Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กันยายน 2529








 
นิตยสารผู้จัดการ กันยายน 2529
อำนวย วีระวรรณ กับการเปลี่ยนแปลงของธนาคารกรุงเทพ             
 


   
search resources

ธนาคารกรุงเทพ, บมจ.
Economics
อำนวย วีรวรรณ




"ผู้จัดการ" เคยเขียนถึง อำนวย วีรวรรณ มาสองครั้ง

ครั้งแรกเป็นเรื่องขึ้นปก "ผู้จัดการ" ฉบับปฐมฤกษ์ เมื่อปี 2526 ในขณะที่สื่อมวลชนอื่นยังไม่ได้จับตามองคนที่ชื่อ อำนวย วีรวรรณ นี้เลย

ครั้งที่สอง "ผู้จัดการ" ฉบับที่ 18 ปี 2528 ได้บังอาจจัดตั้งรัฐบาลในฝันขึ้นมาและเราได้มอบตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีให้อำนวย วีรวรรณ เพราะ "ถ้าพูดถึงบุคลากรที่มีคุณภาพซึ่งผ่านทั้งภาครัฐบาลและเอกชนมาอย่างโชกโชนแล้วก็คงจะหาคนแบบ ดร.อำนวย วีรวรรณ ได้ยาก อำนวย วีรวรรณ จัดได้ว่าเป็นนักบริหารมืออาชีพชั้นแนวหน้าคนหนึ่งของเมืองไทยที่มีอยู่ไม่กี่คนในทุกวันนี้ โดยการศึกษาแล้วเขาเรียนมาทางการบริหาร โดยอาชีพการงานแล้ว เขาเป็นคนหนึ่งในการสร้างระบบราชการต่างๆ ในด้านการคลังของประเทศมาเป็นเวลายี่สิบกว่าปี บทบาทด้านหนึ่งในช่วงครึ่งปีแรกของชีวิต คือการเป็นคนที่รับผิดชอบในการสร้างโครงสร้างของการลงทุนที่ได้รับการส่งเสริม โดยเป็นเลขาธิการ BOI คนแรกๆ จากการที่ได้เริ่มงานในกรมบัญชีกลางและกรมศุลกากร ในฐานะอธิบดีตลอดจนเป็นปลัดกระทรวงการคลัง และในที่สุดเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และในที่สุดเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทำให้อำนวย วีรวรรณ เป็นคนที่เข้าถึงเส้นสนกลในของระบบการเงินการคลังได้อย่างดีเยี่ยม ตลอดจนโครงสร้างของภาษีที่กำลังฆ่านักธุรกิจและคนระดับกลางอยู่ทุกวันนี้ช่วงหลังของชีวิตเขาได้ข้ามรั้วมาอยู่อีกฟากหนึ่ง คือภาคเอกชนในบทบาทฐานะของประธานกลุ่มบริษัทสหยูเนี่ยน ทำให้อำนวยต้องออกไปนอกประเทศในเรื่องการค้าขายขอบข่ายของสหยูเนี่ยนที่ค้าทั้งในและนอกประเทศ ทำให้อำนวย วีรวรรณ เข้าใจถึงโครงสร้างปัญหาและอุปสรรคในการค้าขายของธุรกิจ และในบทบาทของประธานกรรมการบริหารของธนาคารกรุงเทพ อำนวยก็มานั่งอีกครั้งหนึ่งของวงการธุรกิจคือเป็นผู้จัดสรรเงินและทุนให้กับธุรกิจและกลุ่มผู้ประกอบการ

จากบทบาทใหม่อันนี้ทำให้อำนวย วีรวรรณ รู้ลึกลงไปถึงวงจรต่างๆ ที่ตัวเองอาจจะไม่เคยเรียนรู้เมื่อสมัยที่อยู่ภาครัฐบาลและสมัยที่อยู่ในฐานะพ่อค้าที่ต้องกู้เงิน

การเงินการคลังและการพาณิชย์เป็นของที่อยู่ควบคู่กันไปตลอด เพราะมันเกี่ยวพันถึงการลงทุนการหมุนเวียนของเงินในวงจรธุรกิจการค้า การเก็บภาษีจากธุรกิจการค้ามาใช้จ่ายและการกู้เงินเพื่อพัฒนาปรับปรุงให้การผลิตดีขึ้นและเพื่อให้ทุกอย่างดีขึ้น ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจนี้จึงเหมาะกับคนที่ชื่อ "อำนวย วีรวรรณ ที่สุด" (จากหน้า 60-61 และ 62 "ผู้จัดการ" ฉบับที่ 18 )

อำนวย วีรวรรณ กว่าจะมาถึงวันนี้ก็ได้สร้างตำนานให้กับตนเองอย่างมากมายตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ อยู่ที่จบปริญญาเอกมาจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนแล้วกลับมาทำงานในกระทรวงการคลัง และความจริงแล้วถ้าไม่ใช่เพราะจอมพลสฤษดิ์เป็นผู้ปรารภกับหลวงวิจิตรวาทการว่าต้องการคนหนุ่มมาเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ และถ้าไม่ใช่เพราะหลวงวิจิตรวาทการเป็นคนเสนออำนวย ซึ่งตอนนั้นเป็นหัวหน้ากองอยู่กรมบัญชีกลางแล้ว ป่านนี้วิถีชีวิตของอำนวยคงจะหันเหไปอีกแนวทางหนึ่งแน่

จากนั้น อำนวย วีรวรรณ ก็กลายเป็นเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)

ในที่สุดตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเป็นตำแหน่งที่ปูพื้นให้อำนวยได้กระโดดเข้าพบปะบรรดาพ่อค้านักธุรกิจ นักการธนาคาร ทั้งระดับในประเทศและนอกประเทศ

"ผมเริ่มทำงานกับอำนวยมาตั้งแต่สมัยผมยังเป็นผู้จัดการธนาคารกรุงเทพที่นิวยอร์ก และอำนวยอยู่บีโอไอ เราต้องติดต่อประสานงานกันตลอดมา" พร สิทธิอำนวย พูดถึงสายสัมพันธ์ที่เขามีกับอำนวย วีรวรรณ ให้ผู้ใกล้ชิดฟัง "อำนวยเป็นคนเก่ง ถ้าวงการราชการไทยมีคนคุณภาพแบบเขาสักเพียง 25% ประเทศชาติก็จะเจริญกว่านี้" พรสรุปถึงอำนวยให้ฟัง

และก็เป็นที่บีโอไอนี่แหละ จากการกล้าตัดสินใจและการกล้าบริหารงานของเขา เป็นเหตุให้เรื่องที่บีโอไอสมัยเขากลายมาเป็นหอกที่ศัตรูทางการเมืองเอามาแอบแทงเข้าข้างหลัง จนกระทั่งรัฐบาลชุดธานินทร์ กรัยวิเชียร ได้มีคำสั่งให้เขาออกไปจากตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลัง และผู้ที่แอบแทงเขาข้างหลังผู้หนึ่งก็คือผู้ที่เคยอยู่ใต้บังคับบัญชาในกรมศุลกากรนั่นเอง ซึ่งในตอนหลังเมื่ออำนวยได้รับการเชื้อเชิญจากพรรคกิจสังคมให้เข้าไปรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกรมศุลกากรผู้นั้นถึงกับขอลาป่วยเป็นเวลา 1 เดือนทันที ที่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งเขาเป็นรัฐมนตรีและเมื่อครบกำหนดวันเวลาก็ยื่นใบลาออกจากราชการไป

