Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กันยายน 2529








 
นิตยสารผู้จัดการ กันยายน 2529
ตลาดแฟชั่น...ธุรกิจที่ถูกมองว่า "น่าเล่น" ตราบเท่าที่คนยังเชื่อว่า "ไก่งามเพราะขน..คนงามเพราะแต่ง..             
โดย พรพาณี ฉายะวรรณ สุรีพร เจริญวัฒนศิลป์
 


   
search resources

Commercial and business
Clothings




ถ้าจะแบ่งตลาดแฟชั่นเมืองไทยกันโดยรวม ๆ แล้ว จะแบ่งได้เป็น 3 ระดับคือ ตลาดระดับบน ตลาดระดับกลาง และตลาดระดับล่าง

ส่วนที่ว่าใครเป็นคนแบ่ง? และแบ่งกันอย่างไรนั้น? ส่วนหนึ่งมันอยู่ที่ "ความรู้สึก" ที่คนแบ่งกันเอาเอง แต่ถ้าจะมองกันตามหลักเกณฑ์แล้ว "จุดต่างระดับ" นั้นอยู่ที่กำลังการผลิต คุณภาพของสินค้าและราคา เป็นส่วนสำคัญที่สุด!

ตลาดบน ถูกมองโดยรวม ๆ ว่าเป็นตลาดของพวกเศรษฐี หรือผู้มีเงินเหลือใช้จากความจำเป็นในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงผู้ที่ "ติด" อยู่กับความเลิศหรูที่เข้าใจกันว่าเป็นสิ่งช่วยส่งเสริมความมีหน้าตาหรืออะไรก็แล้วแต่จะคิดกันไป

จุดแบ่งตลาดบนออกจากตลาดระดับกลางหรือระดับล่างได้แก่ราคาที่มาเป็นอันดับ ซึ่งราคาที่ต่างกัน (ไม่ใช่น้อย) นี้ เมื่อหักต้นทุนการผลิตออกไปแล้ว ส่วนที่เหลือมันก็กลายเป็นราคาค่าชื่อยี่ห้อร้าน หรือชื่อดีไซเนอร์ รวมไปจนถึงราคาค่าที่บังเอิญต้องระเห็จขึ้นไปอยู่บนตึกที่มีชื่อว่า "ศูนย์การค้า" ! ระดับเลิศ

ทั้งที่เมื่อจะมาดูกันถึงคุณภาพกันอย่างเอาจริงจังแล้ว อาจพูดได้ว่า สินค้าบางตัวมีคุณภาพเท่ากันพอดีกับสินค้าของตลาดระดับกลาง ในที่นี้หมายถึงว่าอาจเป็นผ้าชิ้นเดียวกัน แบบเดียวกัน แม้กระทั่งฝีมือตัดเย็บที่พอ ๆ กัน

ในด้านกำลังการผลิตซึ่งเป็นอีกตัวหนึ่งที่มีส่วนกำหนดการแบ่งระดับตลาดบนออกจากตลาดระดับกลางและระดับล่างนั้นเป็นส่วนที่มองได้ง่าย และเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป จะเห็นได้ว่ากำลังการผลิตของตลาดบนต่อแบบ ต่อชิ้นนั้นมีน้อยมาก ดังนั้นลูกค้าของตลาดบนจึงสามารถวางใจได้เต็มที่ว่าจะเป็น "หนึ่งเดียวคนนี้" ที่ได้สวมเสื้อยี่ห้อนี้ แบบนี้ในกทม.มิใช่สวมใส่แล้วมีอันต้อง "จ๊ะเอ๋" กับใครให้ขวยเขิน

ดังนั้น เมื่อพูดถึงตลาดบน จะหมายถึงตลาดแฟชั่นของลูกค้าผู้มีอันจะกินกลุ่มหนึ่งที่นิยมเรียกกันว่า กลุ่ม "HIGH SOCIETY" และเป็นที่รวมของบรรดา TOP DESIGNER COLLECTION ของเมืองไทย ที่มีชื่อและผลงานอยู่ตามหน้าหนังสือแฟชั่นทั่วกรุงมีผลงานที่เป็น COLLECTION โชว์ตามโรงแรมดัง ๆ โดยที่เก็บค่าชมแพง ๆ อาทิ เช่น สมชาย แก้วทอง เจ้าของร้าน "ไข่" ธีรพันธ์ วรรณรัตน์ จากร้าน "ธีรพันธ์" พิจิตรา บุญยรัตน์พันธ์ จากร้าน "พิจิตรา" องอาจ นิระมล จากร้าน "ป๋อง" หรือ กีรติ ชลสิทธิ์ จากร้าน "ดวงใจบิส" เป็นต้น ซึ่งผลงานจากบรรดาห้องเสื้อเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่คนในวงการตลาดบนเรียกกันว่า "HIGH FASHION"

