Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTV ผู้จัดการรายสัปดาห์1 มีนาคม 2553
หุ้น'ตระกูลชิน'ดาหน้าถ่ายเงินออก โบรกชี้เทมาเส็กเร่งโกยลดเสี่ยงคดียึดทรัพย์             
 


   
search resources

Stock Exchange




หุ้นการเมืองคึกเก็งผลคำตัดสินคดียึดทรัพย์ SOLAR ของเตชะณรงค์ ที่สนิทสนมบิ๊กจิ๋ว พุ่งทะยาน ขณะที่หุ้นที่เกี่ยวกับคดีโดยตรงอย่าง SHIN ใช้โอกาสที่ ADVANC จ่ายปันผลพิเศษถ่ายเงินออกไปหมื่นล้านบาท พร้อมกับ SC ของพจมานจ่ายเงินออก 289 ล้านบาท นักวิเคราะห์ตีความเป็นการลดความเสี่ยงจากการลงทุนที่เทมาเส็กต้องเร่งทำ หากทุกอย่างพลิกผัน ส่วนเอสซีจ่ายตามปกติ พร้อมเตือนราคาหุ้นหลังคำตัดสินมีสิทธิปรับลงได้มากหากเกิดความวุ่นวายทาง การเมือง

ในช่วงก่อนฟังคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ของทักษิณ ชินวัตร เมื่อ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พบว่ามีความเคลื่อนไหวของหุ้นบางกลุ่มที่มีความเชื่อมโยงกับสถานการณ์ทางการ เมืองเริ่มมีให้เห็นมากขึ้น เริ่มตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่จะมีศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการ เมืองจะมีคำตัดสินในวันทำการสุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์

ความร้อนแรงของหุ้นบริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) หรือ SOLAR กลายเป็นหุ้นที่โดดเด่นขึ้นมา จนแทรกขึ้นมาติดอันดับ 1 ใน 10 ของหุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุด จากราคาปิดเมื่อ 19 กุมภาพันธ์ที่ 1.77 บาทต่อหุ้น มาปิดที่ 2.32 บาท เพิ่มขึ้น 29.61% มูลค่าการซื้อขาย 197.45 ล้านบาท และราคาหุ้นยังเดินหน้าต่อเพิ่มขึ้นไปที่ 2.96 บาทก่อนที่จะอ่อนตัวมาปิดที่ 2.86 บาท เพิ่มขึ้น 23.28% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 427.47ล้านบาทเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ พร้อมเดินหน้าต่อไปถึง 3.24 บาทในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

ที่ผ่านมาหุ้น SOLAR มูลค่าการซื้อขายจะไม่มากนัก แต่หุ้นตัวนี้จะเคลื่อนไหวเป็นรอบ โดยมีการทำราคากันตั้งแต่ช่วงปลายปี 2552 ที่ขยับจาก 1.13 บาทขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง มีการขายทำกำไรกันเป็นช่วง ๆ โดยที่ไม่มีปัจจัยพื้นฐานใหม่เข้ามารองรับ แต่ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ทางบริษัทชี้แจงว่าบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ได้แจ้งให้ Suntech Solartron Consortium เป็นผู้ชนะโครงการโดยคาดว่าจะมีหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการต้นเดือนมีนาคม 2553

ทั้งนี้ Suntech Solartron Consortium ประกอบด้วยบริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ Wuxi Suntech Power Co., Ltd. จากประเทศจีนร่วมประมูลงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 30 เมกกะวัตต์ ของบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ที่ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา มูลค่างานรวมประมาณ 3,200 ล้านบาท โดย Wuxi Suntech ได้รับรายได้ 65% ของมูลค่าโครงการ และโซลาร์ตรอน ได้รับ 35% ของมูลค่าโครงการ โดยโครงการนี้มีกำหนดระยะก่อสร้างทั้งสิ้น 15 เดือน นับแต่วันเซ็นสัญญาในเดือนมีนาคม 2553

SOLAR ใกล้ชิดบิ๊กจิ๋ว

เมื่อดูโครงสร้างผู้ถือหุ้นพบว่า เป็นของตระกูลเตชะณรงค์ ที่มีไพวงษ์ เตชะณรงค์ เจ้าของโบนันซ่า เขาใหญ่ ที่สนิทสนมกับพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นในช่วงต้นสัปดาห์ก่อนที่จะตัดสินคดียึด ทรัพย์ทักษิณจะมีเรื่องของการได้งานใหม่เข้ามา สอดรับส่วนแบ่งรายได้จากงานดังกล่าว 1.12 พันล้านบาทที่จะได้ในอีก 15 เดือนข้างหน้า

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์กล่าวว่า หุ้นตัวนี้ร้อนแรงตั้งแต่ปลายปีและข้ามมาถึงปี 2553 จนตลาดหลักทรัพย์ต้องกำหนดให้สมาชิกต้องให้ลูกค้าซื้อหลักทรัพย์โดยวางเงิน สดไว้ล่วงหน้าเต็มจำนวนก่อนการซื้อ (Cash Balance) ตั้งแต่ 11 ถึง 29 มกราคมที่ผ่านมาการซื้อขายจึงซบเซา และเริ่มมีนักลงทุนกลับเข้ามาซื้อขายเพิ่มขึ้นเมื่อครบกำหนดและร้อนแรง ตั้งแต่ 22 กุมภาพันธ์เป็นต้นมา