อำนวยใช้เวลาอยู่ที่บีโอไอประมาณ 4 ปี เศษ ก็ขอลาออกไปอยู่องค์การภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก และภายหลังกลับมาเป็นที่ปรึกษากระทรวงการคลังอีกประมาณ 1 ปึ ถึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอธิบดีกรมศุลกากรใน พ.ศ.2516 ปีที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองด้วยเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516

อำนวย วีรวรรณ ในขณะนั้นอายุเพิ่งจะ 42 ปี และอาวุโสในกระทรวงการคลังก็ยังน้อยกว่าข้าราชการอีกหลายคน โอกาสที่จะได้เป็นปลัดกระทรวงดูเหมือนว่าจะมีแต่ขวากหนามและดูเป็นไปไม่ได้

แต่วิถีทางราชการของอำนวยดูเหมือนจะเปลี่ยนไปกะทันหันในต้นปี 2518 เมื่อรัฐบาลชุด 18 เสียงของกิจสังคม ที่มีบุญชู โรจนเสถียร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเข้ามาบริหารประเทศ

บุญชูไม่ต้องใช้เวลานานในการตัดสินใจ เพราะบุญชูเองก็ไม่มีเวลามาก เขาต้องการปลัดที่ทันสมัยเข้าใจความคิดของเขาได้ และสามารถดำเนินนโยบายที่เขาต้องการได้อย่างรวดเร็วฉับไว ที่สำคัญที่สุดปลัดคนนี้ต้องเป็นคนที่มีความคิดใหม่ๆ พร้อมที่จะรับงานที่ท้าทายจากบุญชูได้

และในกระทรวงการคลังระดับอธิบดีก็มีแค่จำนวนคนเดียว อีกประการหนึ่งฝีไม้ลายมือของอำนวย บุญชูเองก็รับรู้มาแล้ว

ในที่สุดอำนวยได้เป็นปลัดกระทรวงการคลังในเดือนเมษายน พ.ศ.2518 เมื่ออายุเพียง 43 ปีเท่านั้นเอง

การแต่งตั้งครั้งนั้นเป็นการพลิกโฉมหน้าของกระทรวงการคลังตั้งแต่นั้นมา เพราะอำนวยเองเมื่อมาเป็นปลัดกระทรวงก็เป็นผู้ใช้ปรัชญาของการใช้คนหนุ่มมีความสามารถทำงานแทนการใช้ระบบอาวุโส

ระดับอธิบดีในกระทรวงการคลังในทุกวันนี้จะมีอายุกันไม่มากนักและผลพวงอันนี้ก็มาจากความคิดและแนวปรัชญาการใช้คนของอำนวย

ในช่วงการทำงานกับบุญชูนั้น อำนวยได้แสดงความสามารถหลายอย่างเต็มที่และบุญชูโชคดีที่ได้อำนวยมาเป็นตัวประสานแนวความคิดและแนวปฏิบัติ ระหว่างรัฐมนตรีที่ต้องการทำงานให้สะดวกและรวดเร็ว เหมือนสมัยบุญชูอยู่ธนาคารกรุงเทพกับข้าราชการที่มีระบบและความอืดอาดล่าช้าบวกกับการตามไม่ทันความคิดของผู้ร่างนโยบาย

พอจะพูดได้ว่า ในช่วงนั้นกระทรวงการคลังเป็นกระทรวงที่มีการเคลื่อนไหวและปรับปรุงภายในอย่างมากที่สุด

จากการที่ต้องทำงานใกล้ชิดกับบุญชูมากเป็นพิเศษ และจากการที่ได้รู้จักสนิทสนมกับพรรคพวกในกลุ่มของบุญชูมาก่อนตั้งแต่สมัยอยู่ที่บีโอไอ อำนวยเลยกลายเป็นคนของบุญชูไปโดยปริยายและนี่ก็เป็นดาบอีกคมหนึ่งซึ่งฟันใส่อำนวย เมื่อธานินทร์ กรัยวิเชียร ได้มาเป็นนายกฯ ในปี 2519-2520

ในขณะที่ธานินทร์ กรัยวิเชียร ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีขณะนั้นเป็นภาวการณ์ของการต่อต้านภัยคอมมิวนิสต์อย่างไม่ลืมหูลืมตา ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และพวกโดนเพ่งเล็งอย่างหนักด้วยความสงสัยจะเป็นพวกที่หาทางล้มล้างรัฐบาลชุดธานินทร์ และการเพ่งเล็งมากเช่นนี้ ก็มีส่วนผลักดันให้บุญชูกลับเข้าทำงานธนาคารกรุงเทพอีกครั้งหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงกับการถูกสงสัยว่าอยู่เฉยๆ จะทำอะไรกัน?

ส่วนอำนวยนั้นก็พลอยโดนหางเครื่องด้วย ในฐานะที่สนิทกับบุญชู โดยโดนเรื่องภาษีของบริษัทสยามคราฟท์ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นเรื่องของการวินิจฉัยปัญหาตามปกติของคณะกรรมการบีโอไอ

เป็นครั้งแรกที่ดูเหมือนว่าอนาคตของอำนวยแทบจะดับวูบ เมื่อคำสั่งให้ออกจากราชการออกมา แต่อำนวยก็สู้ต่อไปเพื่อหาความยุติธรรม หนึ่งในวิธีการคือการเขียนหนังสือชื่อ "พ้นพงหนาม" ซึ่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เป็นผู้ตั้งชื่อให้ และเขาจำหน่ายงานโดยยกรายได้ทุกบาททุกสตางค์จากการขายให้กับเด็กกำพร้าบ้านราชวิถี และมูลนิธิปัญญาอ่อน

วินาทีแรกที่อำนวยว่างงานมีบริษัทหลายแห่งพยายามติดต่ออำนวยให้ไปทำงานด้วย สองในหลายแห่งนั้นคือ พี เอส เอ และโรงกลั่นน้ำมันไทย

พร สิทธิอำนวย พยายามดึงเอาอำนวย วีรวรรณ และอานันท์ ปันยารชุน อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศซึ่งถูกหางไต้ฝุ่นของธานินทร์ กรัยวิเชียร เช่นกันให้ไปทำงานด้วย แต่อำนวยตัดสินใจที่จะไปสหยูเนี่ยนของดำหริ ดารกานนท์

"อำนวยเป็นคนเก่ง ดำหริเขาเป็นเพื่อนอำนวยมานานแล้ว เขาเข้ามาเอาวิธีการใหม่ๆ มาทำให้บริษัทไปได้ดี" เทียม โชควัฒนา เคยพูดถึงอำนวยให้ฟัง

