล่าวว่า ภาคเอกชนมีความเป็นห่วงสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ เพราะยังไม่สามารถประเมินได้ว่า การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จะมีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด แต่ภาคเอกชนยังมั่นใจว่า รัฐบาลจะสามารถดูแลความสงบได้ จากการออกมาตรการต่างๆ เข้ามาควบคุมสถานการณ์

ดังนั้น ภาคเอกชนจึงอยากขอร้องให้ทุกฝ่ายทำตามหน้าที่ของตัวเอง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหารุนแรง และเป็นไปตามระบบประชาธิปไตย ส่วนปัญหามาบตาพุด ภาคเอกชนยังมีความเป็นห่วงเพราะจะกระทบเศรษฐกิจในระยะยาวของประเทศ และหากประเมินภาวะเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ ถือว่าปรับตัวดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา สามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ว่าจะโตได้ 3-4% โดยกำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มปรับตัวดีขึ้น แต่ทั้งนี้ย่อมต้องขึ้นกับขวัญและกำลังใจของประชาชนด้วย พร้อมยืนยันว่าในระยะสั้นจะไม่มีการปรับขึ้นราคาสินค้าอุปโภคบริโภค และยังไม่พบปัญหาการกักตุนสินค้า

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย กล่าวว่า หากการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย ก็เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ เพราะการชุมนุมเป็นสิทธิของประชาชนที่สามารถกระทำได้ ดังนั้นภาคธุรกิจจึงหวังว่าเรื่องดังกล่าวจบลงด้วยความสงบ

ทั้งนี้ภาคเอกชนมองว่าปัญหามาบตาพุด และปัญหาการเมืองเป็นความเสี่ยงที่มีน้ำหนักใกล้เคียงกัน แต่ในส่วนนักลงทุนต่างประเทศจะให้ความสำคัญกับเรื่องมาบตาพุดมากกว่า เพราะมีการลงทุนในพื้นที่คิดเป็นเม็ดเงินจำนวนมากและมีผลในระยะยาว ส่วนปัญหาการเมืองก็เป็นปัญหาที่เคยประสบมาก่อนและถือว่ายังไม่มีความรุนแรง มาก และคาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะขยายตัวได้ราว 3.5-4.0% หรืออาจจะสูงถึง 5% หากปัญหาการเมืองในประเทศสงบลงโดยเร็ว   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us