Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มกราคม 2530








 
นิตยสารผู้จัดการ มกราคม 2530
ธรรมกายศาสดายุคไฮเท็คฯ             
 


   
www resources

โฮมเพจ วัดพระธรรมกาย

   
search resources

วัดพระธรรมกาย




แนววิชาธรรมกายนั้นอุบัติขึ้นที่วัดปากน้ำภาษีเจริญมากว่า 60 ปีแล้ว เริ่มต้นจากผู้สนใจศึกษาธรรมในวงแคบ ขยายตัวอย่างเชื่องช้า แต่มาเฟื่องฟูอย่างก้าวกระโดดในยุคของวัดพระธรรมกายที่คลองสาม ปทุมธานี หลายคนให้ข้อสรุปว่าเบื้องหลังความเฟื่องฟูนี้คือการเสนอสัจธรรมตามแนวทางการจัดการแผนใหม่ อาจจะเรียกว่าเป็นศาสดายุคไฮเท็คฯ ก็คงจะได้

"ธรรมกายหรือพระธรรมกาย คือพระที่อยู่ในกายของเรา ของมนุษย์ทุกคนในโลก เป็นกายตรัสรู้ธรรม เป็นกายที่เปลี่ยนแปลงพระสิทธัตถะราชกุมารให้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะท่านตรัสรู้อริยสัจ 4 สัจธรรมทั้งหลายด้วยธรรมกายของพระองค์ท่าน แล้วในที่สุดท่านก็นำธรรมกายไปเผยแพร่ยังสาวกทั้งหลาย…" หลวงพ่อธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เทศนาถึงแนวทาง "ธรรมกาย" อันลือลั่นของท่าน

ขยายความมากขึ้น การบรรลุธรรมนั้น ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติ มิใช่การศึกษาเรียนรู้จากตำราหรือฟังธรรมสถานเดียว เพราะ "นั่นแค่รู้จำ ไม่ใช่รู้แจ้ง การที่เราจะรู้แจ้งเห็นแจ้ง ต้องอาศัยธรรมกายที่อยู่ภายในตัว เป็นกายที่ละเอียดที่สุด สวยงามที่สุด สมบูรณ์ด้วยสติปัญญา เรารู้จำด้วยกายมนุษย์ รู้แจ้งด้วยธรรมกาย…" หลวงพ่อธัมมชโยเทศนาอีกตอนหนึ่ง พร้อมกำชับว่า

"พระธรรมกายนี้มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกๆ คน เป็นแต่เพียงว่าคนทั่วไปไม่รู้หนทางที่จะเข้าถึง ยกเว้นพระพุทธเจ้า"

และต้องนับเป็นบุญกุศลของมวลมนุษย์โลกที่การค้นพบหนทางเข้าถึงพระธรรมกายไม่สูญหายไปกับกาลเวลานานนับกว่า 25 ศตวรรษ

จากวัดปากน้ำภาษีเจริญมาสู่วัดพระธรรมกาย

จากพระเทพมงคลมุนีหรือหลวงพ่อวัดปากน้ำมาสู่หลวงพ่อธัมมชโย ภิกขุ การค้นพบหนทางเข้าถึงพระธรรมกายนี้แพร่กระจายด้วยวิธีที่สามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็วกว่าทุกๆ วิธี (หลวงพ่อธัมมชโยยืนยัน)

"วิธีการเข้าถึงมีอยู่ทั้งหมดถึง 40 วิธีการ เพียงแต่วิธีที่หลวงพ่อปฏิบัติจะเข้าถึงได้เร็ว เพราะทราบว่าพระธรรมกายอยู่ตรงไหน หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านทราบว่าธรรมกายอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 (กึ่งกลางกายเหนือสะดือขึ้นมา 2 นิ้วมือ) เพราะฉะนั้นเวลาที่ท่านปฏิบัติ ท่านจะเอาใจของท่านไปไว้ที่ตรงนั้นเลย วิธีการอื่นนั้นน่ะเข้ายังไม่ถึง เพราะไม่ทราบว่าธรรมกายอยู่ตรงไหน จะวางใจไว้อย่างไร เวลาปฏิบัติไปเรื่อยๆ แล้วจึงไม่ทราบว่าจะเข้าถึงอย่างไร พอเข้าไปถึงก็เลยไม่รู้จักธรรมกาย หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านผ่านการอบรมฝึกฝนครบทุกวิธีการมาแล้ว และท่านก็มาสรุปว่าหนทางที่จะเข้าถึงมีวิธีเดียวใน 40 วิธีการ มีหนทางเดียวเท่านั้น…คือใจตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7…"