ยุคนั้นอำนวยหันหลังให้กับอดีตทางราชการอย่างเด็ดขาด จะยุ่งเกี่ยวก็เฉพาะโอกาสที่จะทำให้ตัวเองบริสุทธิ์จากข้อกล่าวหาเท่านั้น

และในช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่อำนวย เริ่มกลับเข้ามาใกล้ชิดกับธนาคารกรุงเทพอย่างเป็นกิจจะลักษณะนอกเหนือจากการที่รู้กันดีพอสมควรแล้วแต่มาครั้งนี้อำนวยไม่มีตำแหน่งทางราชการที่เป็นเครื่องกีดขวางกัน

"ความจริงแล้วตระกูลวีรวรรณเป็นตระกูลที่ทำการค้ามาตั้งแต่สมัยก่อนนานแล้ว และรู้จักใกล้ชิดกับคุณชิน โสภณพนิช อย่างดี" พันธ์ศักดิ์ วิญญรัตน์ ผู้อำนวยการนิตยสารข่าวจัตุรัสเล่าให้ฟังเพิ่มเติม

อำนวยในปีนั้นเป็นช่วงที่ต้องทำงานใกล้ชิดกับธนาคารกรุงเทพมากขึ้น เพราะสหยูเนี่ยนเป็นลูกค้าใหญ่รายหนึ่งของธนาคารกรุงเทพ

สายสัมพันธ์ของอำนวยนอกจากทางบุญชูแล้ว กับชาตรี โสภณพนิช ก็สนิทสนมกัน ถึงแม้ว่าข่าวคราว และภาพของอำนวยกับชาตรีไม่ค่อยปรากฏให้สาธารณะเห็นเท่าใดนัก ในช่วงนั้น

"คุณชาตรีเคารพในฝีมือคุณอำนวยมาก และการเกี่ยวพันของคนสองคนนี้ มีผู้ร่วมงานอยู่ตรงกลางคือ คุณสุนทร อรุณานนท์ชัย ประธานกรรมการบริหารของสินเอเซีย ซึ่งเป็นบริษัทของคุณชาตรี" เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ สินเอเซียกล่าวกับ "ผู้จัดการ"

"คุณชาตรีเขาเคยชวนผมไปเป็นประธานของสินเอเซีย แต่ผมบอกว่า ร่วมกันทำดีกว่า เพราะอย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงก็มีอยู่ว่า สินเอเซียยังเป็นของคุณชาตรีอยู่ เขาก็คงจะต้องเป็นคนตัดสินใจ" อำนวยพูดให้ฟัง

สหยูเนี่ยนในช่วงของอำนวย วีรวรรณ เป็นสหยูเนี่ยนที่เริ่มหันออกไปค้าขายต่างประเทศมากขึ้น เท็กซปอร์ตอินเตอร์เนชั่นแนล คือเทรดดิ้งคัมปะนีที่อำนวยตั้งขึ้น โดยมีนักธุรกิจที่มีชื่อเข้ามาร่วมถือหุ้นด้วย

ในช่วงนั้นพลเอกเกรียงศักดิ์พยายามดึงตัวบุญชูให้เข้ามาร่วมรัฐบาลโดยเก็บเอาตำแหน่งรัฐมนตรีคลังไว้ให้

แต่คงจะเป็นเพราะ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ไม่ถูกชะตากับเกรียงศักดิ์ และในคำพูดของบุญชูที่ว่า "ผมอยากจะให้คุณเกรียงศักดิ์พิสูจน์อะไรลงไปสักสองสามอย่างก่อนผมถึงจะเข้าไปร่วม"

สองสามอย่างของบุญชูนั้นมีอยู่อย่างคือ การที่เกรียงศักดิ์จะต้องเคลียร์ข้อกล่าวหาที่อำนวยถูกกลั่นแกล้งสมัยธานินทร์เป็นนายกฯ

ในที่สุดอำนวยก็ได้รับการเคลียร์จาก ก.พ.ว่า ไม่ผิดซึ่งหลายฝ่ายก็คิดว่าอำนวยคงจะหันกลับเข้าไปรับราชการอีก แต่อำนวยได้ลั่นวาจาไว้แล้วว่า จะไม่กลับไปสู่ระบบที่เขาได้อุทิศทุกอย่างเพื่อประเทศชาติแต่กลับได้การกลั่นแกล้งเป็นเครื่องตอบแทน

และจะเป็นเพราะเกรียงศักดิ์ไม่ได้แสดงความจริงใจออกมาให้บุญชูเห็นอีกสองอย่างบุญชูก็เลยไม่ได้เข้าไปร่วม

หรือคงจะเป็นเพราะว่า บุญชูเริ่มเห็นแววของทหารม้าจากโคราชว่า ท่าทางจะมาแทนเกรียงศักดิ์ได้ ก็เลยตัดสินใจรอ

ซึ่งก็สมใจบุญชู เมื่อได้รับเชื้อเชิญจากรองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ ส่วนตำแหน่งรัฐมนตรีคลังนั้นไม่ต้องไปหาเพราะบุญชูมองไม่เห็นใครนอกจากอำนวย และก็ไม่มีใครคัดค้าน แม้กระทั่งคนกิจสังคมเองถึงไม่ชอบให้คนนอกเข้ามา แต่กับตำแหน่งนี้ของอำนวยแล้วไม่มีใครส่งเสียง

การกลับเข้ากระทรวงการคลังอีกครั้งเหมือนกลับบ้านเก่า การกลับมาครั้งนี้ ทำให้ข้าราชการกระทรวงการคลังถึงกับพูดกันไม่หยุด อย่างน้อยก็มีข้าราชการระดับสูงของกรมศุลกากรคนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังการกล่าวหาอำนวยในสมัยธานินทร์ถึงกับตัดสินใจลาออกจากราชการทันทีหลังจากลาป่วย เมื่อทราบข่าวว่าอำนวยจะกลับมาอีก"

"ท่านไม่ได้คิดถึงคนนั้นเลย และท่านก็ไม่เคยพูดถึง ท่านเป็นรัฐมนตรีไม่ใช่อธิบดีหรือปลัดที่จะไปล้างแค้นแกล้งคนระดับกรม" ผู้ใกล้ชิดอำนวยพูดให้ฟัง

รัฐบาลชุดเปรม 1 เป็นรัฐบาลชุดที่ต้องหาเงินเข้าประเทศเป็นอย่างมาก เพราะบุญชูต้องการใช้เงินและใช้เงินเพื่อกระตุ้นการลงทุนและทำให้การค้าคึกคัก เมื่อบุญชูต้องการใช้เงิน อำนวยก็ต้องเป็นคนหาเงิน

การหาเงินของอำนวยให้เข้ารัฐเป็นการหาเงินที่ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม ไม่เกรงคนใกล้ชิดบุญชู ไม่เกรงคนใกล้ชิดคึกฤทธิ์

อำนวยเป็นคนให้ขึ้นภาษีเบียร์และน้ำอัดลม เหตุผลของอำนวยจะผิดในปีสองปีแรกที่บริษัทน้ำอัดลมเริ่มจะขาดทุน แต่เป็นการขาดทุนกำไรสะสม แต่เริ่มปีสามพวกเครื่องดื่มต่างๆ ก็มีกำไรกลับไปเหมือนเดิม และก็เริ่มดีขึ้นกว่าเดิม

