หากสถานประกอบการสักแห่งหนึ่งมีความจำเป็น เพราะแรงบีบรัดทางธุรกิจให้ต้องดำเนินนโยบายลดค่าใช้จ่ายด้วยการบอกเลิกจ้างพนักงานสักจำนวนหนึ่ง
เพื่อรักษาส่วนใหญ่ไว้นั้น แม้จะเป็นปัญหาที่ท้าทายมนุษยธรรมอยู่บ้าง แต่ถ้าทำอย่างเปี่ยมด้วยคุณธรรมและความถูกต้องอย่างเสมอภาคแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ
แต่การตัดสินใจของผู้บริหารบริษัทโกดักประเทศไทยที่เลิกจ้างคนอย่าง วรวัฒน์
ปั้นจิตร นี้ เป็นปัญหามนุษยธรรมเป็นเรื่องที่คิดคำนึงกันมากน้อยแค่ไหน วรวัฒน์
ปั้นจิตร ทุกวันนี้กำลังเผชิญกับปัญหาที่ใครไม่โดนกับตัวก็อาจจะไม่รู้ซื้อเขาตกเป็นเหยื่อของนโยบายการบริหารที่ปราศจากจิตสำนึกหรือเปล่า....?
คนเรานั้นมีบางครั้งต้องประสบเคราะห์กรรมอย่างไม่คาดฝันเป็นเคราะห์กรรมหนักเบาต่าง
ๆ กันไป
วรวัฒน์ ปั้นจิตร ผู้ชายวัย 34 ปี คนนี้ก็เพิ่งจะประสบเคราะห์กรรมมาหมาด
ๆ
เป็นเคราะห์กรรมที่หนักหนาสาหัสทีเดียว
วรวัฒน์ มีบ้านที่ผ่อนส่งยังไม่หมดหลังเล็ก ๆ ครอบครัวเขาประกอบด้วยภรรยาที่ไม่ได้ประกอบอาชีพพร้อมกับบุตรชายวัยกำลังกินกำลังนอนอีก
2 รถยนต์สภาพกลางเก่ากลางใหม่ 1 คัน เป็นครอบครัวชั้นกลางที่กำลังสร้างเนื้อสร้างครอบครัวหนึ่งโดยแท้
วรวัฒน์ การศึกษาไม่สูงส่งมากนัก เขาจบชั้นมอศอ 3 แต่ด้วยความวิริยะอุตสาหะก็ทำให้ได้งานที่มั่นคง
เงินเดือนสูงและมีแนวโน้มว่าจะก้าวหน้าไปได้อีกไกล
"เขาเป็นคนฉลาด คล่องแคล่ว เรียนรู้เร็วและเจ้านายรัก ลูกน้องก็เคารพ..."
เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งบอกกับ "ผู้จัดการ"
วรวัฒน์ ทำงานเป็นพนักงานคนหนึ่งของบริษัทโกดักประเทศไทย
นับอายุงานตั้งแต่วันเริ่มต้นจนถึงวันนี้ก็ไม่น้อยกว่า 17 ปีแล้ว
เรียกได้สนิทปากว่าเป็นคนเก่าแก่คนหนึ่งของโกดัก
"ผมเริ่มงานกับโกดักเมื่อปี 2512 ก็เริ่มจากการเป็นพนักงานล้างฟิล์มในห้องแล็ปธรรมดา
ๆ จากความชำนาญงานก็ได้รับการโปรโมทหน้าที่ให้รับผิดชอบงานในห้องแล็ปที่ต้องใช้ฝีมือมากขึ้นเรื่อย
ๆ ช่วงนั้นผมก็ได้รับคำชมเชยมากว่าเป็นคนทำงานละเอียดประณีต มีผลงานดี"
วรวัฒน์ เล่าให้ฟัง
ปี 2518 จากพนักงานห้องแล็ป วรวัฒน์ ได้รับการส่งเสริมให้ได้เข้าไปทำงานในแผนกออกของ
หรือที่เรียกกันว่า "ชิปปิ้ง" ของโกดัก
ช่วงนั้นแผนกนี้มีพนักงานทำงานอยู่ 2 คน หัวหน้าแผนกที่ชื่อ ศิริชัย สุริสีหเสถียร
คนหนึ่ง และวรวัฒน์ เป็นผู้ช่วยของศิริชัยอีกคนหนึ่ง
วรวัฒน์ ใช้คุณสมบัติความละเอียดรอบคอบและเรียนรู้เร็วของเขาพัฒนาตัวเองจนมีผลงานถึงขั้นที่ศิริชัย
ยกย่องให้เป็นมือขวาได้อย่างสนิทใจ
และภายหลังเมื่องานขยายขึ้นแผนกต้องรับพนักงานเพิ่มอีกหลายคน วรวัฒน์ก็อยู่ในฐานะพนักงานอาวุโสคนหนึ่งของแผนก
"แผนกนี้ขึ้นอยู่กับฝ่ายจัดจำหน่ายมีผู้จัดการฝ่ายซึ่งเป็นคนเก่าคนแก่เหมือนกันชื่อ
กวีกร เอี่ยวศรีวงศ์ วรวัฒน์รักเคารพกวีกรมาก ส่วนกวีกรก็ให้ความสนิทสนมเมตตาวรวัฒน์มาโดยตลอด