และนั่นเป็นการค้นพบของหลวงพ่อวัดปากน้ำที่เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายได้นำมาเผยแพร่

ว่าตามทัศนะเช่นนี้ "ธรรมกาย" ก็ไม่ใช่สิ่งใหม่

เป็นสิ่งที่ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อกว่า 2530 ปีมาแล้วโดยตถาคต เพียงแต่เกือบต้องสูญหายไปหากหลวงพ่อวัดปากน้ำไม่ได้ค้นพบเข้า และการค้นพบสิ่งที่ตถาคตค้นพบนี้กลายเป็นแนววิชาของวัดปากน้ำภาษีเจริญมาตั้งแต่ราวๆ ปี 2460 ท่ามกลางพุทธศาสนิกชนจำนวนจำกัดที่ให้ความสนใจ

ธรรมกายลือลั่นสนั่นไปทั้งเมืองเมื่อไปกี่ปีมานี้เอง

อาจจะเรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่จริงๆ

เป็นปรากฏการณ์ใหม่ของสิ่งที่เป็นการค้นพบเก่าแก่โดยแท้

วัดพระธรรมกายทุกวันนี้ตั้งตระหง่านอยู่บนผืนที่ดินกว่า 2,000 ไร่บริเวณคลองสาม จังหวัดปทุมธานี สิ่งปลูกสร้างตลอดจนการพัฒนาพื้นที่ให้มีสภาพร่มรื่นเหมาะแก่การเป็น "ธุดงคสถาน" นั้นใช้เงินหว่านลงไปแล้วกว่า 200 ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายประจำวันไม่น้อยกว่าเดือนละ 10 ล้าน และเฉพาะคนงานที่ต้องมีหน้าที่ดูแลบำรุงรักษาทุกตารางนิ้วของวัดต้องใช้อย่างน้อยวันละ 70 คน

รายได้นั้นมาจากทางเดียวคือการบริจาคของผู้มีจิตศรัทธา

"เดือนหนึ่งประมาณ 15 ล้านบาท ก็ถ้าไม่ได้ เราก็อยู่ไม่ได้…" ธรรมทายาทรายหนึ่งกล่าว

"การสนับสนุนของผู้มีจิตศรัทธาต่อวัดธรรมกาย เป็นไปอย่างไม่น่าเชื่อ บางรายบริจาคนับล้านบาท อย่างเช่นคุณประวาท บุนนาค ที่หนังสือกัลยาณมิตรของมูลนิธิธรรมกายฉบับเดือนกุมภาพันธ์ยกย่องให้เป็น มหาอุบาสิกาตัวอย่างของโลก ได้ถวายเงินแก่หลวงพ่อเพื่อกิจการพระศาสนา ตั้งแต่ปี 2525 เป็นต้นมา ปีละ 1 ล้านบาท ไม่รวมครั้งย่อยๆ อีกครั้งละเป็นแสนสองแสน นอกจากนั้นยังมีรายการพิเศษเมื่อปี 2526 ที่ท่านผู้นี้บริจาคอีก 10 ล้านบาทต่างหาก…" ผู้มีจิตศรัทธาต่อวัดธรรมกายหลายรายกล่าวตรงกัน

และอีกมาก ฯลฯ

แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าสิ่งที่เจิดจรัสในทุกวันนี้จะมาจากประกายไฟเล็กๆ เมื่อย้อนกลับไปกว่า 10 ปีที่แล้ว

ธัมมชโย ภิกขุ ทัตตชีโวภิกขุ อุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง และผู้เลื่อมใสแนวทางธรรมกายอีกเพียงไม่กี่รายคือประกายไฟเล็กๆ ที่กล่าวนั้น