และอีกส่วนหนึ่งที่นับอยู่ในตลาดบนแต่แบ่งระดับลงมาอีกนิด ตามระดับราคาและความมีชื่อของดีไซเนอร์ เป็นพวกที่ถูกจัดให้อยู่ในระดับ "MIDDLE HIGH" ได้แก่บรรดาร้านหรือดีไซเนอร์ที่ NO NAME แต่มีฝีมือที่ทัดเทียมกับร้านดัง ๆ ทั้งหลาย ผลิตเสื้อออกมาแบบเดียวกัน ผ้าเดียวกัน แต่คิดราคาต่ำกว่ากัน จึงนับเป็นคู่แข่งที่เฉือนคมกับร้านระดับ HIGH FASHION กันอยู่ตลอดเวลา

หรืออีกกลุ่มหนึ่งที่นับว่าเป็นตลาดบนประเภท MIDDLE HIGH ด้วย ก็คือร้านมีชื่อที่ขายเสื้อโดยเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่น ร้านประเภทนี้ไม่จัดอยู่ในประเภท TOP DESIGNER เพราะการดีไซน์แบบนั้นอาจจ้างช่างที่ NO NAME มาดีไซน์ให้ หรือนำเอายี่ห้อมีชื่อของเมืองนอกโดยเฉพาะของญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่เข้ามาขาย และผลิตสินค้าออกมาเองภายใต้ชื่อยี่ห้อนั้น ๆ ตัวอย่างร้านที่จัดเข้าประเภทนี้และนับว่าติดอันดับความนิยมของวัยรุ่นเมืองไทย ได้แก่ร้าน DOMON ซึ่งเอาเกือบทุกยี่ห้อของญี่ปุ่นเข้ามาขาย เป็นต้นว่า LAFORET, PASHU, COMME DESGARCON ฯลฯ

"เมื่อทำธุรกิจต่าง ๆ นาน ๆ เข้าเราก็จำเป็นที่จะต้องจดทะเบียนยี่ห้อต่าง ๆ หรือหาเครื่องหมายการค้าต่าง ๆ ไว้เป็นตัวสำรอง เพื่อว่าเมื่อ DOMON หมดความนิยมแล้ว เราก็ยังมีสินค้าอื่นขึ้นมาแทนที่เพราะว่าธุรกิจแฟชั่นบ้านเรามันไม่มีใครอยู่นานหรอกนะ มันต้องหมุนเวียนกันอยู่ตลอดเวลา คนไหนดัง ชื่อเสียงก็อาจจะดังอยู่แค่ 6-7 ปี แล้วก็หายไป เราจึงจำเป็นต้องมีหลาย ๆ ยี่ห้อ แล้วตอนนี้เราก็มีอยู่เกือบ 50 ยี่ห้อ ที่ผลิตออกมาแล้วประมาณ 20 กว่ายี่ห้อ บางยี่ห้อที่ผลิตออกมาแล้วเสื่อมค่านิยม เราไม่ได้ผลิต.." บุญศักดิ์ วัฒนหฤทัย เจ้าของร้าน DOMON อธิบายเหตุผลในการผลิตสินค้าออกมาพร้อม ๆ กันหลายยี่ห้อ

ในกลุ่ม MIDDLE HIGH นี้ บางร้านอาจมีอำนาจต่อรอง ในเรื่องการซื้อผ้าเป็นพิเศษ โดยจะเป็นคนสั่งผ้าเอง หรือมีความสามารถตัดล็อทผ้ามาจากสำเพ็งได้ ซึ่งจะทำให้ได้ผ้าที่ไม่เหมือนใคร ขณะเดียวกันก็จะดีไซน์แบบเอง หรืออาจไปซื้อตัวอย่างมาจากเมืองนอกบ้าง ซึ่งทำให้ต้นทุนในการผลิตถูกกว่าพวก HIGH FASHION มากดังนั้นร้านประเภทนี้จะขายได้ในราคาที่ถูกกว่า