เขารักใคร่กลมเกลียวกันขนาดที่วรวัฒน์เรียกกวีกรว่า เฮียทุกคำ.." คนในโกดักเล่ากับ
"ผู้จัดการ"
จากเด็กจบเพียงชั้นมัธยมต้น (ม.ศ. 3 )ของโรงเรียนปทุมคงคา มาเป็นเด็กฝึกงานในห้องแล็ป
เงินเดือนเริ่มต้นไม่ถึง 900 บาท ไต่เต้าจนสามารถทำงานเป็น "ชิปปิ้ง"
เงินเดือนล่าสุด 12,500 บาท สำหรับคนอย่างวรวัฒน์ ปั้นจิตรแล้ว ก็คงจะคู่ควรอยู่หรอกกับคำกล่าวที่ว่า
"เขาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตที่อาจจะหาได้ไม่ง่ายนัก"
ช่วงชีวิตในวัยเริ่มต้น 30 ของวรวัฒน์เป็นช่วงชีวิตที่กำลังรุ่งโรจน์มาก
ๆ งานกำลังดำเนินไปด้วยดี ครอบครัวกำลังเป็นปึกแผ่นและด้วยนิสัยส่วนตัวที่ดี
วรวัฒน์กลายเป็นคนที่ไม่เคยเหงาเพื่อนมาโดยตลอด
เพียงแต่คนเรานั้นมีบางครั้งต้องประสบเคราะห์กรรมอย่างไม่คาดฝัน!
ราวปลายเดือนมิถุนายนปี 2528 หรือปีกว่า ๆ มานี้ ชายผู้มีเรือนร่างสูง
175 เซนติเมตรน้ำหนักตัว 70 กว่ากิโลกรรมสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงไม่เคยเจ็บป่วยหนัก
ๆ อย่างวรวัฒน์จู่ ๆ ก็เกิดอาการเป็นลมชักกระตุกอย่างปัจจุบันทันด่วนบริเวณท่าเรือคลองเตยขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่
"ผมนึกว่าตายเสียแล้ว มันเกร็งไปหมดทั้งตัว กัดลิ้น หายใจไม่ออก เพื่อนที่ไปด้วยก็ช่วยกันโกลาหล
คนหนึ่งจับผมแหกปาก ผมกัดมือเขาจนรู้สึกได้ยินเขาร้องเจ็บปวด อีกคนจับขา
นวด ผม ขณะที่ผมกำลังจะหมดลม ถีบเพื่อนคนที่อยู่ปลายเท้ากระเด็นไปเลย แล้วก็หายใจได้เฮือกใหญ่อาการเกร็งและกระตุกก็คลาย
รอดชีวิตมาได้หวุดหวิด" วรวัฒน์เปิดเผยด้วยน้ำเสียงที่ยังเหนื่อยหอบไม่หาย
เขาตัดสินให้แพทย์ตรวจร่างการอย่างละเอียด ซึ่งจากการเข้ารับการตรวจสมองที่โรงพยาบาลประสาทแพทย์ก็สั่งให้เขาเข้ารับการผ่าตัดสมองทันที
แพทย์ที่นั่นบอกสั้น ๆ ว่า วรวัฒน์ เป็นเนื้องอกในสมอง
วันที่ 8 กรกฎาคม 2528 วรวัฒน์ได้รับการผ่าตัดและภายหลังการผ่าตัดก็ต้องทำการฉายแสง
(รังสีโคบอล) ติดต่อกัน 36 ครั้ง
มันเป็นความเจ็บป่วยที่สำหรับวรวัฒน์แล้วก็ไม่ค่อยรู้เนื้อรู้ตัวมาก่อนเลย
เขาตกใจมาก แต่ก็อบอุ่นใจและมีกำลังใจที่จะต่อสู้กับโรคร้ายเพราะคนโกดักแห่มาเยี่ยมไข้ให้กำลังใจกันแทบหมดบริษัท
"ผมมีสมุดเยี่ยม คุณเชื่อไหมคนโกดักทั้งผู้บริหารและเพื่อน ๆ พนักงานมาเยี่ยมผมกว่า
200 คน ดอกไม้เต็มห้องไปหมด วัน ๆ แทบไม่ต้องนอนพัก เอาแต่รับแขกก็หมดเวลาเป็นวัน
ๆ แล้ว วรวัฒน์ พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น
และนั่นเป็นภาพประทับใจครั้งสุดท้ายที่พนักงานผู้มีอายุการทำงานกับโกดักนานถึง
17 ปีได้รับจากโกดักและเพื่อน ๆ พนักงานด้วยกัน
เพราะหลังจากผ่าตัดแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างได้เริ่มกลับตาลปัตรอย่างช้า
ๆ แต่ต่อเนื่องสำหรับวรวัฒน์
ถ้าเชื่อถือในเรื่องโชคลางก็คงต้องบอกว่าโชคชะตาเล่นตลกกับวรวัฒน์เข้าแล้ว!