ธัมมชโยภิกขุ เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เมื่อเป็นฆราวาสมีนามว่า ไชยบูลย์ สุทธิผล เกิดที่ตำบลบ้านแป้ง อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี แล้วไปโตที่เพชรบุรี เข้ามาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่อายุได้ 7 ขวบ โดยเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนตะละภัฏศึกษาและโรงเรียนสตรีวรนารถ กลับเพชรบุรีไปเรียนชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนอรุณประดิษฐ์ ย้ายมาต่อที่โรงเรียนสารสิทธิ์พิทยาลัยที่บ้านโป่งราชบุรี จนจบมอศอ 3 จากนั้นเข้าต่อระดับเตรียมอุดมที่โรงเรียนสวนกุหลาบฯ

ไชยบูลย์ สุทธิผล เรียนระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เริ่มจากคณะเกษตรฯ แล้วย้ายมาที่คณะเศรษฐศาสตร์ จนสำเร็จเป็นเศรษฐศาสตร์บัณฑิต

ไชยบูลย์เริ่มสนใจทางธรรมมาตั้งแต่เล็กแล้ว

"จำได้ว่าตอนนั้นอายุ 13 ขวบ ได้จดบันทึกไว้ว่า ถ้าเรามาทางโลก ก็อยากจะไปให้สูงที่สุดในทางโลก ถ้าหากว่าอยู่ในทางธรรมก็อยากจะไปให้สูงที่สุดในทางธรรม และก็จะนำพุทธศาสนาไปเผยแพร่ทั่วโลก ช่วงนั้นมีความคิดอยู่อย่างหนึ่งว่า เราเกิดมาทำไม และเราจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร แสวงหาคำตอบอยู่ตลอดเวลา ในระหว่างนั้นก็ค้นคว้าศึกษาตำรับตำรา ถามท่านผู้รู้ แต่ก็ยังไม่พบใครหรือคำตอบที่ถูกใจ จนกระทั่งมาพบคุณยาย…" ธัมมชโยภิกขุช่วยย้อนอดีต

"คุณยาย" นั้นหมายถึงอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง

อุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง เป็นศิษย์คนสำคัญในวิชาธรรมกายของพระเทพมงคลมุนีหรือหลวงพ่อวัดปากน้ำ พื้นเพเดิมเป็นคนนครไชยศรี เริ่มศึกษาวิชาธรรมกายกับหลวงพ่อวัดปากน้ำตั้งแต่ปี 2486 โดยมาอาศัยอยู่ในวัดและสละฆราวาสวิสัยถือบวชเป็นอุบาสิกาเมื่ออายุ 29 กล่าวกันว่าก่อนหลวงพ่อวัดปากน้ำจะมรณะภาพ (เมื่อปี 2502) นั้น หลวงพ่อเคยเปล่งวาจายกย่องอุบาสิกาจันทร์ว่า "ลูกจันทร์นี้หนึ่งไม่มีสอง" และอุบาสิกาผู้นี้เองที่ช่วยให้คำตอบกับไชยบูลย์ สุทธิผล "ท่านบอกว่าเราเกิดมาสร้างบารมี…เกิดมาแสวงหาหนทางนิพพาน พระนิพพานคือเป้าหมายของชีวิต"

เป็นคำตอบที่สามารถชักจูงใจจนไชยบูลย์ สุทธิผล ต้องศึกษาแนวทางธรรมกายอย่างต่อเนื่องนับแต่นั้น

ภายหลังสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ไชยบูลย์ก็ตัดสินใจบวชเป็นบรรพชิต "ตรงกับวันที่ 27 สิงหาคม 2512 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 9 มีท่านเจ้าคุณธรรมธีระราชย์มหามณี เจ้าอาวาสวัดปากน้ำเป็นพระอุปัชฌาย์" ไชยบูลย์ที่กลายเป็นธัมมชโยภิกขุไปแล้วกล่าว

ส่วนทัตตชีโวภิกขุที่ขณะนี้เป็นรองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เดิมชื่อ เผด็จ ผ่องสวัสดิ์ เป็นอดีตนักศึกษาเกษตรรุ่นพี่ของธัมมชโยภิกขุที่สนใจแนวทางธรรมกายเหมือนๆ กัน