การขึ้นภาษีน้ำอัดลมคราวนั้นบางคนให้ข้อสังเกตว่า เป็นการไม่ไว้หน้า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งมีหุ้นอยู่ในเป๊ปซี่ และพงส์ สารสิน ซึ่งเป็นเจ้าของโคล่าและเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินของกิจสังคมอย่างแรง

อำนวยเป็นคนที่มีจิตวิทยาสูงและเป็นนักบริหารเต็มตัว เมื่อสมัยรัฐบาลเปรม 1 มีเพียงอำนวยคนเดียวในกลุ่มบุญชูที่ไม่โดนสื่อมวลชนแตะต้องเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่ตามใจ ขำภโต วิสิษฐ์ ตันสัจจา และบุญชู ดรจนเสถียร โดนโจมตีเสียน่วมไปเลย

ในความสัมพันธ์ระหว่างบุญชูกับอำนวยนั้นถึงแม้ว่าจะรู้จักและใกล้ชิดสนิทสนมกัน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าอำนวยเป็นคนของบุญชู เพราะอำนวยเองได้เกิดขึ้นมาในวงการเพราะ บุญครอง วงศ์สวรรค์ สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และพจน์ สารสิน บุญชูเพียงแต่เห็นความสามารถและต้องการใช้อำนวยเท่านั้น

ในขณะที่ทุกๆ เสาร์-อาทิตย์ บ้านพักที่หัวหินของบุญชูมีแต่คนของบุญชูไปห้อมล้อมและสังสรรค์กัน แต่ในที่นั้นมักจะไม่มีอำนวยอยู่ด้วย

"ท่านเป็นคนทำงานตรง มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านถามคุณบุญชูว่า เรื่องค้าขายของเถื่อนของเสี่ยจิวนี้จะเอายังไง เพราะท่านเตรียมตัวจะให้กรมศุลกากรกวาดล้าง แต่คุณบุญชูบอกว่า ปล่อยเรื่องของเสี่ยจิวให้คุณบุญชูจัดการเองก็แล้วกัน" ผู้ใกล้ชิดอำนวยในกรมศุลกากรเผยกับ "ผู้จัดการ"

เมื่อกิจสังคมออกจากเปรม 1 ช่วงนั้นเป็นช่วงที่อำนวยตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะหวนกลับมาวงการธุรกิจอย่างเต็มตัวหลังจากโดนสหยูเนี่ยนแอบต่อว่าอย่างน้อยใจ

และในระยะที่อำนวยไปเป็นรัฐมนตรี บริษัทเท็กซปอร์ตอินเตอร์เนชั่นแนลประสบภาวะขาดทุนอย่างหนัก เพราะการดำเนินนโยบายผิดพลาด เมื่ออำนวยกลับเข้ามาก็ต้องเข้ามาสะสางปัญหาต่างๆ ยังผลให้มีการเปลี่ยนตัวผู้บริหารงานบางคน

ในช่วงที่สองที่อำนวยกลับเข้ามาสหยูเนี่ยนก็เป็นช่วงของการทำงานกันอย่างใกล้ชิดกับธนาคารกรุงเทพ เพราะเป็นระยะที่บริษัทสหยูเนี่ยนได้เข้าไปช่วยรับภาระของไทยเกรียงอุตสาหกรรมสิ่งทอ และช่วยให้ไทยเกรียงพ้นภาวะล้มละลายไปได้

การกลับเข้ามาครั้งนี้ อำนวยได้รับการทาบทามจากชาตรี และชิน โสภณพนิช ถึงการเข้ามาสู่ธนาคารกรุงเทพ แต่อำนวยไม่ยอมเข้ามาเต็มตัว เพราะมีข้อผูกพันทางใจกับสหยูเนียนอยู่มาก จึงขอเข้ามาทีละขั้นตอน เริ่มตั้งแต่เข้ามาอยู่เป็นกรรมการก่อนและภายหลังถึงได้มีการเพิ่มภาระหน้าที่ให้อำนวยดังที่ทราบกันอยู่

ก่อนหน้านั้นอำนวยเองได้รับการทาบทามจากบุญชูและตระกูลมหาดำรงค์กุลให้เข้ามาบริหารงานธนาคารนครหลวงไทย แต่อำนวยปฏิเสธ เขาให้เหตุผลในการปฏิเสธว่า เป็นเพราะว่าเป็นงานที่ต้องอุทิศตนให้เต็มเวลา แต่เขาไม่สามารถทิ้งสหยูเนี่ยนได้ แต่แหล่งข่าวผู้ใกล้ชิดระบุว่า "คุณอำนวยไม่ไปนครหลวงฯ เป็นเพราะนครหลวงฯ ดูจริงๆ แล้วยังเล็กกว่าสหยูเนี่ยนกับบริษัทในเครือทั้งหมด อีกประการหนึ่งคุณอำนวยไม่คิดและไม่ต้องการจะไปปฏิบัติงานในองค์กรที่ไม่ใช่กิจการของมหาชน"

ซึ่งการตัดสินใจของอำนวยก็ไม่ได้ผิดพลาดเลยแม้แต่นิดเดียว

เมื่ออำนวยเข้าไปธนาคารกรุงเทพครั้งแรกนั้น ตัวเขาเองก็ไม่ได้ต้องการจะเข้าไปเต็มตัว เพียงแค่มาในฐานที่ปรึกษาครึ่งเวลาเท่านั้น แต่ชาตรีและนายห้างชิน โสภณพนิช อยากจะให้เข้ามาเต็มตัว

"ผมไม่อยากจะเข้าไปเต็มที่เพราะการที่คนใหม่เข้าไปนั้น แน่นอนที่สุดก็จะต้องมีการ Upset Balance ต่างๆ ที่เคยมีมาก่อน แต่ก็ต้องเข้าไปตามที่ถูกร้องขอมาจากคุณชาตรี และคุณชิน" อำนวย วีรวรรณ เคยพูดกับ "ผู้จัดการ"

ต้นปี 2527 เป็นปีที่อำนวย วีรวรรณ ได้เข้ามาที่ธนาคารกรุงเทพอย่างเต็มตัว แต่ถึงแม้จะเพิ่งเข้ามาอย่างเต็มตัวในต้นปี 2527 อำนวย วีรวรรณ ได้ช่วยวางนโยบายของปี 2527 เอาไว้แล้วตั้งแต่ปี 2526

"ดร.อำนวยได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการชะลอสินเชื่อ และสร้างคุณภาพให้กับธนาคารกรุงเทพ ท่านเป็นคนบอกและวางนโยบายว่าธนาคารกรุงเทพไม่ควรจะไปเน้นในเรื่องความใหญ่ แต่ควรจะเน้นในเรื่องคุณภาพจะดีกว่า" ชาตรี โสภณพนิช ย้ำข้อเท็จจริงให้ "ผู้จัดการ" ฟัง