คนในโกดักหลายคนซุบซิบกันว่าวรวัฒน์อาจจะเป็นมะเร็งในสมอง และเขาคงจะไม่สามารถมีชีวิตที่ยืนยาวนักนับแต่นี้
ยิ่งวรวัฒน์ต้องเวียนเข้ารับการตรวจเช็คอยู่เนือง ๆ ด้วยแล้วก็ดูเหมือนจะยิ่งเชื่อกันมากขึ้น
ส่วนวรวัฒน์เอง แรก ๆ ก็กังวลใจเหมือนกันว่าตนเป็นโรคอะไรแน่! เขาคิดถึงเรื่องการต้องจบชีวิตของเขาหลายครั้ง
แต่ก็ยังไม่รู้สึกห่วงกังวลครอบครัวเท่าไหร่? เนื่องจากถ้าเขาต้องเสียชีวิตไปจริง
โกดักก็จะต้องจ่ายเงินชดเชยให้ครอบครัวเขา 48 เดือนจากเงินเดือนสุดท้าย อีกทั้งค่ารักษาพยาบาลส่วนใหญ่ระหว่างต้องผ่าตัดฉายแสง
และรักษาตัวนี้ก็สามารถเบิกได้จากโกดัก เนื่องจากโกดักได้ทำประกันสุขภาพให้กับพนักงานทุกคน
"ตอนนั้นผมเป็นห่วงแต่เฉพาะเรื่องงานมาก พอออกจากโรงพยาบาลผมก็รีบไปทำงานทันที
หลายคนพูดอย่างเป็นห่วงผมบอกว่าถ้ายังไม่ไหวก็พักผ่อนก็ได้ หรือถ้าอยากมาทำงานก็ไม่ต้องตอกบัตรหรอกคุณกำลังป่วย
ตอนนั้นผมก็ไม่คิดอะไรแต่ก็มีคนเตือนผมเหมือนกันว่า ถ้าไม่ตอกบัตรทำงาน ก็หมายถึงขาดงานและถ้าขาดติดต่อกันโดยไม่แจ้งสาเหตุ
บริษัทมีสิทธิบอกเลิกจ้างได้ ผมก็เลยตอกบัตร" วรวัฒน์ เล่าให้ฟัง
ช่วงที่วรวัฒน์กำลังเผชิญกับเคราะห์กรรมจากความเจ็บป่วยนั้น ก็เป็นช่วงเดียวกับที่โกดักกำลังมีปัญหาถูกพนักงานระดับบริหารอย่างสุวัฒน์
แดงพิบูลย์สกุล ฟ้องร้องคดีแรงงาน
วรวัฒน์ กับสุวัฒน์ ไม่ได้สนิทสนมกันมาก่อนแต่ประการใด แต่ในขณะที่สุวัฒน์ถูกโดดเดี่ยวไม่มีคนในโกดักกล้าพูดคุยเสวนาด้วยนั้น
วรวัฒน์กลับตรงกันข้ามเขาแสดงออกซึ่งความเห็นอกเห็นใจสุวัฒน์อย่างโจ่งแจ้ง
ในวันที่สุวัฒน์ถูกแจ้งการเลิกจ้างและต้องเก็บของออกจากโกดักโดยมีคนเดินคุมตัวลักษณะประกับกันมา
3 คน มาส่งถึงรถนั้นวรวัฒน์ก็เหตุการณ์เข้าโดยบังเอิญ เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ทันทีว่า
"คนเก่าคนแก่ต้องคุมตัวออกไปกันขนาดนี้เชียวหรือ...?
