สมชาย แก้วทอง หรือ ไข่ ในวงการแฟชั่นบอกว่า เขาไม่ใช่นักธุรกิจมาตั้งแต่ต้น
อาจเรียกได้ว่าตัวเองเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่จะเรียกว่าเป็นศิลปิน
แต่ก็เลือกเรียนในสายวิชาทางศิลปะมาโดยตลอด
ไข่ เริ่มต้นการทำงานด้วยการใช้วิชาศิลปะเข้ามาประยุกต์ก่อน เป็นเพราะมีความชอบทางการสร้างสรรค์ก็เลยออกมาทำงานด้านเสื้อผ้า
ตอนเริ่มแรกก็ทำตามที่คิดว่าตัวเองพอใจ ด้วยความคิดที่ว่า ใครก็ตามที่จะให้เขาทำเสื้อผ้าให้
ก็แสดงว่าคน ๆ นั้นจะต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเขา แล้วก็ชอบที่จะให้เขาทำเสื้อผ้าให้
"ช่วงนั้นเรามีอำนาจในการต่อรองเต็มที่ คือเราสามารถทำทุกอย่างได้ตามแบบที่เราต้องการ
แล้วพอมาถึงจุด ๆ หนึ่ง ทุกอย่างมันมีธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะเรา ต้องการเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
เราต้องมีค่าใช้จ่ายที่จะต้องรับผิดชอบ จึงต้องวางแผน เป็นเรื่องของธุรกิจแล้วว่าเดือนหนึ่งถ้าเรามีกำลังผลิตแค่นี้เราจะได้เงินเท่าไหร่
และถ้าเราต้องการได้เงินมากกว่านี้ เราจะทำอย่างไร...."
แล้วเขาก็เริ่มศึกษาขั้นตอนของการทำธุรกิจด้วยตัวเอง โดยการใช้ประสบการณ์ของตัวเองเป็นครู
ในที่สุดเขาก็ยอมรับว่า มันพลาดเสียมากกว่าได้!
ล้มลุกคลุกคลานมาจนวันนี้นับเวลาได้ 15 ปี กว่าจะมาเป็น "ไข่"
ที่ใคร ๆ รู้จักกัน ด้วยวิธีที่เจ้าตัวบอกว่า "ปากต่อปาก" ภาพพจน์ที่คนมองร้าน
"ไข่" สรุปออกมาได้ว่า "แพง" และ "HIGH CLASS"
เอามากๆ
แต่อยู่ ๆ วันหนึ่ง ไข่ก็โดดตูมลงไปขายเสื้ออยู่ที่สวนจตุจักรผลิตเสื้อผ้าที่เรียกว่า
เป็น MASS PRODUCT หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ "เสื้อโหล" ท่ามกลางความประหลาดใจ
และท่ามกลางเสียงวิพากษ์ วิจารณ์จากคนทั้งในวงการเดียวกันและคนนอกวงการ
เขาพูดถึงเรื่องนี้ว่า "หลาย ๆ คนยังติดอยู่ใน image หลาย ๆ คนอาจมี
background เป็นผู้ลากมากดี เป็นเศรษฐีมาแต่เด็ก ก็ไม่ซีเรียสในธุรกิจเท่าไหร่เขามีความรู้สึกว่าเขามีความสามารถในการทำเสื้อ
ก็เท่ากับเป็นการสร้างเสริมความรวยให้กับครอบครัวเขาเท่านั้น...อย่างผม มาจากครอบครัวที่ยากจนมากเพราะฉะนั้น
ผมเป็นคนเดียวที่บุกเบิกทำอย่างนี้เพื่อที่จะให้เราขึ้นมาอยู่ในระดับที่ลืมตาอ้าปากได้..."
เขาบอกเราถึงเหตุผลให้ฟังว่า "ตราบใดที่เรายังใช้นามสกุลแก้วทอง ซึ่งไม่ใช่นามสกุลที่ได้รับการแต่งตั้ง
เราก็ไม่เผยอตัวเองขึ้นไปอยู่ในระดับเศรษฐี หรือผู้ดีมีอันดับ เราเพียงแต่ทำเพื่อขอให้เราอยู่รอดในสังคมนี้เท่านั้น
คนอื่นเขากินอาหารจานละพันจานละหมื่น เราก็กินได้ คนอื่นเขาอาจจะขี่เบนซ์
เราขี่โตโยต้า แต่เราก็มีรถขี่เหมือนกัน เราต้องการแค่นั้นเอง การที่เราลงไป
ขายเสื้อที่สวนจตุจักร มีส่วนหนึ่งที่เขาว่าดี และก็มีส่วนหนึ่งที่เขาโจมตี
ดูถูกว่าใฝ่ต่ำ แต่เราไม่สนใจ ลูกพระยาพานทองยังเอาคนใช้เป็นเมียได้ จะว่าใฝ่ต่ำได้ยังไง...."