Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กันยายน 2529








 
นิตยสารผู้จัดการ กันยายน 2529
ประพันธ์ พุกเจริญ-ธนาคารทหารไทย ในที่สุดก็ไม่มีใครกลั่นแกล้งใคร             
 


   
search resources

ธนาคารทหารไทย
ประพันธ์ พุกเจริญ




ทุกคนที่รู้จักประพันธ์ พุกเจริญ มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าประพันธ์นั่นเป็นคนประเภท "ยอมหัก ไม่ยอมงอ" ชนิดที่สุดขั้วจริง ๆ

ประพันธ์ ชอบเล่นกอล์ฟโดยก๊วนที่เล่นกันเป็นประจำคือเพื่อนเก่าที่แบงก์ชาติและบ่อยครั้งที่จะไปเล่นกับลูกน้องในแบงก์ทหารไทย วันใดที่เล่นแล้วแพ้ลูกน้อง ประพันธ์จะขอให้เล่นไม่ยอมเลิกเพื่อจะเอาชนะให้ได้ แม้บางครั้งง่ามมือฉีกประพันธ์ก็จะไม่หยุด

และมีอีกหลายเรื่องที่สะท้อนการ "ยอมหักไม่ยอมงอ" ของประพันธ์ ซึ่งก็รวมทั้งในเรื่องของการงานด้วย

ประพันธ์นั้นเคยทำงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยระหว่างปี 2500 จนถึงปี 2511 ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้ตรวจการ ธนาคารพาณิชย์ เขาเป็นศิษย์เก่าคณะบัญชีของธรรมศาสตร์และเคยเป็นลูกศิษย์ของประยูร จินดาประดิษฐ์ ที่ต่อมาก็ได้ร่วมงานกันที่ธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารทหารไทยตามลำดับ

ว่ากันว่าคนคู่นี้เคยรักใคร่กลมเกลียวกันมาก

ประพันธ์ลาออกจากฝ่ายกำกับและตรวจสอบธนาคารพาณิชย์ ธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมงานกับธนาคารทหารไทยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2511 ภายหลังจากที่ผู้บริหารคนหนึ่งของทหารไทยที่ชื่อเติมพันธ์ บุนนาค ได้แนะนำให้ประพันธ์รู้จักกับสุขุม นวพันธ์ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการของธนาคารทหารไทยและสุขุมชักชวนให้ประพันธ์มาร่วมงานด้วย

เขาเริ่มต้นที่ตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการ สังกัดฝ่ายตรวจสอบ หน้าที่ที่หลายคนอาจจะเปรียบเปรยว่าเป็น "สายลับ" หรือ "เกสตาโป" ซึ่งจะคอยจับผิดพนักงานด้วยกันทั้งที่เจตนาจริง ๆ ของฝ่ายบริหารแล้วก็คงไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น

ในปี 2521 ภายหลังจากที่ประพันธ์ใช้ความรู้ความสามารถวางระบบการทำงานในฝ่ายตรวจสอบ จนสามารถป้องกันการทุจริตและการรั่วไหลได้อย่างมีประสิทธิภาพน่าชื่นชมแล้ว เขาก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้ขึ้นไปเป็นผู้จัดการฝ่ายตรวจสอบ

เป็นผู้บริหารอันดับที่ 6 ของทหารไทยหากนับจากกรรมการผู้จัดการลงมา

เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2524 จากตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายตรวจสอบ ประพันธ์ถูกคำสั่งย้ายให้ไปอยู่ในตำแหน่งผู้ตรวจการธนาคาร โดยผู้ลงนามในคำสั่งย้ายก็คือประยูร จินดาประดิษฐ์ กรรมการผู้จัดการของธนาคารทหารไทย

เป็นตำแหน่งที่ธนาคารเลิกไปแล้ว แต่ถูกกำหนดขึ้นมาใหม่อีกครั้งและประพันธ์ก็เป็นคนแรกที่ต้องไปนี่งในตำแหน่งที่กลับมีขึ้นมาอีกครั้งนี้