วรวัฒน์ไม่ทราบว่าสิ่งที่เขาได้แสดงออกไปในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างโกดักกับสุวัฒน์นี้จะมีใครพอใจหรือไม่อย่างไร
เพราะวรวัฒน์เพียงแสดงความเห็นอกเห็นใจธรรมดา ๆ เท่านั้น
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปัญหาระหว่างโกดักกับสุวัฒน์นั้นมันลึกซึ้งแค่ไหน?
สุวัฒน์ แดงพิบูลย์สกุล ที่ "ผู้จัดการ" เคยเขียนถึงเรื่องราวของเขากับโกดักไปเมื่อฉบับเดือนพฤษภาคม
2529 นั้น ได้รับการบอกเลิกจ้างเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2529 ช่วงนั้นวรวัฒน์ยังมีอาการเจ็บป่วยเป็นพัก
ๆ
และช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่โกดักทั่วโลกซึ่งรวมทั้งโกดักในประเทศไทย มีนโยบายที่จะลดค่าใช้จ่ายด้วยการปลดพนักงานลง
10 % อยู่พอดี
ผู้บริหารระดับสูงของโกดักประเทศไทยกำลังประชุมกันอย่างเคร่งเครียดว่าแผนกใดหรือฝ่ายไหนที่จะต้องลดคน
ซึ่งในที่สุดก็ตกลงว่าห้องแล็ปกับแผนกเล็ก ๆ อย่าง "ชิปปิ้ง" เป็นหน่วยงานที่จะต้องจัดการก่อนเป็นอันดับแรก
"ก็เตรียมการกันวุ่นวายทีเดียว เพราะบางคนที่เผอิญทำงานอยู่ในฝ่ายที่จะต้องลดคน
ถ้ามีญาติพอจะบอกกล่าวให้ช่วยได้ก็จะมีการช่วย ๆ กันให้ย้ายไปอยู่ในฝ่ายที่ปลอดภัย
คือฝ่ายที่ยังไม่ต้องลดคนเรียกว่าหาทางลงหลุมหลบภัยกันละครับ... " แหล่งข่าววงในคนหนึ่งสาธยายถึงบรรยากาศอลเวงในช่วงนั้น
"ถ้าว่ากันตามหลักการเฉพาะการลดคนในฝ่ายแล็ปก็มีเหตุผลอยู่ เพราะงานตอนหลัง
ๆ เข้ามาน้อย ส่วนมากลูกค้าก็จะไปใช้บริการตามศูนย์ล้างอัดขยายต่าง ๆ และน่าจะทยอยลดคนได้ตั้งนานแล้ว
แต่ดูเหมือนก่อนหน้านี้โกดักเขาต้องการควบคุมคุณภาพ ก็เลยให้มีไว้เผื่อคนที่ไม่พอใจคุณภาพของศูนย์ก็ส่งมาที่ห้องแล็ปโกดัก
ส่วนแผนกชิ้ปปิ้งไม่เข้าใจว่าเขามีแหตุผลอะไร?" แหล่งข่าวคนเดิมกล่าว
นโยบายลดคนนี้ถูกจัดทำขึ้นเป็นโครงการด้วยฝีมือของที่ปรึกษากฎหมายอย่างแยบยลมาก
!
เจ ซี สมิธ กรรมการผู้จัดการโกดักประเทศไทยได้ออกหนังสือเวียนไปตามแผนกต่าง
ๆ ที่อยู่ในเป้าหมายต้องลดจำนวนคนเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2529 มีข้อความว่า...
"เรียนเพื่อนพนักงานโกดัก เมื่อเราได้พิจารณาดูถึงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในปัจจุบันก็ได้พบว่าบริษัทกำลังประสบกับภาวะท้าทายด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด
ค่าประกอบการในการดำเนินธุรกิจยังคงสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ภาวะการตลาดได้มีการแข่งขันเพิ่มมากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน
ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลกระทบต่อปริมาณการขายและผลกำไรของบริษัทภาวการณ์ที่ท้าทายทางด้านเศรษฐกิจและการตลาดที่เรากำลังประสบอยู่นี่
ได้บังคับหเราต้องหันมาศึกษาการดำเนินธุรกิจของเราโดยมุ่งไปในทางปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในอันที่จะดำรงไว้ซึ่งความมั่นคงของธุรกิจในระยะยาวต่อไป
เราตระหนักดีว่าหากเราจะต้องแข่งขันกับภาวะการตลาดปัจจุบัน เราต้องเพิ่มความพยายามในการก้าวรุดไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ
แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องควบคุมค่าใช้จ่ายในการประกอบการให้รัดกุมด้วยเช่นกัน..."