ตัวอย่างร้านดังกล่าว ได้แก่ ร้าน JASPAL ที่มีเจ้าของเป็นชาวภารตะ และนับเป็นอีกร้านหนึ่งที่ฮิตติดหมัดอยู่ในหมู่วัยรุ่นและผู้ที่นิยมวิ่งไล่ตามแฟชั่นทั้งหลาย

สำหรับคำว่า "HIGH FASHION" ดีไซเนอร์ชื่อดังคนหนึ่งในวงการตลาดบนให้คำจำกัดความไว้ว่า "คือ image ของลูกค้าที่ศรัทธาในตัวนักออกแบบ....เป็นเรื่องของความประทับใจระหว่างตัวผู้ซื้อกับผู้ออกแบบ ผู้ซื้อจะต้องมีความรู้ในเรื่องพวกนี้มากพอสมควร เมื่อมีความรู้ก็จะเกิดความศรัทธาในตัว DESIGNER แต่ละคนว่าการที่เขาสร้างสรรค์ผลงานขึ้นมาได้นี่มันเป็นของที่มีค่า เพราะฉะนั้นเมื่อมีของมีค่าแล้วเรายอมรับค่าอันนั้น มันก็เจอกันได้เรียกว่า ค่าของมันประเมินมิได้..."

สำหรับตลาดระดับกลางนั้น อาจเรียกได้ว่า เป็นสนามที่กำลังมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดอยู่ในขณะนี้ เป็นอีกลักษณะหนึ่งของคนที่มีความสามารถในการออกแบบหรือสามารถที่จะแยกแยะความสวยงามของเสื้อผ้าได้ ทั้งที่อาจไม่มีความรู้ในการตัดเย็บเลยแต่โดดเข้ามาจับธุรกิจด้านนี้ โดยการไปซื้อผ้ามาแล้วไปจ้างช่างมาตัดเย็บเพื่อเอาไปขายตามแหล่งชุมชนต่าง ๆ อย่างเช่นที่สวนจตุจักร อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ศูนย์การค้าสยาม หรือที่ท่าพระจันทร์

ถ้าจะพูดถึงคุณภาพของสินค้าในตลาดกลางแล้ว นับว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างจะดีสินค้าบางชิ้นอาจดีเท่ากับสินค้าของตลาดบนเพราะอาจจะใช้ผ้าเหมือนกัน แบบเหมือนกันจนมองไม่เห็นความต่าง!

"บางครั้งเราอาจได้ผ้าเหมือนกับตลาดบนเลย แต่เมื่อตัดมาขายเป็นตัวแล้วราคาจะถูกกว่า เพราะตลาดบนต้องบวกค่าภาษีค่าเช่าที่ร้านบนศูนย์การค้า รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ จิปาถะซึ่งมากกว่าเรา เราจึงขายได้ถูกกว่า ในขณะที่คุณภาพทัดเทียมกับของตลาดบน.." แหล่งข่าวจากตลาดกลางในสวนจตุจักรรายหนึ่งบอก "ผู้จัดการ"

ส่วนกำลังการผลิตต่อแบบหนึ่ง ๆ มีไม่มากนัก ถ้าจะเทียบกับตลาดล่างแล้วจะต่างกันมาก เพราะยังไม่ถึงกับจะเรียกว่าเป็น "ของโหล" แต่ขณะเดียวกันก็ผลิตมากกว่าตลาดบน

กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของตลาดกลางนี้ได้แก่กลุ่มวัยรุ่นเสียเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ผู้ผลิตเองก็เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในวัยเดียวกันหรือใกล้เคียงกันกับกลุ่มลูกค้า จึงสามารถรู้ความต้องการของลูกค้าที่ต้องการของดีที่ราคากันเอง ดังนั้นการดำเนินธุรกิจของตลาดกลางนั้นจึงค่อนข้างจะไปได้สวยและอยู่ในลักษณะที่กล่าวได้ว่า กำลัง "บูม" เต็มที่

ทั้งนี้เป็นเพราะวัยรุ่นเป็นวัยที่มีความตื่นตัวในเรื่องแฟชั่นมากเป็นพิเศษ ทำให้เกิด DEMAND ที่ค่อนข้างสูงตามไปด้วย การผลิตเพื่อสนองตอบต่อความต้องการนั้นจึงเกิดขึ้นตามกันเป็นทิวแถว