ก็ต้องไปด้วยความที่ประพันธ์ไม่เต็มใจอย่างยิ่ง

ประพันธ์อยู่ในตำแหน่งผู้ตรวจการธนาคารได้ 2 ปีโดยที่ผู้บริหารมองว่าไม่มีผลงานอะไร

วันที่ 25 มกราคม 2527 ธนาคารทหารไทยก็เลยต้องบอกเลิกจ้างประพันธ์

แล้วทั้งประพันธ์ พุกเจริญ กับธนาคารทหารไทยก็ต้องมีนัดพบกันที่ศาลแรงงาน โดยประพันธ์เป็นโจทก์ยื่นฟ้องว่าธนาคารเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรมพร้อมกับเรียกค่าเสียหายและค่าชดเชยรวมกันกว่า 31 ล้านบาท

การฟ้องร้องของประพันธ์ พุกเจริญนั้น ประพันธ์พยายามจะชี้ว่าในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายตรวจสอบ ได้ตรวจพบการทำงานที่ผิดพลาดหลายประการของผู้บริหารหลายคน ซึ่งอาจจะไปขัดผลประโยชน์หรือความคิดของคนเหล่านั้นเข้าก็เลยถูกเกลียดชัง ไม่ชอบหน้า เพราะงานของประพันธ์ก็เป็นงานที่จะต้องไปจับผิดคนอื่นอยู่ด้วย

ผลที่สุดก็ต้องมีการย้ายประพันธ์ออกไปจากตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายฝ่ายตรวจสอบ ให้ไปอยู่ในตำแหน่งที่ประพันธ์เห็นว่า "เป็นตำแหน่งที่ไม่มีเครื่องมือเครื่องใช้ในการทำงาน ไม่มีพนักงานใต้บังคับบัญชาอันจะสามารถปฏิบัติงานได้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยมีพนักงานตรวจสอบอยู่ภายใต้การบังคับบัญชามากกว่า 50 คน"

ประพันธ์สรุปว่า เป็นสิ่งที่กรรมการผู้จัดการ (ประยูร จินดาประดิษฐ์) กับผู้บริหารอีกบางคนพยายามกลั่นแกล้งเพื่อหาทางบีบบังคับให้ประพันธ์ลาออกไป ซึ่งเมื่อประพันธ์ไม่ยอมลาออกก็หาเหตุเอาประพันธ์ออกในที่สุด

ประพันธ์นั้น ได้นำเรื่องราวหลายเรื่องภายในธนาคารทหารไทยมาใช้เป็นหลักฐานในการพิสูจน์ว่า ตัวเขาได้ค้นพบข้อผิดพลาดอะไรบ้างที่ทำให้ผู้บริหารหลายคนไม่ชอบหน้าและพยายามหาทางกลั่นแกล้งเพื่อจะได้พ้น ๆ ทางไป

เขาบอกว่าเขาปฏิบัติตามคำสั่งระเบียบข้อบังคับของธนาคารอย่างเคร่งครัด ไม่เห็นแก่หน้าเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่พนักงานทุกคน ทุกระดับ โดยรายงานไปตามข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมาและเปิดเผยขณะเมื่อยังมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายตรวจสอบของแบงก์ทหารไทย

การปฏิบัติงานบางเรื่องซึ่งเกี่ยวกับการอนุมัติให้สินเชื่อเกินอำนาจได้ก่อให้เกิดความไม่พอใจแก่เจ้าหน้าที่บริหารชั้นสูงที่เกี่ยวข้องหลายคน เพราะเจ้าหน้าที่เหล่านี้จะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายอันเนื่องมาจากการปฏิบัติฝ่าฝืนระเบียบของธนาคาร และนอกจากนั้น ยังฝ่าฝืนพระราชบัญญัติธนาคารพาณิชย์ด้วย