"โครงการลดกำลังคนโดยความสมัครใจ" ก็เลยต้องเป็นเรื่องที่โกดักจะต้องแจ้งให้พนักงานทุกคนในแผนกที่ต้องลดกำลังคนได้ทราบ
หนังสือเวียนของ เจ ซี สมิธ กล่าวถึงโครงการนี้ว่า "โครงการลดกำลังคนนี้สำหรับพนักงานในแผนกบริการลูกค้า
แผนกบริการสินค้าเข้า แผนกขนส่ง แผนกช่างซ่อมบำรุง และห้องแล็ปโกดัก พนักงานใดที่เลือกจะร่วมในโครงการนี้มีเวลาในการตัดสินใจถึงวันที่
4 มิถุนายน 2529 โปรดกรอกข้อความแจ้งผลการตัดสินใจถึงวันที่ 4 มิถุนายน 2529
โปรดกรอกข้อความแจ้งผลการตัดสินใจของท่านลงบนจดหมายที่แนบมาในส่วนล่างของจดหมายนี้
และส่งคืนให้แก่กรรมการผู้จัดการภายในเวลา 12.00 น.ของวันที่ 4 มิถุนายน
2529 ทั้งนี้ฝ่ายจัดการขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาจะรับหรือไม่รับผลการตัดสินใจของผู้เข้าร่วมโครงการ..."
นัยหนึ่งก็คือบางคนที่สมัครใจลาออกโกดักอาจจะไม่ให้ออกก็ได้หรือคนไม่ยอมลาออก
(แจ้งไม่ร่วมโครงการฯ) โกดักก็สามารถให้ออกได้เช่นกัน
"เป็นมาตรการที่มัดมือชกชัด ๆ คุณไม่มีทางออกเลยถ้าโกดักไม่ต้องการคุณแล้ว..."
พนักงานคนหนึ่งระบายออกมาด้วยท่าทีอึดอัด
"การตัดสินใจของผู้ร่วมโครงการซึ่งได้รับการยอมรับโดยฝ่ายจัดการจะได้รับผลประโยชน์ตามที่ระบุไว้ในตารางผลประโยชน์ในกรณีลาออกเองบวกกับส่วนที่เพิ่มอีก
50% ของผลประโยชน์ที่ได้รับ" หนังสือเวียนฉบับเดียวกันกล่าวถึงแรงจูงใจพิเศษที่ผู้สมัครใจลาออกจะได้รับเพิ่มขึ้นอีก
50% ของผลประโยชน์ขั้นต่ำทั่ว ๆ ไป (คือ 6 เดือนของเงินเดือนงวดสุดท้ายรวมกับเงินเดือนที่จ่ายให้อีกหนึ่งเดือนแทนการบอกกล่าวเลิกจ้างล่วงหน้าและค่าชดเชยสำหรับวันลาพักร้อนที่ยังไม่ได้ใช้ในปี
2529) คือ สำหรับพนักงานที่ทำงานให้กับบริษัทฯ ตั้งแต่ 1-10 ปี จะได้รับเท่ากันทั้งหมด
หลังจากนั้นเพิ่มขึ้นปีละ 0.4 เดือนของเงินเดือนสุดท้าย
"ความหมายก็คือถ้าคุณไม่ยอมลาออกเองแต่เขาจะเอาคุณออกคุณก็จะได้แค่ผลประโยชน์ขั้นต่ำดังกล่าว
แต่ถ้าคุณยอมร่วมโครงการลาออกด้วยความสมัครใจนอกจากผลประโยชน์ขั้นต่ำแล้วโกดักก็จะจ่ายเพิ่มให้อีก
50% ของผลประโยชน์ขั้นต่ำอีก แทนที่จะได้ 100 ก็ได้ไป 150..." นักกฎหมายคนหนึ่งอธิบายให้ฟัง
ถ้าจะว่าไปก็เป็นเรื่องที่พนักงาน ซึ่งได้รับหนังสือเวียนนี้จะต้องรู้แจ้งแทงตลอดว่า
ตนเป็นที่ต้องการของบริษัทหรือไม่? หากทราบว่าบริษัทไม่ต้องการตนอีกต่อไปแล้ว
(คืออย่างไรเสียก็จะต้องโดนให้ออกแน่ ๆ) หลายคนก็อาจจะต้องเลือกทางที่จะได้ผลประโยชน์มากขึ้นเอาไว้ก็เป็นได้
วรวัฒน์ ปั้นจิตร ก็ได้รับหนังสือเวียนนี้ด้วยคนหนึ่งและเขาก็ไม่แน่ใจว่าผู้บริหารคิดอย่างไรเกี่ยวกับตัวเขา
? แต่จากท่าทีของหัวหน้าหลาย ๆ คน เขาค่อนข้างจะเชื่ออยู่บ้างว่า เขาอาจจะเป็นคนหนึ่งที่จะถูกให้ออกในฐานะพนักงานที่กำลังถูกโรคร้ายคุกคามและไม่มีใครแน่ใจว่าจะหายขาดหรือไม่
?