การเลียนแบบจากตลาดบนก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผู้ผลิตในตลาดกลางยังทำกันอยู่บ้างเป็นบางส่วน โดยอาจจะใช้วิธีขึ้นไปดูตามห้างเอง หรือลอกเลียนมาจากหนังสือแฟชั่น

ผู้ผลิตรายหนึ่งที่ท่าพระจันทร์เล่าให้ฟังว่า "ที่ว่าเลียนแบบน่ะ...ใช่นะ...คือผมจะไปเดินดูตามร้านจองตลาดบน แล้วก็เอามาตัดขาย แต่ที่ว่าเลียนแบบจริง ๆ แล้วจะเลียนแบบทางด้านเนื้อผ้ามากกว่า เพราะผ้าของผมที่นำมาตัดเย็บ เป็นผ้าแบบเดียวกันกับผ้าของเขา เพราะซื้อจากร้านเดียวกันที่สำเพ็ง เพราะฉะนั้นใครเลียนใคร ผมไม่ทราบ...."

ส่วนทางด้านตลาดล่างนั้น เป็นตลาดแฟชั่นของคนอีกกลุ่มหนึ่งที่นิยมของราคาไม่แพงเกินกำลัง ในขณะที่อาจได้แบบที่เหมือนกับร้านบนศูนย์การค้า โดยไม่ต้องคำนึงถึงด้านเนื้อผ้าหรือฝีมือตัดเย็บเท่าไหร่นัก?

เอกลักษณ์ที่โดดเด่นของตลาดล่างซึ่งนับเป็นจุดที่แบ่งระดับออกมาจากตลาดบนและตลาดกลางอย่างเด็ดขาด ก็คือกำลังการผลิตที่มีจำนวนมาก จนเรียกกันว่า "ของโหล" ที่เมื่อคิดต่อครั้ง ต่อแบบหนึ่ง ๆ แล้วก็จะปั๊มกันออกมาไม่น้อยกว่า 100 ตัว

แหล่งของตลาดล่างในส่วนที่เป็นตลาดขายส่ง จะมีแหล่งใหญ่อยู่ที่ประตูน้ำและที่โบ๊เบ๊ ซึ่งแต่เดิมนับรวมถึงที่บางลำภูด้วย แต่ในปัจจุบันบางลำภูกลายเป็นแหล่งขายปลีกเป็นส่วนใหญ่ โดยจะรับมาจากประตูน้ำหรือที่โบ๊เบ๊อีกทอดหนึ่ง

การดำเนินธุรกิจของตลาดขายส่งนั้นนับว่ามีลักษณะที่เป็นธุรกิจอย่างเต็มตัวถ้าจะมองกันในแง่ของการลงทุน เพราะจุดใหญ่ที่ผู้ผลิตคำนึงถึงเป็นเรื่องของปริมาณการผลิตที่ให้มากเข้าไว้ เพื่อส่งขายในหลาย ๆ ที่ ทั้งนี้รวมถึงการส่งออกนอกประเทศด้วย ดังนั้นจึงแทบจะไม่ต้องมองกันในด้านคุณภาพ เพราะต้นทุนการผลิตที่ใช้นั้นค่อนข้างต่ำ การเลียนแบบตลาดบนจึงได้เพียงแบบหรือแนวความนิยมเท่านั้น ไม่สามารถจะเลียนแบบในด้านวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตได้

ในภาวะเศรษฐกิจอย่างปัจจุบัน ธุรกิจทุกวงการหนีไม่พ้นการแข่งขัน รวมถึงธุรกิจตลาดแฟชั่นนี้ด้วย ซึ่งการแข่งขันในจุดใหญ่ที่มองเห็นนั้นก็คือ การทำศึกแย่งชิงลูกค้าทั้งตลาดบน ตลาดกลาง และตลาดล่าง ทั้งนี้เป็นเพราะปัญหาต่าง ๆ ที่แต่ละตลาดต้องเผชิญอยู่ผลักดันให้จำต้องหากลยุทธ์ฉมัง ๆ ที่จะช่วยประคับประคองธุรกิจของตัวให้อยู่รอดต่อไปได้

ปัญหาจากภาวะเศรษฐกิจที่กระทบต่อตลาดบนประเภท HIGH FASHION นั้นเกิดจากความเปลี่ยนแปลงในวิธีการซื้อของลูกค้าระดับ HIGH SOCIETY ที่ลดปริมาณการซื้อลง แล้วหันไปอุดหนุนร้านประเภท MIDDLE HIGH ซึ่งราคาถูกกว่าแทน เรื่องนี้ สมชาย แก้วทอง DESIGNER ชื่อดัง เจ้าของร้าน "ไข่" ยกตัวอย่างให้ฟังว่า......