ธัมมชโยภิกขุ ทัตตชีโวภิกขุ อุบาสิกาจันทร์ และผู้เลื่อมใสแนวทางธรรมกายนี้ ที่จริงต่างคิดถึงการแยกตัวเองออกมาจากวัดปากน้ำนานแล้ว "เรื่องมันเป็นอย่างนี้นะ ตอนสมัยนั้น พอหลวงพ่อพบกับคุณยายครั้งแรกแล้วปฏิบัติธรรมมาเรื่อยๆ เป้าหมายชีวิตก็คิดว่าจะบวชตลอดชีวิตภายหลังจบการศึกษา คุณยายท่านก็คิดอยู่ในใจว่า…งั้นก็ต้องมีสถานที่สักแห่งหนึ่ง ไม่ใช่ที่วัดปากน้ำ ควรเป็นสถานที่ไปมาสะดวกแล้วก้อวิเวก ไม่ห่างไกลเมืองมากนัก สามารถอยู่ปฏิบัติธรรม ก็คิดจะแสวงหาที่ตั้งแต่นั้นเรื่อยมา" ธัมมชโยภิกขุกล่าวกับผู้สื่อข่าวโดยบอกด้วยว่าเริ่มคิดถึงสถานที่บำเพ็ญภาวนาแห่งใหม่ตั้งแต่อายุ 18

และวันที่ 2 ตุลาคม 2512 ภายหลังการลาเพศฆราวาสของธัมมชโยภิกขุเพียงไม่กี่เดือน ดูเหมือนจะเป็นวันที่แจ่มใสเป็นพิเศษ

วันนั้นเป็นวันที่คุณหญิงประหยัด แพทย์พงศาวิสุทธาธิบดี บริจาคที่ดินจำนวน 196 ไร่ให้เพื่อสร้างวัดที่ปัจจุบันนี้คือส่วนหนึ่งของวัดพระธรรมกาย "พอดีเป็นวันเกิดของท่านเจ้าของที่ ผู้ที่ไปขอก็มีอาจารย์ถวิล วัติรางกูล คุณเผด็จ ผ่องสวัสดิ์หรือทัตตชีโว ภิกขุ และคุณอดิศักดิ์หรือวิริยสักโกภิกขุ…" ผู้ที่ทราบความเป็นมาเล่าให้ฟัง

ที่ดินที่ได้รับบริจาคนี้ค่อยๆ ถูกพัฒนาขึ้นตามลำดับ ในปี 2518 ก็เริ่มต้นใช้เป็นสถานที่บำเพ็ญภาวนาโดยเป็นสำนักสงฆ์ก่อน จากนั้นจึงยกฐานะเป็นวัด ใช้ชื่อครั้งแรกว่า วัดวรณีธรรมกายาราม ตามชื่อบุตรสาวเจ้าของที่ดิน และอีก 3 ปีให้หลังเปลี่ยนชื่อเป็นวัดพระธรรมกายด้วยเหตุผล "เพื่อความเหมาะสม"

จากปี 2518 กระทั่งปี 2525 นั้น ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเชื่องช้าค่อยเป็นค่อยไปสำหรับวัดแห่งนี้ เช่นเดียวกับที่แนวทางธรรมกายยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายนัก คงศึกษาปฏิบัติกันในหมู่ผู้สนใจธรรมะจริงๆ

ปี 2525 นั้นเป็นปีเดียวกับที่โบสถ์หรือพระอุโบสถรูปทรงแปลกตาสร้างเสร็จสมบูรณ์ ภายหลังสมเด็จพระเทพรัตน์ฯ เสด็จแทนพระองค์เพื่อทรงวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2520 และประกอบพิธีผูกพัทธสีมาเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2523 ไปแล้ว

นับแต่ปี 2525 มานี้เองที่วัดพระธรรมกายและแนวทางธรรมกายเฟื่องฟูเข้าไปเกือบทุกอนูของกลุ่มของคนชนิดก้าวกระโดด

มีหลายคนที่เปรียบเทียบอย่างดุดันถึงการขยายตัวก้าวกระโดดของธรรมกายว่าเป็นการเสนอสินค้า (หมายถึงธรรมของพุทธองค์) ต่อมหาชนแบบพลิกกลยุทธ์ที่ลดความดุดันลงบ้างก็ระบุว่าแนวทางธรรมกายนั้นที่แพร่หลายกว้างขวางก็เพราะเผยแพร่ด้วยวิธีใหม่ไม่ยึดติดรูปแบบเก่าๆ