พนักงานที่ได้รับหนังสือเวียนของเจ ซี สมิธ นั้น จะต้องแจ้งคำตอบให้ฝ่ายบริหารทราบก่อนเที่ยงตรงของวันที่
4 มิถุนายน และฝ่ายบริหารจะประกาศแจ้งผลว่าใครจะโดนให้ออกบ้างในวันที่ 5
มิถุนายน ที่เป็นวันรุ่งขึ้น
ทุกคนมีเวลาตัดสินใจเพียง 10 วันในการกำหนดวิถีชีวิตจากวันนี้ไปจนถึงวันสิ้นลมหายใจ
สำหรับวรวัฒน์แล้วเขากลัดกลุ้มเอามาก ๆ
ด้วยความสามารถแล้ว วรวัฒน์ ก็คงจะหางาน "ชิปปิ้ง" ที่อื่นทำได้ไม่ยากหรือจะรับงานอิสระก็ยังได้
แต่นั่นน่าจะเป็นก่อนหน้าการล้มป่วย
"คนป่วยเป็นเนื้องอกในสมอง ต้องโกนหัวจนโล้นเพื่อผ่าตัดและเมื่อรับการฉายแสงแล้วบางส่วนของศีรษะผมก็จะไม่ขึ้นอีกต่อไป
ไปที่ไหนคนก็รู้ว่าเป็นคนป่วยสุขภาพไม่ดี ร่างกายยังเคลื่อนไหวไม่สะดวก ใครเขาจะรับเข้าทำงาน
ขอถามหน่อย..." คนที่ได้พบเห็นสภาพภายหลังการผ่าตัดของวรวัฒน์แสดงความเห็น
วรวัฒน์ปรึกษาหัวหน้าของเขาอย่างน้อย 2 คน ว่าเขาควรจะทำอย่างไร? ทุกคนก็พูดให้กำลังใจแต่ก็แฝงไปด้วยน้ำเสียงที่ต้องการให้วรวัฒน์ลาออกไปเสีย
จะได้เอาเงินไปรักษาตัวให้หายและจะได้พักผ่อนอย่างจริง ๆ จัง ๆ
ก็ไม่มีใครหวนคิดว่าวรวัฒน์นั้นทำงานอย่างทุ่มเทและซื่อสัตย์มาให้โกดักแล้วกว่า
17 ปี และเป็นเพื่อนร่วมงานที่เคยรักใคร่กลมเกลียวกันขนาดไหน ?!
"เมื่อหลายคนแสดงท่าทีเช่นนั้นผมก็สวนไปอย่างเหลืออดว่า ผมขอเอาผลงานพิสูจน์ว่าผมยังมีคุณค่าสำหรับบริษัทหรือไม่
ผมจะไม่ร่วมโครงการ ผมประกาศเลย...." วรวัฒน์กล่าว
และก็ไม่แต่เท่านั้น ด้วยความคับแค้นใจที่ถูกเสนอเงื่อนไขชนิดที่ "มัดมือชก"
กัน วรวัฒน์ก็ยังพูดกับผู้ใหญ่ในโกดักที่เขารับและเคารพอีกด้วยว่า เห็นทีจะต้องมีการเคลื่อนไหวก่อตั้งสหภาพแรงงานเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของลูกจ้างเสียแล้ว
พูดไปได้ไม่กี่วัน เรื่องที่วรวัฒน์จะตั้งสหภาพก็พูดกันให้แซ่ดไปทั้งโกดัก
วรวัฒน์พบว่า ท่าทีที่หลายคนต้องการให้เขาลาออกแจ่มชัดขึ้น
วันที่ 30 พฤษภาคม 2529 ราว ๆ บ่าย 3 โมง วรวัฒน์ก็โทรศัพท์ไปคุยกับผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่ชื่อรชนี
วนกุล สอบถามว่าเขาควรจะตัดสินใจอย่างไรเกี่ยวกับโครงการลดกำลังคนโดยความสมัครใจนี้
รชนี ก็พยายามพูดโน้มน้าวให้เขาลาออก เพื่อจะได้เอาเงินไปรักษาตัว
"ผมก็ถามว่าผมจะได้รับผลประโยชน์เท่าไหร่หากเข้าร่วมโครงการ คุณเชื่อไหมขนาดผมโทรศัพท์ไปโดยไม่ได้นัดหมายอะไรกันเลยนะ
คุณรชนีตอบได้ทันทีเลยว่าผมจะได้เงินราว ๆ แสนแปด ผมฟังแล้วก็ตกใจว่า ทำไมแฟ้มเรื่องของผมจึงสามารถค้นได้เร็วขนาดนั้น
ทั้ง ๆ ที่โกดักมีพนักงานเป็นร้อย ๆ" วรวัฒน์เล่ากับ "ผู้จัดการ"