"สมมติคุณ A เคยไปซื้อเสื้อที่ร้านครั้งละ 10 ชุด ตอนหลังอาจจะไปซื้อครั้งละ ชุดเดียวหรือ 2 ชุด แล้วก็เอา 2 ชุดนั้นไปหาซื้อผ้าเอง แล้วเอาไปให้ร้านที่คิดว่าคาคาถูกกว่าทำ ตัดออกมา เขาก็สามารถที่จะใส่เสื้อในลักษณะเดียวกับของเราได้ในราคาที่ถูกกว่า....."

ปัญหาอีกประการหนึ่งที่ตลาดบนต้องประสบกันอยู่ เป็นเรื่องของ DEMAND ที่ลดน้อยลง ในขณะที่ SUPPLY มีมากขึ้น นั่นคือมีร้านในระดับเดียวกันเกิดขึ้นมามากทำให้ลูกค้าสามารถเลือกได้มากขึ้น ทำให้จำนวนลูกค้าประจำที่เคยมีลดน้อยลงไป เพราะกระจายไปยังร้านอื่น ๆ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงปัญหาการเลียนแบบจากตลาดกลางและตลาดล่างด้วย

"มันทำให้พวก TOP DESIGNER ต้องตื่นตัวในการผลิตเหมือนกัน คือพยายามทำเสื้อให้ดี แล้วก็ราคาถูกลง เพื่อที่จะต่อรองกับสินค้าราคาถูกได้ แต่เราก็ไม่ถึงกับลดตัวลงไปขายในราคาถูกเกินไป มันก็แล้วแต่ AIM ของแต่ละร้านด้วย มันไม่เหมือนกัน...." นักออกแบบเสื้อผ้า ชื่อดังในวงการแฟชั่นเมืองไทยพูดถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น...

การแก้ไขปัญหาเพื่อคงธุรกิจของตลาดบนให้อยู่รอดวิถีทางหนึ่งก็คือ การขยายตลาดให้กว้างขึ้น โดยกระจายกลุ่มเป้าหมายออกไป ที่เคยเน้นขายกลุ่มเป้าหมายเดียว ก็ขยับขยายเพิ่มแบบ เพื่อสไตล์ออกไปสำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่ง เช่น เดิมเคยขายแต่เสื้อผ้าของคนวัย 25-40 ก็เพิ่มแนวมาขายเสื้อสำหรับเด็กวัยรุ่นบ้าง หรือจากที่เคยขายเสื้อเฉพาะผู้หญิงก็ขยายตลาดมาขายเสื้อผ้าผู้ชายบ้าง

อย่างเช่นที่ร้าน "ไข่" ให้รุ่นหลานแยกตัวออกมาเปิดร้านเสื้อสำหรับวัยรุ่นโดยใช้ชื่อว่า "ไข่ จูเนียร์" เป็นการทำสินค้าอีกระดับหนึ่งสำหรับอีกลุ่มเป้าหมายหนึ่ง

กลยุทธ์ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการเลียนแบบจากตลาดระดับต่ำกว่านั้นบางร้านในตลาดบนจะใช้ยุทธวิธีในการควบคุมราคา โดยเน้นคุณภาพ คิดกำไรน้อย เพื่อให้ระดับราคาไม่ต่างไปจากตลาดระดับต่ำกว่ามากนัก

ร้านที่ใช้กลยุทธ์แบบนี้คือร้าน DOMON ที่บุญศักดิ์ วัฒนหฤทัย บอกกับ "ผู้จัดการ" ว่า "สินค้าเรามีคุณภาพอยู่แล้ว เราจึงใช้นโยบายควบคุมราคาขณะที่ตลาดล่างขายตัวหนึ่ง 150-160 บาท แต่ของ DOMON ขาย 200 กว่า แต่มีคุณภาพที่ดีกว่า ราคาเรายืนอยู่ในระดับสายกลางไม่สูงไปและไม่ต่ำไป เมื่อราคาต่างกับตลาดล่างไม่เท่าไหร่ ขณะที่ได้ของมีชื่อ และมีคุณภาพ ผู้ซื้อจะเลือกอย่างไหนล่ะ"

และด้วยวิธีนี้ ลูกค้าจะหันมาซื้อของที่มียี่ห้อ ที่เพียงเพิ่มเงินอีกไม่กี่มากน้อย แต่ได้ความภูมิใจที่ยิ่งกว่า !