เหมือนกับว่าธนาคารกรุงเทพจะรู้ตัวว่าในปี 2527 นั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองถึงต้องเอาอำนวย วีรวรรณ เข้ามาขัดตาทัพไว้ทันที

"คุณชาตรีต้องดึงเอา ดร.อำนวยเข้ามาเสริมเพราะความใหญ่ของธนาคารกรุงเทพนั้นมันใหญ่เกินกว่าคณะผู้บริหารงานที่มีอยู่จะแผ่บารมีคลุมไปถึง" คนระดับอธิบดีในกระทรวงการคลังพูดให้ "ผู้จัดการ" ฟัง

ในการเข้ามาของ อำนวย วีรวรรณ ในปลายปี 2526 ต่อต้นปี 2527 นั้น เข้ามาในจังหวะที่ธนาคารกรุงเทพกำลังมีปัญหาเรื่องภาพพจน์อย่างที่สุด ธุรกิจที่ฮ่องกงล้มกันระเนระนาด รวมทั้งไฟแนนซ์เมืองไทยก็พังกันแบบวินาศสันตะโร และธนาคารกรุงเทพก็โดนข่าวลือสะพัดไปถึงขั้นว่ากำลังจะล้ม

เหตุการณ์ในกลางปี 2527 ครั้งนั้นเป็นช่วงที่วิกฤติที่สุดของธนาคารกรุงเทพก็ว่าได้ และอำนวย วีรวรรณ คือหัวหอกในการเดินเรื่องแก้เกมให้กับธนาคารกรุงเทพอย่างสุขุมรอบคอบ ทุกอย่างคลี่คลายไปด้วยดี (อ่าน "ผู้จัดการ" ฉบับที่ 11 เดือนกรกฎาคม 2527)

บทบาทของอำนวย วีรวรรณ ในการเข้าไปนั่งในตำแหน่งประธานกรรมการบริหารนั้น เป็นบทบาทที่ตัวเองอึดอัดมากที่สุดเพราะ ""การที่ผมเข้ามานี้มีคนตั้งความหวังว่า ผมจะต้องเข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปหมด ซึ่งไม่จริงเพราะรากฐานของคนทำงานที่นี่จะอยู่กันมานานแล้ว การเปลี่ยนอะไรนั้นมันต้องค่อยเป็นค่อยไปและต้องทำในลักษณะที่ออมชอมให้ทุกฝ่ายเห็นว่า เรามีเป้าหมายเดียวกัน"" อำนวยเคยพูดให้ผู้เขียนฟังในช่วงแรกที่เริ่มเข้าไปนั่งทำงาน การเข้าไปของอำนวย วีรวรรณ นั้นก็เป็นธรรมดาที่ต้องมีปฏิกิริยาไม่พอใจอยู่บางส่วน ผู้บริหารบางคนก็อาจจะเก็บความไม่พอใจเอาไว้โดยไม่แสดงออกอย่างเปิดเผย

"มันเป็นของธรรมดาขององค์กรที่เมื่อมีการนำคนข้างนอกเข้ามา คนข้างในก็ต้องมีปฏิกิริยา โดยเฉพาะองค์กรอย่างธนาคารกรุงเทพ ซึ่งผู้บริหารระดับสูงส่วนใหญ่จะเป็นลูกหม้อที่ทำงานมานานแล้วเป็นสิบๆ ปี"" อาจารย์ทางด้านพฤติกรรมองค์กร (Organization Behavior) ที่ธรรมศาสตร์พูดหลักการให้ฟัง

ก็คงเป็นด้วยเหตุนี้ อำนวย วีรวรรณ ก็คิดว่าบทบาทประธานกรรมการบริหารของตนนั้น น่าจะเป็นบทบาทที่ต้องพยายามทำตัวให้ Low Profile ที่สุดภายในองค์กร และพยายามให้ทุกคนเห็นว่าตนเองนั้นเข้ามาเพื่อช่วยสร้างทุกอย่างให้ดีขึ้น

แต่บางครั้งก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้คนที่ไม่รู้จริงต้องเข้าใจผิด เช่นกรณีความขัดแย้งของโชติ โสภณพนิช กับชาตรี โสภณพนิช ซึ่งเป็นผลทำให้โชติต้องยื่นใบลาออกไปครั้งหนึ่ง

คนภายนอกอาจจะเข้าใจว่าโชติออกเพราะไม่พอใจที่อำนวยมาดึงเอางานทางด้านต่างประเทศต่างประเทศไปคุม

"โชติกับผมเป็นพี่น้องกัน สมัยก่อนการทำงานมีอะไรก็ถึงพ่อ (ชิน) พอมาตอนหลังต้องมาถึงผม ก็เลยต้องมีการปรับวิธีการทำงานกันใหม่ แต่ ดร.อำนวยท่านเป็นคนดีมาก ช่วยประสานและแก้ปัญหาความขัดแย้งอันนี้ได้ดีที่สุด คนข้างนอกไม่รู้หรอก" ชาตรีพูดกับ "ผู้จัดการ""

อำนวย วีรวรรณ เป็นคนหนึ่งที่โชติให้ความไว้วางใจมากและมักจะเข้ามาปรึกษาเมื่อมีปัญหาไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องความคิดเห็นที่แตกต่าง

ในข้อเท็จจริงแล้วอำนวยคุมสายทางด้านต่างประเทศและวาณิชธนกิจอยู่ ในเวลานั้นโชติ โสภณพนิช อยากลาออกเพราะไม่มีงานที่มอบให้รับผิดชอบ ซึ่งอำนวยเองคิดว่าโชติเป็นคนเก่งไม่อยากให้ออก ก็บอกชาตรีว่าให้แบ่งงานของเขาเองให้โชติไป ชาตรีมอบงานสายวาณิชธนกิจให้ไป ซึ่งโชติก็ยังเห็นว่าน้อยไป ด้วยความที่อำนวยเองก็ไม่ต้องการมานั่งทางด้าน Operation เท่าใดนัก และก็ต้องการให้โชติอยู่ธนาคารกรุงเทพต่อ ก็เลยขอให้ชาตรีมอบสายต่างประเทศให้โชติด้วย

เมื่อรูปแบบการจัดตั้งออกมาเป็นแบบนี้ก็กลายเป็นว่า อำนวย วีรวรรณ ถูกลดอำนาจไป"ท่านประธาน (อำนวย) เป็นคนเสนอให้โชติรับงานสายต่างประเทศกับวาณิชธนกิจเอง ผมอยากให้ท่านมีบทบาทมากขึ้น แต่ท่านกลับอยากจะทำด้านนโยบายและการพัฒนามากกว่า" ชาตรีพูดกับ"ผู้จัดการ"" ถึงเรื่องนี้

จริงๆ แล้วการกำหนดทิศทางของธนาคารนั้นอำนวยเป็นคนได้มีบทบาทอย่างสูงมาก และนอกจากนั้นอำนวยเองยังเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเหลือให้ธนาคารกรุงเทพหลุดพ้นจากการขาดทุนถึง 2,400 ล้านบาทในปี 2527