อย่างเช่นเมื่อตรวจพบและรายงานไปแล้ว เจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนไม่พอใจตัวเขามาก ก็เห็นจะได้แก่การตรวจสอบฐานะการเงินของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจตามที่ได้รับมอบหมายจากธนาคาร ซึ่งภายหลังการตรวจสอบประพันธ์ก็ได้ทำบันทึกข้อมูลเสนอสุขุม นวพันธ์กรรมการผู้จัดการขณะนั้นไป 2 ฉบับ ฉบับแรกสุขุมรับไว้ ส่วนฉนับที่สองไม่ยอมรับเพราะเป็นรายงานที่เป็นหลักฐานผูกมัดเจ้าหน้าที่บริหารระดับสูง เป็นหลักฐานที่จะผูกมัดผู้บริหารที่มีส่วนในการตัดสินใจรับอุปการะบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจ

รายงานฉบับนั้นประพันธ์บันทึกข้อมูลและความคิดเห็นที่สำคัญๆ คือ(1) ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ไม่อยู่ในฐานะที่จะเชื่อถือได้ (2) สภาพคล่องของบริษัทนี้ไม่มีเลย (3) สินทรัพย์และลูกหนี้ของบริษัทคาดว่าจะเป็นหนี้สูญเป็นจำนวนมากกว่าเงินกองทุนหลายเท่าแสดงว่าไม่อยู่ในฐานะที่จะดำเนินการต่อไปได้ และการตรวจสอบฯในช่วงเดือน กุมภาพันธ์-มีนาคม 2523 ก็พบว่ามีเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคารบางคนซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นสูงได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจ เป็นส่วนตัว เป็นต้นว่า ประยูร จินดาประดิษฐ์ ซึ่งนอกจากมีตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปของธนาคารทหารไทยแล้ว ก็ยังเป็นประธานกรรมการของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์สยามธนาการ และสยามธนาการนี้เป็นลูกหนี้ของนวธนกิจเป็นเงิน 70 ล้านบาทเศษ นอกจากนี้อนุชาติ ชัยประภา ขณะดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไปก็ได้อนุมัติเงินเบิกเกินบัญชีให้แก่นวธนกิจเกินกว่าวงเงินที่ได้รับอนุมัติไป 20 ล้านบาทเศษ และยังตรวจพบว่าเจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงของทหารไทยคือ โกวิทย์ จิระขันห์ กัลยา วิมลโลหะการ สมศักดิ์ กสิวัฒน์ และมานะ ประเสริฐภักดี เป็นลูกหนี้ค่าหุ้นของนวธนกิจที่ค้างมานานแล้วอีกเช่นกัน

อีกเรื่องหนึ่งเมื่อเดือนกันยายน 2523 ประพันธ์ก็ได้ตรวจพบว่าอนุกรรมการสินเชื่อมีอนุตร์ อัศวานนท์ เติมพนธ์ บุนนาค วิทยา สุพันธ์วณิชและคงศักดิ์ กฤษณะสมิต ซึ่งมีอำนาจอนุมัติในวงเงิน 10 ล้านบาทต่อลูกหนี้หนึ่งรายได้ อนุมัติ ทีอาร์ (ทรัสตรีซีส) เกินอำนาจให้กับลูกหนี้กลุ่มบริษัทกล่องกระดาษไทย 1967 ไปเป็นจำนวนมาก

ตรวจพบอีกว่า อำนวย สังขะวาสี ได้อนุมัติเบิกเกินบัญชีไปโดยไม่มีสัญญาและหลักประกันให้กับบริษัท เฮงง้วนหลีจั่น ไปประมาณ 30 ล้านบาทเศษ