แน่นอน....วรวัฒน์ย่อมอดคิดไม่ได้ว่าโกดักนั้นได้เตรียมเรื่องที่จะเอาเขาออกไว้พร้อมแล้วไม่ว่าเขาจะเลือกร่วมโครงการหรือไม่ร่วมก็ตาม
วรวัฒน์ วางหูโทรศัพท์ด้วยอาการที่น้ำตาลูกผู้ชายอย่างเขานองไปทั้งหน้า
เขาคิดถึงอนาคตตัวเอง คิดถึงครองครัว คิดถึงอนาคตของลูก ๆ 2 คนที่กำลังเรียนเพียงชั้นประถม
และก็คิดว่าทำไมเวลา 17 ปี ในโกดักมันช่างลงเอยอย่างไร้ค่าเช่นนี้
แล้ววรวัฒน์ก็ล้มป่วยอย่างแรงอีกครั้งเพราะต้องคิดมาก
วรวัฒน์เข้าโรงพยาบาลวันที่ 10 มิถุนายน ภายหลังการตัดสินใจไม่ส่งการแจ้งผลใด
ๆ ทั้งสิ้นไปให้กับฝ่ายบริหารของโกดัก
การเข้าพักรักษาตัวคราวนี้ สำหรับคนป่วยอย่างวรวัฒน์นั้นมันต่างจากครั้งแรกหน้ามือเป็นหลังมือ
ไม่มีคนโกดักคนใดมาเยี่ยมไข้ ไม่มีกระเช้าดอกไม้ ไม่มีคำปลอบใจ ไม่มีเพื่อนคงมีแต่ความเงียบเหงาและความสลดหดหู่ของคนที่กำลังตกอับที่สุดในชีวิต
สุวัฒน์ แดงพิบูลย์สกุลเมื่อครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้บริหารของโกดักต้องประสบกับการถูกโดดเดี่ยวที่ว่าขมขื่นมากแล้ว
ก็ดูเหมือนว่ากรณีของวรวัฒน์ ปั้นจิตรนี้จะยิ่งขมขื่นกว่ากันหลายเท่า
วรวัฒน์ ออกจากโรงพยาบาลวันที่ 24 มิถุนายน
วันเดียวกันนั้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลชื่อมนัญญากับหัวหน้าของเขาที่ชื่อศิริชัยก็มาถึงบ้านพร้อมจดหมายหนึ่งฉบับลงนามโดยกรรมการผู้จัดการ-เจ
ซี สมิธ
มันเป็นจดหมายบอกเลิกจ้างวรวัฒน์ !!
"ตามที่ท่านทราบดีอยู่แล้วว่า บริษัทได้เริ่มใช้โครงการการลาออกจากงานทั้งโดยสมัครใจและไม่สมัครใจตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้วและเมื่อต้นเดือนนี้นั้น
บริษัทขอแนบบันทึกการตัดสินใจของบริษัทขอเลิกจ้างท่านฉบับ ลงวันที่ 10 มิถุนายน
2529 ตามรายละเอียดที่ปรากฏอยู่ในเอกสารแนบมาพร้อมนี้ ขอได้โปรดทราบว่า ทางฝ่ายจัดการของบริษัท
หลังจากที่ได้ทราบว่า ท่านต้องเข้ารักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ได้เลื่อนการส่งบันทึกคำบอกกล่าวนี้ให้กับท่านออกไปเพื่อขอให้ท่านออกจากโรงพยาบาลก่อน
และเนื่องจากบริษัทต้องชำระเงินให้กับท่านภายในเดือนนี้เพื่อให้ตรงกับรอบระยะเวลาของเงินเดือนทั้งเดือนที่บริษัทตกลงจ่ายให้สำหรับเดือนมิถุนายนเต็มเดือน
บริษัทจึงจำเป็นต้องบอกกล่าวมายังท่านในวันนี้โปรดทราบด้วยว่า การคุ้มครองเกี่ยวกับการประกันสุขภาพของท่านจะยังมีอายุไปถึงวันที่
31 กรกฎาคม 2529 ดังนั้นถ้าท่านมีค่าใช้จ่ายใด ๆ ที่จะเบิกได้ตามกรมธรรม์ดังกล่าวแล้ว
ขอได้แจ้งให้บริษัททราบด้วย บริษัทยินดีที่จะช่วยเหลือท่านในเรื่องนี้..."