และข้อวิจารณ์อีกหลายแง่มุมที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการเติบโตของจำนวนผู้เลื่อมใสแนวทางธรรมกายจากเพียงจำนวนพันกลายเป็นจำนวนหมื่นและเป็นจำนวนแสน ขณะที่เป้าหมายเฉพาะหน้าที่หลวงพ่อธัมมชโยตั้งไว้ในเร็ววันนี้คือ 1 ล้านคนไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป

"เราไม่ได้บิดเบือนสัจธรรมของพุทธองค์ และถ้าแนวทางการเผยแพร่ของเราแตกต่างไปจากที่เผยแพร่กันในอดีต นั่นก็คงไม่ใช่สิ่งผิด พระธรรมสามารถเผยแพร่ออกไปได้อย่างกว้างขวาง ทำให้คนมีใจที่สงบ ใฝ่สันติ ไม่ใช่สิ่งที่ผิดแน่นอน…" ธรรมทายาทผู้หนึ่งชี้แจงกับ "ผู้จัดการ"

สำหรับผู้เลื่อมใสแล้วบางทีสิ่งที่ได้ทำไปแล้วนี้ต้องนับเป็นความกล้าหาญชาญชัยด้วยซ้ำ

ธรรมกายนั้นขยายตัวทุกขั้นตอนอย่างมีเป้าหมายที่เด่นชัด

"จำนวนสูงสุดของผู้มาปฏิบัติธรรมนั้นถึงแสนคนไปแล้ว ค่อยๆ เพิ่มจากทีละ 5 เท่าเป็น 10 เท่า และจากแสนคนเป็น 1 ล้านคนนี้คือเป้าหมายต่อไป ก็เพิ่มอีก 10 เท่า…" ธัมมชโยภิกขุบอกกับผู้สื่อข่าว

มีคำถามอยู่ว่าทำไมต้องมีจำนวนเป็น 1 ล้านคนเฉพาะหน้านี้?

"หลวงพ่อคิดว่าพุทธศาสนาเป็นของดีแต่ว่าคนไม่ค่อยได้สนใจ ก็ต้องเกิดจากการรวมพลังหมู่ให้เกิดขึ้น ด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรม อย่างน้อยหนึ่งล้านคน ภาพคนหนึ่งล้านคนที่มาปักกลด อยู่ธุดงค์ ประพฤติปฏิบัติธรรมร่วมกัน แต่งสีขาวเหมือนกัน มันให้ความประทับใจ และก็มีพลังต่อคนทั้งชาติ 50 ล้านคน พอเห็นแล้วเกิดความตื่นตัว ถ้าน้อยกว่าล้านคนจะไม่มีผล เหมือนอย่างเราเห็นภาพการชุมนุมของมุสลิมที่เมกกะ คนตั้งเป็นล้านคน เห็นแล้วเรายังเกิดความประทับใจเลย ถึงแม้เป็นศาสนิกอื่นก็ตาม แล้วมุสลิมที่มาชุมนุมกันนั้นก็สร้างพลังให้เกิดขึ้นแก่มุสลิมทั่วโลก…มันก็ตื่นตัว"

และเบื้องหลังของเป้าหมายแต่ละขั้นตอนนี้ก็คือการทำงานกันอย่างมีแผนงาน

โดยเฉพาะผู้ที่จะต้องทำหน้าที่เผยแพร่แนวทางธรรมกายเป็นสิ่งแรกสุดที่วัดพระธรรมกายตระหนักมากๆ

"ถ้าเรายอมรับกันว่ากลุ่มปัญญาชนวัยหนุ่มสาวนั้นคือกลุ่มที่มีพลังเร่าร้อนชอบแสวงหาและพร้อมที่จะเสียสละทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างสุดชีวิตแล้ว การตัดสินใจของธรรมกายย้อนหลังกลับไปเมื่อหลายปีที่แล้วนั้น ต้องนับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องและส่งผลถึงปัจจุบันอย่างยิ่ง" ผู้ที่ติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มธรรมกายมาตั้งแต่ต้นเล่าให้ฟัง

ก่อนหน้าปี 2525 ธรรมกายพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะเข้าไปมีบทบาทในชมรมพุทธฯ ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ และโครงการธรรมทายาทที่มีนิสิตนักศึกษาปลงผมถือบวชก็ตามมาไม่นานช้าหลังจากนั้น