และอีกหลายเรื่อง ฯลฯ

ซึ่งถ้าจะว่าไปก็คงไม่ต่างจากการสาวไส้ให้กากินดีๆ นี่เอง

"เราหนักใจมากเพราะกว่าที่จะมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงให้เป็นที่ประจักษ์โดยศาลหากข่าวแพร่สะพัดออกไปตามบรรยายฟ้องและคำให้การฝ่ายคุณประพันธ์ ธนาคารและสถาบันการเงินในเครือโดยเฉพาะนวธนกิจอาจจะเสียหายไปแล้ว ยิ่งช่วงนั้น (ปี 2527-2528) เป็นช่วงที่เกิดวิกฤตสถาบันการเงินอยู่พอดี เราก็เลยต้องขอให้ศาลพิจารณาคดีโดยปิดลับ..." คนของแบงก์ทหารไทยผู้หนึ่งพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ซึ่งจู่ ๆ ข่าวความขัดแย้งระหว่างประพันธ์กับธนาคารทหารไทยมีอันต้องเงียบหายไปเฉย ๆ

มันเป็นความหนักใจต่อผลที่เกิดจากการแพร่กระจายของข่าวธุรกิจที่ยืนอยู่บนความเชื่อถือและศรัทธาของประชาชน ในขณะที่ตัวรูปคดีแล้วธนาคารทหารไทยกลับไม่ค่อยหนักใจเท่าไรนัก

"เราเชื่อว่าเราได้ทำไปตามหลักการที่ถูกต้อง และในการต่อสู้เราก็ยืนยันถึงความถูกต้องที่ได้ตัดสินใจทำไปเท่านั้น" แหล่งข่าวคนเดิมบอกกับ "ผู้จัดการ"

ธนาคารทหารไทยได้ยืนยันว่า การย้ายประพันธ์จากผู้จัดการฝ่ายตรวจสอบไปเป็นผู้ตรวจการธนาคารนั้น มิใช่เป็นการกลั่นแกล้งหรือเป็นการย้ายขบวนการแต่อย่างใด หากแต่เป็นการย้ายสับเปลี่ยนและแต่งตั้งพนักงานเพื่อความเหมาะสมแก่กิจการธนาคาร และให้เป็นไปตามนโยบายเกี่ยวกับการสับเปลี่ยนตำแหน่งหน้าที่ให้พนักงานระดับบริหาร ได้มีโอกาสปฏิบัติงานด้านต่าง ๆ ซึ่งเป็นการเตรียมการสำหรับผู้บริหารระดับสูงในอนาคต

สำหรับตำแหน่งผู้ตรวจการธนาคารนั้นก็มิได้กำหนดหรือตั้งขึ้นเพื่อประพันธ์โดยเฉพาะ นอกจากนี้ลักษณะของงานก็สูงกว่าตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายตรวจสอบที่เป็นตำแหน่งเดิมของประพันธ์ระดับของตำแหน่งเงินเดือนสวัสดิการต่างๆ ก็ได้รับเหมือนเดิม และเมื่อย้ายประพันธ์จากตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายตรวจสอบแล้วธนาคารก็ได้แต่งตั้งสุธน ปุณะหิตานนท์ มาเป็นผู้จัดการฝ่ายตรวจสอบครั้นเมื่อเลิกจ้างประพันธ์ก็ได้แต่งตั้งสุธน ปุณะหิตานนท์จากผู้จัดการตรวจสอบมาเป็นผู้ตรวจการธนาคารเพราะ ความที่ธนาคารเห็นความสำคัญของตำแหน่งนี้มาก ๆ