จดหมายแจ้งการเลิกจ้างแสดงความมีน้ำใจไว้เสร็จสรรพ
แต่ถึงจะแสดงน้ำใจกว้างขวางแค่ไหน วรวัฒน์ก็รับจดหมายนั้นมาอ่านด้วยอาการทรุดไปทั้งร่าง
เขาถามศิริชัยหัวหน้าของเขาว่า มีเหตุผลอะไรที่ต้องเอาเขาออก ศิริชัยก็บอกกับเขาว่า
"คุณบอกทำไมว่าจะตั้งสหภาพ ฝรั่งมันไม่ชอบ.."
วรวัฒน์ก็ยังไม่เชื่อนัก
รุ่งขึ้นวันที่ 25 มิถุนายน วรวัฒน์โทรศัพท์ไปสอบถามกวีกร เอี่ยวศรีวงศ์ผู้จัดการฝ่ายจัดจำหน่ายที่เป็นเจ้านายสูงขึ้นไปอีกขั้น
กวีกรก็พูดจาบ่ายเบี่ยงไม่ยอมชี้แจงอะไรให้ชัดเจน ได้แต่พร่ำว่า "มีคนมาบอกผมว่า
คุณโวยวายว่าผมไม่ยุติธรรม ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้แล้ว.." และขอให้วรวัฒน์สอบถามไปที่ผู้จัดการฝ่ายบุคคล-รชนี
วนกุล
รชนี วนกุล ก็บอกว่าเป็นเรื่องที่ผู้บังคับบัญชาของวรวัฒน์เสนอขึ้นมาเพราะจำนวนคนผู้สมัครใจตามโครงการไม่พอแต่ไม่ใช่เรื่องที่วรวัฒน์จะตั้งสหภาพใด
ๆ ทั้งสิ้น
"ผมก็ถามเขาว่าในแผนกผมมีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งผมทราบว่าเขาสมัครใจลาออก
ทำไมไม่ให้เขาออกกลับเป็นผมที่ไม่ได้ระบุว่าสมัครใจคุณรชนีก็ตอบอ้ำ ๆ อึ้ง
ๆ.." วรวัฒน์ บอกกับ "ผู้จัดการ"
ทุกคนที่วรวัฒน์คุยด้วยก็พยายามจะบอกว่า เรื่องมันได้เกิดขึ้นแล้วและเป็นเรื่องที่แก้ไขอะไรไม่ได้
ขอให้วรวัฒน์ปลงเสียให้ตก!
แต่เรื่องเช่นนี้ประสบเข้ากับใครแล้ว ก็ลองปลงดูเถอะว่าจะปลงได้หรือไม่
?
วรวัฒน์ แม้ว่าจะเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาหมาด ๆ เมื่อต้องเจอกับมรสุมลูกใหญ่เข้าเช่นนี้
เขาต้องกลับเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งด้วยอาการที่หนักขึ้น
วันที่ 9 กรกฎาคม 2529 แพทย์ลงมือผ่าตัดสมองวรวัฒน์ เป็นครั้งที่สองจากนั้นก็ฉายแสงติดกันอีก
12 ครั้ง
บริษัทโกดักจ่ายเงินชดเชยให้วรวัฒน์ 106,480 บาท โดยไม่ได้รับเงินจำนวนอีก
50% ตามที่พนักงานคนอื่นที่ออกไปโดยร่วมกับโครงการดังกล่าว ซึ่งจำนวนเงินดังกล่าวเป็นจำนวนเงินที่พนักงานที่ทำงานมา
17 ปี แล้วลาออกเองตามปกติก็ได้รับเงินจำนวนนี้อยู่แล้ว
และเมื่อรวมกับเงินชดเชยวันหยุดประจำปี 2529 อีก 5,780 บาทแล้ว พนักงานที่มีอายุงานกว่า
17 ปีอย่างวรวัฒน์ก็ถูกเลิกจ้างไปด้วยเงิน 137,260 บาท
"เป็นโรคอย่างแก รักษาตัวพักเดียวก็หมดแล้ว ทีนี้ลูกเมียจะอยู่กันอย่างไรล่ะ...?"
คนที่รู้เรื่องมาโดยตลอดพูดด้วยความเป็นห่วง
ไม่มีใครรู้ได้ว่าหนทางในภายภาคหน้าของวรวัฒน์ ปั้นจิตรจะลงเอยอย่างไร?