"ในปี 2527 หลังจากที่คุณอำนวยได้กำหนดทิศทางให้ธนาคารกรุงเทพลดการขยายตัวและให้เพิ่มคุณภาพนั้น เป็นช่วงที่เงินบาทกำลังประสบภาวะวิกฤติมาก"" เจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงของธนาคารเท้าความเรื่องเก่าๆ ให้ฟัง

ปัญหาเรื่องค่าเงินบาทในปี 2527 นั้นเป็นเรื่องที่ธนาคารชาติกำลังหนักอกเพราะ demand ของเงินดอลลาร์นั้นมีมากกว่า supply

"เงินดอลลาร์นี่คนที่จะ supply ให้ได้คือผู้ส่งออกเท่านั้นและช่วงนั้นได้มีการ speculate กันแล้ว ทุกคนก็พากันเก็บดอลลาร์ไว้หมด โดยไม่ยอมขายเมื่อตลาดมี speculation กันสูง เงินก็หายไปหมด ปัญหาใหญ่ของธนาคารชาติก็คือว่าจะหาดอลลาร์ที่ไหนเข้ามาเพื่อจ่ายหนี้หรือขายให้ Importer ที่ต้องจ่ายเงินออกไปให้เจ้าหนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก"" เจ้าหน้าที่ธนาคารชาติผู้หนึ่งอธิบายเหตุการณ์ในช่วงนั้นให้ทราบ

ในเวลานั้นอัตราค่า forward ประมาณ 22-25 สตางค์ต่อหนึ่งดอลลาร์ซึ่งสูงอย่างน่ากลัว

และคงจะมีคนรู้กันไม่มากว่าธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยในปี 2526 และต้นปี 2527 ได้ขายดอลลาร์ล่วงหน้า (oversold) ไปเป็นจำนวนมหาศาล

เฉพาะทางธนาคารกรุงเทพเองก็ oversold ไปประมาณ 600 กว่าล้านเหรียญ! ถ้ารัฐบาลลดค่าเงินบาททันทีในเวลานั้นดอลลาร์ละ 4 บาท ธนาคารกรุงเทพก็จะขาดทุนทันที 2,400 ล้านบาท!

อำนวย วีรวรรณ ตระหนักถึงปัญหานี้ ซึ่งต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน จึงเริ่มวางยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหานี้ทันที

ทีมของอำนวย วีรวรรณ มี ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย เป็นหัวหอกได้คิดดึงเอาระบบการใช้ packing credit เข้ามาเพื่อแก้ปัญหาดอลลาร์ขาดตลาด

อำนวย วีรวรรณ เอาข้อเสนอนี้ไปจับเข่าคุยกับนุกูล ประจวบเหมาะ ผู้ว่าธนาคารชาติในขณะนั้น ซึ่งก็เห็นด้วยกับวิธีการ เพราะจะช่วยให้สามารถแก้ปัญหาการลดค่าเงินตราจากแรงผลักดันของ speculation จึงกำหนดไปให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาทั้งฝ่ายรัฐบาลและเอกชนไปหารายละเอียดและวิธีการทำงานกัน

""packing credit ในเวลานั้นได้ผลมาก เพราะผู้ส่งออกสามารถเลือกเอา order ต่างประเทศมา pack กับธนาคารชาติโดยผ่านธนาคารพาณิชย์แล้วได้เงินไปในอัตราดอกเบี้ยเพียง 7% ในขณะที่ prime rate ประมาณ 17% ผู้ส่งออกเห็นประโยชน์ตัวนี้ก็เลยยอมเอา order ที่เป็นเงินตราต่างประเทศมาขายล่วงหน้าให้ตามระเบียบ"" เจ้าหน้าที่ธนาคารชาติคนเดิมเล่าให้ฟัง

packing credit ที่อำนวย วีรวรรณ และดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย เสนอแนะให้ใช้เป็นกลไกครั้งนี้ได้ผลทันตาเห็น เพียงแค่ 3 อาทิตย์แรกที่นโยบายนี้ได้ถูกนำมาใช้ forward rate ลดลงมาเหลือเพียงแค่ 7 สตางค์

""ผู้จัดการ"" พยายามถามเรื่องนี้ไปกับอำนวย วีรวรรณ แต่ประธานกรรมการบริหารของธนาคารกรุงเทพไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงแต่กล่าวว่า "ทั้งหมดนี้เป็นเพราะ staff แบงก์กรุงเทพได้ร่วมกันทำงานชิ้นนี้ ไม่ใช่เพราะผมคนเดียวหรอก" แต่ที่แน่ๆ อำนวย วีรวรรณได้ประหยัดเงินธนาคารกรุงเทพไป 2,400 ล้านบาทแล้ว!

บทบาทหนึ่งของอำนวย วีรวรรณที่ทำมาตลอดในฐานะที่เป็นประธานกรรมการบริหารของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์คือ การเป็นตัวแทนของธนาคารออกไปพบปะและสร้างสัมพันธ์กับโลกภายนอก

""วงการธนาคารบ้านเราแคบ พอออกไปต่างประเทศแล้วก็ไม่มีความหมายอะไร? และในโลกธุรกิจทุกวันนี้ที่เทคโนโลยีการสื่อสารทันสมัยและฉับไวมากนั้น การเปิดตัวออกไปสู่โลกภายนอกเป็นสิ่งที่จำเป็น"" นักธุรกิจในด้านพืชไร่เล่าให้ฟัง ""ผมค้าขายกับต่างประเทศมาตลอด ผมรู้ว่าธนาคารเราเป็นอย่างไร และยิ่งบทบาทของนายธนาคารที่ต่างชาติจะรู้จักและยอมรับกันนั้นเห็นจะมีแต่ดร.อำนวย วีรวรรณ เท่านั้นที่เขารู้จักกันอย่างกว้างขวาง"" นักธุรกิจส่งออกคนเก่าพูดต่อ

ในแง่แห่งความเป็นจริงแล้วกลับเป็นเรื่องจำเป็นมากที่ธนาคารใหญ่อย่างธนาคารกรุงเทพ ซึ่งช่วยสนับสนุนการส่งออกมากที่สุด ต้องมีความจำเป็นที่ผู้บริหารจะต้องเปิดตัวและทำให้ตัวเองเป็นที่รู้จักและให้ต่างประเทศยอมรับ เพราะการเป็นนายธนาคารที่ดีนั้นก็ต้องทำหน้าที่เป็นคนช่วยลูกค้าหาตลาดต่างประเทศด้วย

"ผมไม่รู้ว่าคนในธนาคารเขาจะคิดกับดร.อำนวยเช่นไรนะ? แต่ผมเองคิดว่าธนาคารกรุงเทพโชคดีมากที่ได้ดร.อำนวยไปทำหน้าที่นี้ด้วย ต้องถือว่าเขาเป็น Asset ของธนาคาร ผมเชื่อว่าธนาคารอื่นก็คงอยากทำ แต่หาคน Calibre แบบนี้คงหายาก" นักธุรกิจส่งออกคนเก่าพูดต่อ

บทบาทของอำนวย วีรวรรณ ในการเข้าไร่วมกิจกรรมในฐานะที่ปรึกษาของบริษัทขนาดใหญ่ในโลกนี้มีอยู่มาก