"ส่วนทางฝ่ายตรวจสอบนั้นเป็นหน่วยงานที่มีภาระหน้าที่ช่วยแก้ไขและรายงานให้ผู้บริหารทราบเพื่อหาทางแก้ไข มิใช่หน่วยงานที่มีหน้าที่จับผิด ในชั้นต้นที่รู้ว่าการทำงานบกพร่องนั้นได้ผ่านจากพนักงานตรวจสอบไปตามสายงานตามลำดับจนถึงตัวคุณประพันธ์ซึ่งเป็นผู้จัดการฝ่ายตรวจสอบ จึงไม่ใช่ความลับอะไร และคุณประพันธ์ก็มีหน้าที่เสนอผลงานการตรวจสอบไปยังคณะกรรมการผู้จัดการใหญ่ การที่คุณประพันธ์อ้างต่อศาลว่าระหว่างที่ดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายตรวจสอบมีเรื่องกระทบกระทั่งกับฝ่ายบริหารในเรื่องการให้สินเชื่อ ในเรื่องนวธนกิจ ก็ล้วนเป็นเรื่องที่ผู้บังคับบัญชาสั่งให้ไปทำเป็นพิเศษนอกเหนือจากหน้าที่ประจำ เมื่อรายงานเรื่องนี้เข้ามาก็ไม่มีอะไรที่ใครจะต้องไปโกรธเกลียด ในการที่จะรับนวธนกิจเข้ามาหรือไม่นั้น ก็เป็นอำนาจของกรรมการธนาคาร ส่วนการตรวจสอบของฝ่ายตรวจสอบเป็นเรื่องการตรวจสอบภายในเท่านั้นนอกจากนี้ธนาคารก็ยังมีผู้ตรวจบัญชี ทั้งยังมีเจ้าหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาตรวจสอบด้วยอีก ที่คุณประพันธ์ว่ามานั้น จึงไม่เป็นความจริง" แหล่งข่าวในธนาคารทหารไทยพูดถึงประเด็นที่ทางธนาคารได้ตอบโต้กลับไป

ทหารไทยยอมรับว่าในเรื่องที่ประพันธ์ระบุถึงการให้สินเชื่อเกินอำนาจนั้นเป็นความจริงและมีอยู่ทุกระดับ แต่เมื่อให้สินเชื่อเกินอำนาจไปแล้ว ผู้อนุมัติสินเชื่อก็ต้องเสนอให้ผู้บริหารระดับเหนือขึ้นไปให้สัตยาบันอีกชั้นหนึ่งเท่านั้นเอง แม้แต่ประยูร จินดาประดิษฐ์กรรมการผู้จัดการใหญ่ ก็เคยอนุมัติให้สินเชื่อเกินอำนาจและสามารถขอให้กรรมการบริหารของธนาคารให้สัตยาบันได้เช่นกัน

"มันเป็นเรื่องธรรมดาทางธุรกิจที่ลูกค้ามีปัญหาเร่งด่วน ก็ต้องช่วยแก้ไขกันไปจากนั้นจึงค่อยให้สัตยาบันให้ถูกต้องภายหลัง" แหล่งข่าวกล่าว

ประพันธ์ พุกเจริญ ให้การต่อศาลในประเด็นต่อมาว่าเมื่อเขาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจการธนาคารแล้วนั้น เขาต้องนั่งทำงานโดยมีเลขาเพียงคนเดียว ไม่มีเครื่องมือเครื่องใช้และไม่มีพนักงานใต้บังคับบัญชา และในระหว่างดำรงตำแหน่งใหม่นี้ก็ได้รับมอบหมายงานจากประยูร จินดาประดิษฐ์เพียง 2 ครั้งในระยะ 2 ปีเศษ ประพันธ์จึงไม่ได้รับการขึ้นเงินเดือนในปี 2525 และ 2526 รวม 2 ปีติดต่อกัน เนื่องจากการไม่มีกำลังคน เครื่องมืออีกทั้งไม่ได้รับคำสั่งจากกรรมการผู้จัดการใหญ่ให้พนักงานและหน่วยงานอื่นของธนาคารต้องให้ความร่วมมือ การทำงานของประพันธ์จึงทำไม่ได้เพราะขาดข้อมูลในการปฏิบัติงานมาเสนอแนะเกี่ยวกับการบริหารแก่กรรมการผู้จัดการได้ แต่ประพันธ์ก็ได้หาข้อเสนอแนะต่าง ๆ ให้แก่ธนาคารตลอดเท่าที่จะทำได้

