Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กันยายน 2529








 
นิตยสารผู้จัดการ กันยายน 2529
เมื่อยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกาสนใจตลาดประกันชีวิตไทย             
 


   
search resources

อินเตอร์ไลฟ์ จอห์นแฮนคอค ประกันชีวิต, บมจ.
Insurance




"บริษัทจอห์น แฮนค๊อก มิวชวล ไลฟ์ อินชัวรันส์" ชื่อนี้อาจยังไม่ค่อยคุ้นหูคนไทยเท่าไรนัก หากแต่ในสหรัฐอเมริกาบริษัทนี้นับได้ว่าดังพอสมควรทีเดียว จากข้อมูลของนิตยสาร "ฟอร์จูน อินเตอร์เนชั่นแนล" ฉบับวันที่ 9 มิถุนายน 1986 "จอห์น แฮนค๊อก" มีสินทรัพย์ รวม 26,256.4 ล้านดอลล่าร์ มีทุนประกัน 158,973.2 ล้านดอลล่าร์ ในปี 1985 มีรายได้จากเบี้ยประกันและรายได้อื่น ๆ ถึง 2,351.1 ล้านดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา มีจำนวนพนักงานทั้งสิ้น 19,037 คน จัดอยู่ในอันดับที่ 6 ของ 50 อันดับบริษัทประกันภัยที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

"จอห์น แฮนค๊อก" ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2405 หรือประมาณ 124 ปีมาแล้ว โดยคณะกรรมการร่างกฎหมายแห่งจักรภพแมสซาชูเซทส์ กำหนดให้มีลักษณะการดำเนินงานแบบ MUTUAL LIFE INSURANCE COMPANY คือเป็นบริษัทรับประกันชีวิตที่ตั้งขึ้นโดยไม่มีการเรียกหุ้น แต่จัดตั้งขึ้นภายใต้ความร่วมมือของผู้เอาประกันไม่รับเงินปันผล บริษัทก็จะหักเงินจำนวนนั้นออกจากเบี้ยประกันให้เหลือน้อยลงตามสัดส่วน

กว่า 100 ปีที่ดำเนินกิจการมา "จอห์น แฮนค๊อก" ได้ขยายสาขาออกไปมากมายโดยมีสำนักงานใหญ่ที่อยู่ที่บอสตัน กิจการที่ขยายออกไปนั้นมีลักษณะเป็น LOCAL BUSSINESS คือมีการเติบใหญ่อยู่แต่ภายใน มิได้ขยับขยายออกมา ภายนอกสหรัฐอเมริกาเลยดังนั้นในปี 2528 "จอห์น แฮนค๊อก" จึงได้เริ่มมองหาทำเลในภูมิภาคอื่นภายนอกสหรัฐอเมริกาเพื่อที่จะขยายออกมาตั้งสาขาเป็นฐานแก่การทำธุรกิจของบริษัทต่อไป

การสำรวจพิจารณาถึงความเหมาะสมของภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก "จอห์น แฮนค๊อก" ก็เห็นว่าทำเลที่เหมาะสมที่จะไปลงทุนที่สุดขณะนี้คือภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศที่มีความเหมาะสมที่สุดคืออินโดนีเซียและประเทศไทย...น่าภูมิใจไหมเล่า

"ทาง "จอห์น แฮนค๊อก" ได้พิจารณาอย่างละเอียดในทุก ๆ จุดแล้วก็มีความเชื่อมั่นว่าในอนาคตอีกประมาณ 20 ปี ธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทยจะมี PROTENTIAL สูงที่สุดในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก" นรฤทธิ์ โชติกเสถียร รองกรรมการผู้จัดการอาคเนย์ประกันภัย ให้เหตุผลว่าทำไม "จอห์น แฮนค๊อก" จึงเลือกที่จะมาลงทุนในประเทศไทย