หรือไม่อีกที บางร้านก็ใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง ด้วยการโดดลงมาเล่นกับตลาดข้างล่างเสียเลย เป็นกลเม็ดในการใช้ชื่อยี่ห้อเข้าสู้! อย่างเช่นร้าน "ไข่" ผลิตเสื้อในลักษณะของ MASS PRODUCT หรือสินค้าโหล แล้วเอาไปขายที่สวนจตุจักรอยู่ทุกวันนี้

ส่วนปัญหาของตลาดระดับกลางนั้นได้แก่การตัดราคาระหว่างตลาดระดับเดียวกัน ที่ขายสินค้าเหมือนๆ กัน และปัญหาการ "หนีแบบ" จากตลาดบน

มุขเด็ด ๆ ที่ใช้แก้ไขปัญหาก็คือความพยายามหาเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ความพยายามในการดึงลูกค้าให้มาเป็นลูกค้าประจำ ในขณะที่ต้อง "ตามแบบ" ตลาดบนอย่างชนิดไม่ให้คลาดสายตา!

ปัญหาของตลาดล่างอยู่ที่คู่แข่งในตลาดเดียวกัน ที่เถ้าแก่คนหนึ่งในตลาดล่างเปิดเผยว่า... "วงการนี้มีเรื่องสกปรกเยอะ มีการขโมยแบบ ลอกแบบกันอยู่เป็นประจำ อย่างบางทีเราดีไซน์แบบใหม่ตัดออกมาแขวนโชว์หน้าร้าน คู่แข่งจะให้หน้าม้าทำเป็นลูกค้ามาซื้อไป แล้วนำไป COPY แบบตัดออกมาขายในราคาที่ถูกกว่าเป็นการตัดราคากัน...ทำอะไรไปก็ไม่ได้...ไม่มีประโยชน์ นอกจากว่าทำอย่างไรมา เราก็ตอกกลับไปอย่างนั้น...."

ยุทธวิธีในการต่อสู้เพื่อดึงลูกค้า จึงไปเน้นที่การตกแต่งร้านเพื่อดึงดูดใจลูกค้าถ้าเดินไปประตูน้ำในปัจจุบันจะเห็นว่าเปลี่ยนโฉมไปจากอดีตมากมาย แต่ละร้านมีการเปิดเพลงประเภทเอาใจวัยรุ่น รวมไปถึงการตกแต่งด้วยไฟสีต่าง ๆ จนเผลอ ๆ ก็นึกไปว่ากำลังเดินอยู่บนศูนย์การค้าอย่างไรอย่างนั้น!

ทางด้านคุณภาพสินค้าของตลาดล่างก็มีการปรับปรุงให้ดีขึ้น ผู้ผลิตสินค้าขายส่งรายหนึ่งย่านประตูน้ำบอกกับ "ผู้จัดการ" ว่า "มีอยู่บ่อย ๆ ที่คนจากตลาดบนมาเดินเลือกซื้อเสื้อจากที่นี่ไปหลาย ๆ ตัว แล้วเอาไปติดยี่ห้อของเขา ขึ้นไปขายบนศูนย์การค้าในราคาที่แพงกว่ามาก...." นั้นหมายถึงว่าคุณภาพของสินค้าตลาดล่างในขณะนี้คงจะพอเทียบเคียงกันได้กับตลาดบนเข้าบ้างแล้ว !

ตลาดแฟชั่นเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นตลาดบน ตลาดกลาง หรือตลาดล่าง ยังเป็นธุรกิจที่ทำเงินอยู่ และยังเป็นธุรกิจที่ถูกมองว่า "น่าเล่น" อยู่เสมอ ตราบใดที่คนเรายังต้องใส่เสื้อผ้าพร้อม ๆ ไปกับความใส่ใจในตัวเอง ถึงแม้จะประสบปัญหาต่าง ๆ อันเป็นผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจเป็นหนองนี้ แต่ในวงการใดเล่าที่ดำเนินธุรกิจได้โดยไม่พบกับปัญหา

ธุรกิจแฟชั่นนี้จึงอาจกล่าวได้ว่า ไม่มีวันตาย เพียงแต่ว่ารูปแบบจะเปลี่ยนไปอย่างไรเท่านั้น ....!?

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us