เขาบอกว่าภายหลังการไม่ได้รับการพิจารณาขึ้นเงินเดือนในปี 2525 แล้วนั้น ในเดือนมีนาคม 2526 อนุตร์ อัศวานนท์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ได้เชิญเขาไปพบและแจ้งว่า ขอให้หางานใหม่ทำเสียจะดีกว่า โดยธนาคารจะจ่ายเงินเดือนให้ 6 เดือนพร้อมทั้งผลประโยชน์และสิทธิต่าง ๆ ที่พึงมีพึงได้ตามระเบียบของธนาคาร และธนาคารจะออกหนังสือรับรองให้อย่างดี ประพันธ์ระบุว่าอนุตร์ขอให้เขาเอาเรื่องนี้ไปคิดทบทวนดูแล้วจะขอคำตอบภายหลัง จนล่วงเข้าวันที่ 14 มีนาคม 2526 อนุตร์ก็เรียกเขาไปถามถึงเรื่องการตัดสินใจ ซึ่งเขาก็ตอบอนุตร์ไปว่า ไม่ขอลาออก อนุตร์ก็บอกกับเขาว่าถ้าอยู่ต่อไปแล้วไม่ได้ขึ้นเงินเดือนติดต่อกัน 2 ปีก็ต้องออกไปตามระเบียบ

ต่อมาเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2526 ประพันธ์ได้รับหนังสือจากประยูร จินดาประดิษฐ์แจ้งให้ทราบว่าประพันธ์ไม่ได้รับการขึ้นเงินเดือนในปี 2525 มาแล้ว 1 ปี หากไม่ได้รับการขึ้นเงินเดือนในปี 2526 นี้อีก ก็จะต้องออกตามคำสั่งที่ 132/2523 ของธนาคาร

ถึงต้นปี 2527 ประยูรเรียกประพันธ์ไปพบแจ้งผลการพิจารณาเงินเดือนประจำปี 2526 ว่า ยังไม่สมควรที่จะพิจารณาขึ้นเงินเดือนให้ ประยูรได้เกลี้ยกล่อมให้ประพันธ์ลาออกโดยจะจ่ายเงินเดือนให้ 7 เดือนและเงินสะสมให้ทันทีพร้อมกับจะออกหนังสือรับรองให้ด้วย แต่ประพันธ์ยืนกรานไม่ยอมลาออก

วันเดียวกันนั้นเองที่ประพันธ์ระบุว่าประยูรได้ส่งหนังสือเลิกจ้างมาถึงเขา

ส่วนทางฝ่ายธนาคารทหารไทยพูดถึงเรื่องราวในประเด็นนี้เกือบจะเป็นคนละเรื่องกับประพันธ์

ทหารไทยกล่าวว่า ภายหลังการแต่งตั้งประพันธ์เข้าดำรงตำแหน่งเป็นผู้ตรวจการธนาคารนั้น ในวันที่ 4 มกราคม 2525 ประพันธ์ก็ได้ไปพบกับประยูร จินดาประดิษฐ์ เพื่อขอรับนโยบายเกี่ยวกับตำแหน่งใหม่ ประยูรก็ได้ชี้แจงให้ประพันธ์ทราบถึงภาระหน้าที่ซึ่งต้องช่วยเหลือกรรมการผู้จัดการใหญ่ทำงาน และต้องการให้ผู้ตรวจการธนาคารออกไปตรวจเยี่ยมสาขาแทนด้วยนอกจากนี้ก็จะให้ประพันธ์มีเลขาตลอดจนเครื่องมือเครื่องใช้และพนักงานโดยจะให้อัครเดช (อัครเดชพืชผล ผู้จัดการฝ่ายวางแผนและพัฒนา) มาพบภายหลัง ต่อมาได้ทำเรื่องย้ายไปเป็นเลขาให้ แต่ประพันธ์ก็ไม่มีผลงานเสนอ วัน ๆ ได้แต่นั่งในห้องทำงาน

