นิปปอน เทเลกราฟ แอนด์ เทเลโฟน คอร์ปอเรชั่น (เอ็นทีที) เป็นกิจการที่ก่อตั้งก่อนที่กระแสการยกเลิกการผูกขาดธุรกิจโทรคมนาคมจะแพร่กระจายไปทั่วโลก
เอ็นทีทีเติบโตเป็นบริษัทโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นผู้ผูกขาดกิจการโทรศัพท์ในประเทศญี่ปุ่นมาตลอด
นอกจากนั้นยังเป็นผู้ครองส่วนแบ่งตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ทางไกล และเป็น ไอเอสพีรายใหญ่อีกด้วย
ปัจจุบันเอ็นทีทีได้เสนอบริการใหม่ๆ เพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็นการเช่าซื้อคู่สาย
อุปกรณ์โทรคมนาคมหรือระบบข้อมูล
รัฐบาลญี่ปุ่น (ซึ่งถือหุ้นกิจการเอ็นทีทีอยู่ 53%) ได้ปรับโครงสร้างกิจการโดยแยกกิจการออกเป็นสามบริษัท
โดยสองบริษัทแรกดูแลโทรศัพท์ในประเทศและแบ่งตามพื้นที่รับผิดชอบ ได้แก่ "เอ็นทีที
อีสต์" (NTT East) และ "เอ็นทีที เวสต์" (NTT West) ส่วนบริการโทรศัพท์ทางไกลอยู่ในความดูแลของ
"เอ็นทีที คอมมิวนิเคชั่นส์" (NTT Communi-cations) นอกจากนั้นเอ็นทีทียังได้แตกธุรกิจในส่วนโทรศัพท์เคลื่อนที่
ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงออกไปเป็นธุรกิจต่างหากในชื่อ "เอ็นทีที โมบาย
คอมมิวนิเคชั่นส์ เน็ตเวิร์ค" (หรือที่รู้จักกันในชื่อ DoCoMo) โดยเอ็นทีทีถือหุ้นอยู่
67%
ความเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ยังติดตามมาพร้อมกับภาวะตลาดด้วย ยอดขายรวมจากธุรกิจรับส่งข้อมูล
บริการอินเทอร์เน็ต และโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้แซงหน้ารายได้จากธุรกิจโทรศัพท์แต่เดิม
โดยในขณะที่ตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่เติบโตอย่างสูง ธุรกิจโทรศัพท์แบบติดตั้งคู่สายกลับมีแนวโน้มลดลง(จากที่ให้บริการอยู่เดิม
57 ล้านคู่สาย) เอ็นทีทีได้เริ่มทดลองบริการโทรศัพท์ดิจิตอลแบบดีเอสแอลความเร็วสูง
(high speed digital subscriber line) อีกทั้งยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ที่ยังสานต่อบริการไอเอส
ดีเอ็นรุ่นล่าสุดเพื่อปูทางเข้าสู่อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงด้วย
เอ็นทีทียังได้วางรากฐานสำหรับตลาดโทรศัพท์ระหว่างประเทศไว้อย่างดี โดยการลงทุนร่วมกับกิจการโทรศัพท์ในหลายประเทศ
เช่น เข้าถือหุ้น 49% ใน "เอชเค เน็ต" ของฮ่องกง และถือหุ้น 15% ของกิจการโทรศัพท์ทางไกลของฟิลิปปินส์
อีกทั้งยังเข้าถือหุ้น 49% ในกิจการ "เดฟเน็ต เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์" ของออสเตรเลีย
ส่วนในสหรัฐฯ เอ็นทีทีเป็นเจ้าของธุรกิจด้านเว็บชื่อ "เวริโอ" และถือหุ้นอีก
10% ในบริษัท "เทลลิเจนท์" ความเป็นมา
ปี 1889 กระทรวงการสื่อสารของญี่ปุ่น เริ่มให้บริการโทรศัพท์ และผูกขาดธุรกิจไว้ในมือตั้งแต่ปี
1900 เป็นต้นมา ต่อมาในปี 1952 กระทรวงสื่อสารญี่ปุ่นได้จัดตั้งบริษัทนิปปอน
เทเลกราฟ แอนด์ เทเลโฟน พับลิค คอร์ปอเรชั่น (เอ็นทีที) และบริษัทได้เป็นผู้ปรับปรุงซ่อมแซมระบบโทรศัพท์ในประเทศหลังสงครามด้วย
ต่อมาในปี 1953 บริษัทโทรศัพท์อีกแห่งหนึ่งคือ "โคคุไซ เดนชิน เดนวา" (เคดีดี
ในปัจจุบัน) ก็ได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อให้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศ
รัฐบาลญี่ปุ่นได้วางแนวทางภาพลักษณ์ของเอ็นทีทีให้เป็นไปในทำนองเดียวกับเอทีแอนด์ทีของสหรัฐฯ
โดยได้ห้ามเอ็นทีทีทำการผลิตอุปกรณ์โทรศัพท์ เพื่อให้เกิดการแข่งขันกันในกลุ่มซัปพลายเออร์ด้านอุปกรณ์โทรศัพท์
แต่กระนั้นเอ็นทีทีก็ซื้ออุปกรณ์โทรศัพท์ส่วนใหญ่จาก ซัปพลายเออร์ญี่ปุ่นกันเอง
ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 เอ็นทีทีกลายเป็นหน่วยงานราชการที่ใหญ่เทอะทะ ทำให้เกิดความไร้ประสิทธิภาพและปัญหาการคอร์รัปชั่นตามมา
กรรมการผู้จัดการใหญ่ของเอ็นทีทีเคยกล่าวติดตลกด้วยว่า อุปกรณ์ที่บริษัทจะซื้อหาจากต่างประเทศนั้น
มีเพียงเสาโทรศัพท์เท่านั้น ในปี 1981 เอ็นทีทีถูกกดดันให้ยอมรับการประมูลจากบริษัทสหรัฐฯ
ช่วงทศวรรษต่อมาบริษัททุ่มลงทุนอย่างหนักทางด้านการติดตั้งเครือข่ายไฟเบอร์ออปติก
และสายโทรศัพท์แบบไอเอสดีเอ็นความเร็วสูง
ปี 1985 เอ็นทีทีต้องแปรรูปกิจการตามนโยบายยกเลิกการผูกขาดธุรกิจ บริษัทกลายเป็นกิจการในตลาดหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงที่สุด
นอกจากนั้นยังได้มีการจัดตั้งบริษัท "เอ็นทีที อินเตอร์เนชั่นแนล" ขึ้นเมื่อปี
1988 เพื่อดำเนินการด้านงานวิศวกรรมโทรคมนาคมในต่างประเทศ และจัดตั้ง "เอ็นทีที
เดต้า คอมมิวนิเคชั่นส์ ซิสเต็มส์" ขึ้นเป็นกิจการดูแลการประสานรวมระบบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นด้วย
เมื่อเกิดปรากฏการณ์ฟองสบู่แตกในตลาด หลักทรัพย์ญี่ปุ่นเมื่อปี 1990 เอ็นทีทีได้เลือกเอทีแอนด์ที
โมโตโรล่า และอีริคสันให้เป็นผู้พัฒนาระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ดิจิตอล และปีถัดมาจึงได้ตั้งบริษัท
"โดโคโม" ให้เป็นผู้ดำเนินการด้านโทรศัพท์เคลื่อนที่บ้าง เอ็นทีทียังดำเนินการตามนโยบายยกเลิกการผูกขาดธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วยการเปิดบริการ
"เพอร์ซันนัล แฮนดี้ โฟน (Personal Handy Phone Service-PHS) เมื่อปี 1995
รัฐบาลญี่ปุ่นมีแผนการแยกกิจการเอ็นทีทีใน ปี 1996 ก่อนหน้าที่องค์การการค้าโลก
(WTO) จะดำเนินการตามข้อตกลงให้เปิดเสรีตลาดโทรศัพท์ระหว่างประเทศ ขณะเดียวกัน
รัฐบาลก็ได้กดดันให้เอ็นทีทียอมให้คู่แข่งสามารถเชื่อมต่อกับระบบดิจิตอลใหม่ได้
ในตลาดต่างประเทศ เอ็นทีทีซื้อหุ้น 12.5% ในกิจการ เลลิเจนท์ซึ่งดำเนินการโทรศัพท์ท้องถิ่นในสหรัฐฯ
และนับเป็นการลงทุนครั้งสำคัญครั้งแรกของเอ็นทีทีในสหรัฐฯ
ปี 1998 กิจการหน้าใหม่ชื่อ "โตเกียว เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ เน็ต" (ซึ่งเป็นกิจการพันธมิตรของโตเกียว
อิเล็กทริค พาวเวอร์) ได้เสนอลดราคาค่าบริการโทรศัพท์ลง ทำให้เอ็นทีทีต้องดำเนินการตามอย่าง
ในขณะที่เอ็นทีทีก็แยกกิจการ "โดโคโม" ออกไปเป็นไอพีโอรายใหญ่ที่สุดในโลก
ปี 1999 เอ็นทีทีพ่ายแพ้ต่อบริษัทเคเบิลแอนด์ไวร์เลสของอังกฤษในการประมูลซื้อ
"อินเตอร์เนชั่นแนล ดิจิตอล คอมมิวนิเคชั่นส์" แต่ปีเดียวกันนั้นเองบริษัทได้แตกกิจการออกเป็น
3 บริษัท คือ"เอ็นทีที อีสต์" และ "เอ็นทีที เวสต์" ให้บริการโทรศัพท์ในประเทศ
ส่วนบริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศขึ้นอยู่กับ "เอ็นทีที คอมมิวนิเคชั่นส์"
ทว่า การแตกกิจการครั้งนี้ไม่เหมือนกับกรณีของ เอทีแอนด์ทีในปี 1984 เพราะเอ็นทีทีดำเนินการโดยยังคงรูปของโฮลดิ้งคอมปะนี
อยู่ กล่าวคือ เอ็นทีทีเป็นบริษัทแม่ของบริษัททั้งสามแห่ง เอ็นทีทียังได้ประกาศปลดพนักงาน
21,000 คนภายใน 3 ปีในบริษัทเอ็นทีทีเวสต์ และเอ็นทีทีอีสต์ ด้วย
ในขณะเดียวกันเอ็นทีทีได้รุกหนักทางด้านการลงทุนในต่างประเทศ โดยเข้าซื้อหุ้น
49% ในกิจการเอชเคเน็ตของฮ่องกง และตกลงซื้อหุ้น 49% ในเดฟเน็ต เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์
ซึ่งเป็นสาขาของบริษัทเดฟเน็ตแห่งออสเตรเลีย ปีที่แล้ว เอ็นทีที ลงทุนถึง
5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อหุ้น 90% ของบริษัทเวริโอซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจเว็บในสหรัฐฯ
ด้วย