ซึ่งถ้าดูจากเหตุผลดังกล่าวก็น่าจะเป็นไปได้ เพราะจากตัวเลขล่าสุดในปี 2527 เปอร์เซนต์ของผู้ทำประกันชีวิต ในประเทศไทย ถ้าเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมดแล้ว มีอยู่เพียง 3.6 เปอร์เซนต์เท่านั้น ดังนั้นโอกาสที่จะขยายตลาดออกไปให้กว้างขวางขึ้นอีกในอนาคตจึงมีอยู่ค่อนข้างสูง

เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะมาลงทุนในประเทศไทย ขั้นตอนต่อไปคือการหาบริษัทที่จะเข้าไปร่วมทุนด้วยซึ่ง "จอห์น แฮนค๊อก" มีหลักในการพิจารณาคือ

1. ต้องเป็นบริษัทประกันชีวิตที่ไม่ได้อยู่ในเครือของธนาคารใด

2. ต้องเป็นบริษัทของคนไทยไม่มีต่างชาติหนุนหลัง

3. มีผลการดำเนินงานที่ผ่านมาเป็นที่น่าพอใจ

4. มีลักษณะการทำงานที่น่าจะเข้ากันได้ดีในระยะยาว

ในครั้งแรก "จอห์น แฮนค๊อก" ได้ติดต่อไปที่บริษัทเมืองไทยประกันชีวิตก่อน แต่ถูกปฏิเสธ

"เราไม่คิดว่า เราจะมีความจำเป็นต้องเอาบริษัทต่างชาติเข้ามาอยู่ เพราะไม่มีเทคโนโลยีอะไร เราไม่ใช่โรงงานผลิตสินค้า โพธิพงษ์ ล่ำซำ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการเมืองไทยประกันชีวิต เคยให้สัมภาษณ์นิตยสารฉบับหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้

ตรงข้ามทางด้านอาคเนย์ประกันภัย คู่แข่งในอันดับสูสีกับเมืองไทยประกันชีวิต

จากตัวเลขล่าสุด ในปี 2527 บริษัทอาคเนย์ประกันภัยมีรายได้จากเบี้ยประกันรับจำนวน 254.6 ล้านบาท มีรายได้จากการลงทุนและรายได้อื่น ๆ อีก 76.8 ล้านบาท มีสินทรัพย์รวม 789.8 ล้านบาท จัดอยู่ในอันดับที่ 5 ของบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย รองจากบริษัทเมืองไทยประกันชีวิตอยู่เพียงอันดับเดียว

และในปีเดียวกันนี้เองอาคเนย์ประกันภัยได้ออกแผนการดำเนินงานที่เรียกว่า "แผนพัฒนา 5 ปี" เป็นแผนการปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในด้านต่าง ๆ ให้สูงยิ่งขึ้นเริ่มตั้งแต่การพัฒนาความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี ด้านคอมพิวเตอร์ เพื่อนำมาช่วยระบบการขายและบริการหลังการขายให้คล่องตัวและรวดเร็วยิ่งขึ้น การพัฒนาบุคลากรและการพัฒนาการให้บริการให้มีประสิทธิภาพ โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะขยายส่วนแบ่งตลาดเบี้ยประกันชีวิต จากปัจจุบันที่ครองอยู่ 6-7 เปอร์เซ็นต์ ให้เพิ่มขึ้นถึง 12.5 เปอร์เซ็นต์ ในปี พ.ศ. 2531

โดยเฉพาะการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์เพื่อที่จะ COMPUTERIZE ระบบงานทั้งหมดนั้น ถือได้ว่าเป็นหัวใจของแผนดังกล่าวทีเดียวเพราะในสภาพตลาดที่มีการแข่งขันกันสูงเช่นนี้ อาคเนย์ประกันภัยคิดว่า ตนเองยังเสียเปรียบคู่แข่งในด้านดังกล่าวอยู่พอสมควร