ธรรมทายาทเหล่านี้เองที่เป็นพื้นฐานสำคัญในการเติบโตขั้นต่อๆ มา

"หากเป็นบริษัท พวกเขาก็คือสต๊าฟฝ่ายขายที่ทำงานเข้มแข็งมาก" บางคนเปรียบเทียบ

สำหรับกลุ่มปัญญาชนในรั้วมหาวิทยาลัยที่ศรัทธาแนวทางธรรมกายแล้ว ศูนย์กลางของพวกเขาก็คือ "บ้านหนูแก้ว" สำนักงานสาขาส่วนหนึ่งของธรรมกายที่ตั้งอยู่แถวๆ สีลม

"บ้านหนูแก้ว" ก่อตั้งขึ้นโดยศิษย์ธรรมกายคนสำคัญที่ชื่อ เสาวลักษณ์ เปี่ยมปิติ อาจารย์ประจำของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

กล่าวกันว่าอาจารย์เสาวลักษณ์ผู้นี้เป็นเรี่ยวแรงสำคัญที่นำแนวทางธรรมกายเข้ายึดกุมนักกิจกรรมชมรมพุทธฯ ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ และเป็นที่ทราบทั่วกันว่าโครงการธรรมทายาทนั้นเป็นโครงการที่ริเริ่มขึ้นจาก "บ้านหนูแก้ว"

"บ้านหนูแก้ว" ในปัจจุบันนี้ยังคงทำหน้าที่เป็นแกนกลางประสานงานกลุ่มปัญญาชนอยู่อย่างเอาการเอางาน

แม้ว่าพัฒนาการอีกขั้นของธรรมกายจะได้มีการก่อตั้งกลุ่มกัลยาณมิตรให้เป็นแหล่งรวมของผู้ใฝ่ใจศึกษาและเผยแพร่ธรรมกายในวงกว้างแล้วก็ตาม

"ปัจจุบันบทบาทส่วนใหญ่ก็จะอยู่ที่กัลยาณมิตร บ้านหนูแก้วก็ยังมีอยู่เรียกว่าต่างฝ่ายต่างแข่งกันทำความดี และแบ่งกัน คือบ้านหนูแก้วดูทางด้านนิสิตนักศึกษา ส่วนกัลยาณมิตรดูทุกกลุ่มชนทั่วประเทศ" กัลยาณมิตรหรือผู้ที่จะต้องทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงผู้ต้องการปฏิบัติธรรมตามแนวทางธรรมกายรายหนึ่งบอก

ก็มีเสียงกล่าวถึงเหมือนกันว่า ธรรมกายนั้นเติบโตถึงขั้นที่หากจะต้องโตต่อไปแล้วก็จะต้องมี "สต๊าฟ" ที่มีลักษณะประจำมิใช่ทำหน้าที่เสมือนอาสาสมัครอีกต่อไป

สำนักงานกัลยาณมิตรตั้งอยู่ที่อาคารสมาคมนิสิตเก่าเกษตรฯ ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นแกนนำนั้นมาจากหลายสาขาอาชีพ และประสบการณ์ของหลายคนถูกนำมาใช้อย่างได้ประโยชน์และสอดคล้องกับกลุ่มคนชั้นกลางในสังคมอย่างเห็นได้ชัด

วัดธรรมกายนั้นไม่มีกิจกรรมในวันพระมานานแล้ว ที่นี่มีกิจกรรมในวันอาทิตย์ด้วยเหตุผลที่เป็นวันหยุด ผู้ปฏิบัติธรรมสามารถขึ้นรถที่วัดจัดไว้หลายจุดมาที่วัดได้โดยไม่ติดขัด

มีการรณรงค์ในช่วงวันสำคัญทางศาสนาอย่างต่อเนื่องเพียบพร้อมด้วยโปสเตอร์เอกสารชี้แจงชวนเชิญที่ประณีต

มีสื่อกลางเป็นหนังสือรายเดือนชื่อ "กัลยาณมิตร" บอกเล่าถึงความเคลื่อนไหวของมวลสมาชิกพร้อมกับเผยแพร่แนวทางธรรมกายไปด้วย

และนี่อาจจะเป็นโฉมหน้าใหม่ของการเผยแพร่พุทธศาสนาภายหลังรูปแบบเก่ายึดติดกันมานานนักหนาแล้ว

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us