ประมาณกลางเดือน มกราคม 2525 ประยูร ได้มอบหมายให้ประพันธ์ตรวจสอบเรื่องเงินสดหายที่ส่วนการเงินฝ่ายเงินฝาก ประพันธ์ก็ทำรายงานเสนอ ส่วนการออกตรวจเยี่ยมหน่วยงานต่างๆ ประพันธ์ไม่ปฏิบัติ ในการประชุมเจ้าหน้าที่บริหารประพันธ์ก็ไม่มีข้อเสนอแนะใด ๆ ต่อที่ประชุม ประยูรได้ชี้แจงภาระหน้าที่ให้ฟังก็ไม่มีผลกลับมา

ครั้นวันที่ 16 มิถุนายน 2525 ประพันธ์ได้มีหนังสือถึงประยูร ขอให้ชี้แนะการปฏิบัติงานประยูรก็ได้บันทึกถึงประพันธ์ระบุภาระหน้าที่ของผู้ตรวจการให้ทราบ จากนั้นประพันธ์ก็ได้ทำข้อเสนอแนะถึงประยูร รวม 8 เรื่อง ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่มีคุณภาพเพียงพอทั้งสิ้น

ในปี 2525 ประพันธ์ก็เลยไม่ได้รับการขึ้นเงินเดือน

ปี 2526 ตั้งแต่ต้นปี ประพันธ์ในสายตาของธนาคารก็ยังไม่มีผลงานต่อไป ประพันธ์คงมาที่ธนาคารแล้วนั่งอยู่แต่ในห้อง ตอนเย็นก็กลับบ้านปฏิบัติเช่นนี้อยู่จนถึงปลายปี 2526 อนุตร์ อัศวานนท์ จึงได้เชิญมาพบ เพื่อตักเตือนให้ทำงาน อนุตร์ชี้แจงว่าประพันธ์ไม่มีผลงานหรือมีน้อยไม่เหมาะสมกับภาระหน้าที่ที่ควรรับผิดชอบทั้งไม่ให้ความร่วมมือกับธนาคารไม่ว่าในเรื่องการประสานงาน งานสังคม และการประชุม เจ้าหน้าที่บริหารและไม่ตั้งใจที่จะปฏิบัติงานนับเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่พนักงานอื่นและอาจจะถูกเลิกจ้างได้ ประพันธ์ก็พูดกับอนุตร์ว่า ถ้าธนาคารเลิกจ้างประพันธ์จะต่อสู้

หลังจากนั้นอีกไม่นานนักประยูร ก็ได้นำเรื่องของประพันธ์เข้าหารือต่อที่ประชุมกรรมการบริหารของธนาคารอีก ที่ประชุมตกลงให้กรรมการผู้จัดการใหญ่ดำเนินการได้ตามความเหมาะสม

ประยูรนั้นได้เชิญประพันธ์มาพบและชี้แจงให้ทราบถึงผลงานพร้อมกับแนะนำให้ประพันธ์พิจารณาตัวเองดีกว่า ที่จะให้ธนาคารเลิกจ้าง เนื่องจากเงินเดือนไม่ขึ้น 2 ปีติดต่อกัน แต่ก็ปรากฏว่าประพันธ์เคยปฏิบัติตัวเฉยเมยอย่างไรก็ยังคงเฉยเมยอย่างนั้น

สิ้นปี 2526 เมื่อมีการพิจารณาขึ้นเงินเดือนประจำปี ประพันธ์ก็เลยไม่ได้รับการพิจารณาอีกเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน

วันที่ 25 มกราคม 2527 ผู้บริหารชั้นสูงได้เชิญประพันธ์มาพบและรายงานให้ทราบถึงผลการขึ้นเงินเดือนปี 2526 และแจ้งว่าผลงานของประพันธ์ไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับการพิจารณาเลื่อนเงินเดือน 2 ปีติดต่อกันเข้าเกณฑ์เลิกจ้างได้ธนาคารจึงมีความจำเป็นต้องเลิกจ้างประพันธ์ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2527 เป็นต้นไป

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us