ในเดือนสิงหาคม 2528 เมื่อ "จอห์น แฮนค๊อก" ซึ่งเพิ่งถูกปฏิเสธมาจากเมื่องไทยประกันชีวิตติดต่อทาบทามขอเข้าร่วมทุนด้วย จึงเป็นโอกาสอันดีที่อาคเนย์ประกันภัยไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะหากว่าอาคเนย์ประกันภัยได้เทคโนโลยีที่ "จอห์น แฮนค๊อก" ได้ใช้ระยะเวลาพัฒนามากว่า 100 ปี มาประยุกต์ใช้แล้ว ก็จะเป็นการร่นระยะเวลาทำให้อาคเนย์ประกันภัยเติบโตจนบรรลุเป้าหมายได้เร็วกว่าที่คิดไว้อย่างแน่นอนที่สุด

"สิ่งที่เราคิดว่าจะได้จากเขาก็คือ การพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ การฝึกอบรมพนักงานและการพัฒนาประสิทธิภาพการขายซึ่งความจริงเทคโนโลยีเหล่านี้เราก็สามารถพัฒนาได้เอง แต่มันจะต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะพัฒนาได้เท่าเขา สู้นำเทคโนโลยีที่เขาพัฒนาแล้วมาประยุกต์ใช้จะดีกว่า จะช่วยประหยัดเวลาได้มากซึ่งเรื่องเวลานี้ในทางธุรกิจ เราถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด" นรฤทธิ์ โชติกเสถียร บอกกับ "ผู้จัดการ"

อย่างไรก็ตาม การที่จะให้บริษัทต่างชาติเข้ามาถือหุ้นในอาคเนย์ประกันภัยซึ่งเป็นบริษัทของคนไทยแท้ ๆ และมีอายุการดำเนินงานมาถึง 40 ปีนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะพูดคุยตกลงกันง่าย ๆ เพราะถึงแม้ว่าเป้าหมายของทั้งสองฝ่ายจะเอื้ออำนวยและเป็นผลดีต่อกันก็ตาม เงื่อนไขต่าง ๆ ที่แต่ละฝ่ายเสนอจะต้องให้มีการพิจารณากันอย่างละเอียดรัดกุมที่สุด ดังนั้นในช่วงระยะเวลากว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา จึงเป็นเวลาที่ทุกฝ่ายใช้ไปกับการปรับเงื่อนไขให้เข้ากันได้มากที่สุด

"ทุกสิ่งทุกอย่างคาดว่าภายในสิ้นปีนี้คงจะรู้ผล" นรฤทธิ์ สรุป

ปัจจุบันนี้ประเทศไทยมีบริษัทประกันชีวิตอยู่ทั้งสิ้น 12 บริษัท เป็นสาขาของบริษัทต่างประเทศอยู่เพียง 1 บริษัท คือบริษัทอเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล แอสชัวรันส์ จำกัดหรือ เอไอเอและมีบริษัทที่เคยเป็นสาขาของบริษัทต่างประเทศอยู่อีก 1 บริษัทคือ บริษัทไชน่าอันเดอร์ไรท์เตอร์ไลฟ์แอนด์เยเนรัลอินชัวรันส์ จำกัด แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ถือหุ้นในตอนกลางปี 2527 ทำให้มีคนไทยถือหุ้นเกินร้อยละ 50 ดังนั้นบริษัทนี้จึงกลายเป็นบริษัทของคนไทยนอกจากนี้ที่เหลืออีก 10 บริษัทเป็นบริษัทประกันชีวิตของคนไทยไม่มีบริษัทประกันชีวิตต่างประเทศมีส่วนถือหุ้นอยู่เลย

ส่วนอาคเนย์ฯ นั้น ปัจจุบันอยู่ในอันดับ 4 ของธุรกิจประกันชีวิต ที่เป็นบริษัทของคนไทย คือเป็นรอง ไทยประกันชีวิต, ไทยสมุทรฯ และเมืองไทยประกันชีวิต

อาคเนย์ฯ หมายมั่นปั้นมือมากที่จะขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับที่สูงขึ้น และจังหวะก้าวของความพยายามที่จะผสมผสานกับยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ คราวนี้ก็เพื่อเป้าหมายดังกล่าวด้วย

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us