คงจะเป็นนักบริหารของคนไทยคนเดียวที่ได้รับเกียรติให้เป็นที่ปรึกษาสำคัญของบริษัทที่ทำตั้งแต่เครื่องยนต์ไอพ่น แทรกเตอร์ไปจนถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ในการผลิตหนังสือ เช่น McGraw Hill หรือแม้กระทั่งบริษัทที่ผลิตเครื่องมือสื่อสารโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดของโลก เช่น AT & T การไปเป็นที่ปรึกษานั้นเป็นการเปิดโอกาสให้ได้ไปพบเสวนาฟังข้อคิดเห็นจากจากคนระดับประธานกรรมการของกิจการขนาดใหญ่ๆ ทั่วโลก เช่น

- James E. Olson ประธานกรรมการบริษัท AT & T

- Harry J. Gray ประธานบริษัท United Technologies

- Lee L. Morgan ประธานบริษัท Caterpillar Traetor

- Dr. Alfred Herrhausen ประธานกรรมการของ Deutsche Bank AG ของเยอรมนี

- Sir Kenneth Durham ประธานกรรมการบริษัท ยูนิลีเวอร์ ของอังกฤษ

- Giovanni Agneli ประธานบริษัทรถยนต์เฟี้ยต ของอิตาลี

- Alexander M. Haig Jr. อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ

- Dr. Wisse Dekker ประธานกรรมการบริษัท ฟิลิปส์ ของเนเธอร์แลนด์ นักธุรกิจที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียที่อำนวย วีรวรรณ ต้องพบปะและสัมพันธ์ด้วย ในฐานะที่ปรึกษาบริษัทเหล่านี้ ก็มี อาทิ

- Washington Sycip เจ้าของสำนักตรวจสอบบัญชี SGV Group

- YoshiZo Ikeda อดีตประธาน Mitsui Group

- Sir Yue Kong Pao เจ้าของสายการเดินเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก

- Ichiro Hattori ประธานบริษัทไซโก จำกัด

- Woo Choong Kim ประธานกรรมการ Daewoo Group ของเกาหลี ฯลฯ การประชุมในฐานะที่ปรึกษานั้นก็สุดแล้วแต่วาระ ซึ่งเจ้าภาพก็จะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้หมดในฐานะแขกวีไอพี ทั้งตั๋วเครื่องบิน ตลอดจนดูแลรับรองเรื่องค่าใช้จ่ายและที่พักอาศัย

บางครั้งอำนวย วีรวรรณ ก็จะถือโอกาสเดินทางต่อไป เพื่อดูแลและติดต่อกิจการต่างประเทศที่เป็นประโยชน์ต่อธนาคาร ซึ่งถ้าเป็นกรณีเช่นนี้ค่าใช้จ่ายในช่วงนั้นธนาคารกรุงเทพก็ต้องเป็นผู้จ่าย กรณีนี้ได้มีการโจมตีอำนวยในการใช้เงินของธนาคารเพื่อเดินทางไปประชุมกับบริษัทต่างๆ ที่ตัวเองเป็นที่ปรึกษา ตลอดจนการพูดถึงอำนวย วีรวรรณ ใช้จ่ายเดินทางอย่างฟุ่มเฟือย โดยมีการเช่าเครื่องบินและเช่ารถยนต์ "ผู้จัดการ"ได้สอบถามไปยังฝ่ายงบประมาณของธนาคารซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง "ท่านประธานจะเบิกก็เฉพาะช่วงการเดินทางไปเยี่ยมสาขาต่างประเทศเพื่อติดต่อธุรกิจที่เป็นประโยชน์ต่อธนาคารเท่านั้น ส่วนการเช่าเครื่องบินนั้นก็ไม่มี แต่เช่ารถนั้นมีบ้างเพราะเป็นของปกติ แม้แต่คุณชิน คุณบุญชู คุณชาตรี ไปต่างประเทศก็ใช้วิธีการเช่ารถ ถ้าไปประชุมธนาคารโลก หรือไปนิวยอร์กซึ่งสาขาธนาคารไม่มีรถใช้ และไม่มีคนขับ เพราะใช้วิธีเช่าเขาถูกกว่า" เจ้าหน้าที่ควบคุมด้านงบประมาณของธนาคาร พูดกับ "ผู้จัดการ"

"ผู้บริหารธนาคารทุกคนตั้งแต่ระดับประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ลงมา จะมีงบประมาณค่าใช้จ่ายเดินทาง และค่าใช้จ่ายรับรองอนุมัติไว้ให้เป็นรายบุคคล จะจ่ายเกินหรือจ่ายฟุ่มเฟือยไม่เข้าหลักเกณฑ์ไม่ได้อยู่แล้ว ประธานกรรมการบริหารเองจะประหยัดในเรื่องเหล่านี้ และมักจะเดินทางโดยเครื่องบิน Business Class ของการบินไทย ซึ่งถูกกว่า ถ้าบินอยู่ในภูมิภาคนี้" เจ้าหน้าที่งบประมาณคนเดิมอธิบายหลักเกณฑ์ให้ฟัง

จากบทบาทที่อำนวย วีรวรรณ ต้องการจะ low profile ในแง่โครงสร้างผู้บริหารของธนาคารกรุงเทพและจากการเป็นคนกลางประนีประนอมให้โชติ โสภณพนิช ได้งานสำคัญไปทำเพราะอำนวยต้องการให้โชติอยู่ในธนาคารต่อไป ทำให้มีคนเข้าใจไปว่า อำนวย วีรวรรณ ถูกลดบทบาทและกำลังถูกชาตรีบีบ

"คนอย่างดร.อำนวย ถ้าธนาคารไม่เอาไว้ก็บ้าแล้ว คนมีความรู้ความสามารถอย่างท่านใครๆ ก็อยากได้ ผมเป็นคนขอให้ท่านแสดงตัวในด้านอำนาจในการบริหารในฐานะท่านประธานกรรมการบริหาร แต่ท่านกลับไม่ใช้ คนมันพูดกันเสียหายไปหมด เรื่องงบประมาณค่าใช้จ่ายเหมือนกัน คนไม่รู้เรื่องก็เข้าใจว่าฝ่ายบริหารใช้กันเยอะ ที่จริงแล้วแผนกอื่นๆ ก็มักจะปัดค่าใช้จ่ายมาให้ฝ่ายบริหาร เช่น ฝ่ายต่างประเทศจัดเลี้ยงในงานของเขา แต่เกิดเชิญผมหรือท่านประธานไปเป็นเจ้าภาพของงาน เขาก็โอนค่าใช้จ่ายเหล่านี้มาให้ผม หรือท่านประธานทั้งๆ ที่ไม่ใช่งานของผม"" ชาตรีเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังอย่างหงุดหงิดพอสมควรในเรื่องนี้

"งบประมาณเดินทางท่านประธานมีอยู่ปีละประมาณ 1 ล้านบาท แต่ในปี 2529 นี้จนถึงสิ้นสุดสิงหาคม ท่านเพิ่งใช้ไปแค่แสนกว่าบาทเท่านั้นเอง" เจ้าหน้าที่งบประมาณคนเดิมเล่าให้ฟัง

อำนวย วีรวรรณ ในปี 2529 นี้เป็นปีที่บางคนเข้าใจว่าถูกผู้บริหารคนหนึ่งที่สูญเสียอำนาจโจมตี โดยสร้างความเข้าใจผิดหรือให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแก่เจ้าหน้าที่แรงงานบางคน ข้อหาที่โจมตีก็คือการใช้จ่ายค่าเดินทางอย่างฟุ่มเฟือย ในขณะที่ธนาคารกำลังมีรายได้ลด ตลอดจนส่งเสริม ไชย ณ ศิลวันต์ ซึ่งเป็นบุตรเขยให้ก้าวหน้าในตำแหน่งงานอย่างเร็วผิดปกติ

"เรื่องทั้งหมดนี้เขาไม่เข้าใจกัน ท่านประธานไม่ได้ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยเหมือนอย่างที่ผมชี้แจงไปแล้ว ส่วนเรื่อง ไชย ณ ศีลวันต์ นั้นเขาเป็นคนเก่งและผมเป็นคนเสนอให้เขาเป็น AVP เอง"ชาตรี พูดให้ฟัง

คงจะมีน้อยคนที่รู้ว่า ในการที่ธนาคารมีรายได้ลดลงมากจนเป็นผลให้โบนัสของพนักงานระดับสูงลดลงนั้น อำนวยเป็นคนพิจารณาไม่ให้ลดโบนัสของพนักงานชั้นผู้น้อยจนถึงชั้นโท

"โบนัสของคุณชาตรีก็ยอมลดลงมาอย่างมาก และของดร.อำนวยก็ลดของตัวเองลงมาอย่างมากเช่นกัน แต่ท่านไม่เคยบอกให้ใครรู้" คนใกล้ชิดอำนวย วีรวรรณ เล่าให้ฟัง

แต่เรื่องการโจมตีนั้นไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญสำหรับอำนวย วีรวรรณ หรอกเพราะข้อกล่าวหานั้นเป็นเรื่องไม่มีข้อเท็จจริงและเป็นการชกใต้เข็มขัด โดยป้อนความเท็จให้เจ้าหน้าที่สหภาพแรงงาน

สำหรับอำนวยแล้ว วิถีชีวิตเกือบทำให้เขาต้องกลับเข้าไปวงการราชการอีกในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

"คุณเปรมเชิญผมไปปรึกษาว่า คุณอำนวยเป็นคนเช่นไรและเหมาะสมกับตำแหน่งรัฐมนตรีคลังไหม? ผมก็บอกท่านนายกฯ ว่าคุณอำนวยเขาเหมาะสมที่สุด และก็จะไม่มีใครเหมาะเท่าเขา" บุญชู โรจนเสถียร เล่าให้ผู้เขียนฟังในโต๊ะอาหารค่ำคืนวันที่ 8 สิงหาคม ที่โรงแรมอิมพีเรียล

"ผมคิดว่าเป็นเกียรติอย่างสูงที่ผมมีชื่อในการพิจารณาของท่านนายกฯ แต่ผมได้กราบเรียนท่านนายกฯ ไปว่าผมอาจจะยังไม่พร้อม และอีกประการหนึ่ง ผมคิดว่ายังมีคนที่มีความสามารถอีกหลายท่านที่ไม่มีข้อผูกพันกับหน่วยงานใดที่อาจจะพร้อมที่จะรับงานได้ทันที" อำนวย วีรวรรณ ตอบคำถามผู้เขียน

อำนวย วีรวรรณ จะตัดสินใจถูกหรือผิดก็ไม่ทราบได้ แต่ที่แน่ๆ ชิน โสภณพนิช กล่าวขอบคุณคุณอำนวยที่ไม่ทิ้งธนาคารไป

"องค์กรทุกองค์กรจะต้องมีทิศทาง และจะต้องมีคนคอยกำหนดทิศทางขององค์กรนั้น ธนาคารกรุงเทพก็เช่นกัน หน้าที่กำหนดทิศทางนั้นก็เป็นตำแหน่งของประธานกรรมการบริหาร ซึ่งดร.อำนวย วีรวรรณ ดำรงตำแหน่งนี้อยู่ ทิศทางที่จะกำหนดนั้นมันมาได้หลายทาง เช่น มาจากการวิจัย จากหลักเศรษฐศาสตร์ จากความสัมพันธ์กับคนกลุ่มต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ จากความรู้และประสบการณ์ ทั้งหมดนี้ดร.อำนวยเขาเป็นคนที่พร้อมที่สุดและเหมาะที่สุด สมัยก่อนธนาคารกรุงเทพรู้แต่ว่าจะค้าขายอย่างเดียว จะโตอย่างเดียวแต่ดร.อำนวยเขาเข้ามากำหนดว่าหยุดโตแล้ว หันมาหาคุณภาพกันเสีย และนี่เป็นบทบาทที่ดร.อำนวยในฐานะประธานกรรมการบริหารได้กระทำอย่างถูกต้องที่สุด คือเป็นคนกำหนดนโยบายให้ข้างล่างปฏิบัติตามกัน" อาจารย์สอนนโยบายธุรกิจโครงการ MBA ภาคค่ำของธรรมศาสตร์อรรถาธิบายให้เราฟัง

บางครั้งบทบาทของการกำหนดทิศทางนั้นเป็นบทบาทที่อาจจะไม่ได้ปรากฏออกไปสู่สาธารณชน เพราะเป็นเรื่องภายในองค์กร และในบางกรณีก็เป็นความลับขององค์กรด้วย ด้วยเหตุนี้อำนวยจึงถูกมองโดยสายตาข้างนอกว่า ไม่มีบทบาทมาก

"ธนาคารกรุงเทพถ้าใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถของคุณอำนวยแล้วก็ควรจะใช้ให้เต็มที่เสียตอนนี้ เพราะคุณค่าของคนคนนี้มีมากกว่าที่จะมานั่งอยู่ที่ธนาคารแห่งนี้อีกหลายร้อยเท่า ชาติบ้านเมืองในภาวการณ์ของวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจแบบนี้ ผมดูแล้วหาคนที่มีคุณสมบัติอย่างคุณอำนวยที่จะเข้าใจความต้องการของภาคเอกชน เข้าใจระบบราชการไทย และรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและธุรกิจโลกได้ยาก และคนอย่างคุณอำนวยคือคนที่ประเทศต้องการมาก" นายพลเอกของกองทัพบกที่สำคัญมากคนหนึ่งพูดกับ ""ผู้จัดการ""

วันนั้นจะมาถึงเมื่อไร "ผู้จัดการ" ไม่ทราบ ทราบแต่ว่า ถ้าวันนั้นมาถึง ตำแหน่งนั้นก็คงจะต้องใหญ่ รัฐมนตรีคลังอย่างแน่นอนที่สุด! แล้วคอยดูคำทำนายของ "ผู้จัดการ"ต่อไปก็แล้วกัน

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us