"การเข้ามาเก็งกำไรในหุ้นตัวนี้แม้ว่าจะมีเรื่องของการได้งานสร้างโรงไฟฟ้า มารองรับ แต่อีกสิ่งหนึ่งคือการเก็งกำไรกันว่าผลการตัดสินอาจจะออกมาในลักษณะที่เป็น บวกต่อทางพรรคเพื่อไทย ทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องของทักษิณ ชินวัตร โดยตรงไม่เกี่ยวกับพลเอกชวลิตหรือทางกลุ่มเตชะณรงค์ เมื่อข่าวสนับสนุนได้เปิดเผยออกมาแล้วราคาหุ้นออกมาแล้วคงเดินต่อไปได้ไม่ ไกล หรืออาจจะเดินหน้าถึงวันฟังคำตัดสิน หลังจากนั้นเชื่อว่าคงหมดรอบของหุ้นตัวนี้ ส่วนใครจะได้อะไรไปเท่าไหร่คนที่ทำเท่านั้นที่จะทราบ"

SHIN ถ่ายหมื่นล้าน

ขณะเดียวกันในฝ่ายของหุ้นที่เกี่ยวพันกับคดีความดังกล่าวโดยตรง กลุ่มชินคอร์ปที่เทมาเส็กจากสิงคโปร์เข้ามาถือหุ้นใหญ่ ได้มีการเคลื่อนไหวในเรื่องของการจ่ายเงินปันผลพิเศษออกมาเป็นจำนวนมาก เริ่มต้นที่บริษัทที่ทำเงินให้กับกลุ่มชินคอร์ปอย่างมากคือบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ที่คณะกรรมการบริษัทได้มีมติจ่ายเงินปันผลพิเศษเพิ่มเติมจากปันผลปกติอีก 5 บาท ทำให้การจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 2552 เป็น 8.30 บาทต่อหุ้น เป็นเงินราว 2.46 หมื่นล้านบาท

ในจำนวนนี้บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ SHIN ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่รับเงินไป 1.05 หมื่นล้านบาท และ Singtel ที่เป็นบริษัทในเครือของเทมาเส็กรับไป 4.71 พันล้านบาท เบ็ดเสร็จกลุ่มเทมาเส็กรับเงินปันผลจาก ADVANC จำนวน 1.52 หมื่นล้านบาท โดยจะจ่ายเงินในวันที่ 30 เมษายน 2553

จากนั้น 22 กุมภาพันธ์ทาง SHIN จึงประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับงวด 1 มกราคม-8 เมษายน 2553 อีก 1.25 บาทต่อหุ้นและจ่ายปันผลพิเศษอีก 2 บาทต่อหุ้น รวมแล้ว 3.25 บาทต่อหุ้นเป็นเงินทั้งสิ้น 1.04 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทกำหนดปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือหุ้นใน การรับเงินปันผลในวันที่ 21 เมษายน 2553 และกำหนดวันจ่ายเงินปันผลในวันที่ 4 พฤษภาคม 2553 ทั้งนี้บริษัทจะนำเสนอให้ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2553 พิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลต่อไป

ก่อนหน้านี้ทาง SHIN ได้ประกาศจ่ายเงินปันผล 2.4 บาทต่อหุ้นสำหรับผลการดำเนินงานปี 2552 เป็นเงิน 7.68 พันล้านบาท ดังนั้นเงินปันผลที่ประกาศจ่ายสำหรับช่วง 3 เดือนแรกของปี 2553 นั้นเป็นการจ่ายจากส่วนที่ได้รับมาจาก ADVANC และมีความเป็นไปได้ที่ SHIN จะมีการจ่ายเงินปันผลออกมาอีกหากเรื่องของใบอนุญาต 3G ยังคงยืดออกไป

ส่วนบริษัทลูกอีกรายอย่างไทยคมนั้นไม่มีการจ่ายเงินปันผลเนื่องบริษัทยังคง ขาดทุนอยู่ โดยผลการดำเนินงานปี 2552 มีผลขาดทุน 471.23 ล้านบาทถือว่าเป็นยอดขาดทุนที่ลดลงจากเดิมราว 34%

SC จ่าย 289 ล้าน

ไม่เพียงแค่ฟากของชินคอร์ปเท่านั้น กิจการของครอบครัวชินวัตรที่ยังเหลือหุ้นถือครองอยู่อย่างเปิดเผยในบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) หรือ SC ในนามของพจมาน ชินวัตร ก็มีการประกาศจ่ายเงินปันผลเช่นกัน โดยเมื่อ 23 กุมภาพันธ์คณะกรรมการเห็นชอบให้จ่ายเงินปันผลประจำปี 2552 ในอัตราหุ้นละ 0.90 บาท ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 288.9 ล้านบาท โดยบริษัทกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 28 เมษายน 2553 โดยปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 29 เมษายน 2553 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 18 พฤษภาคมนี้

ที่ผ่านมาทาง SC ก็มีการจ่ายเงินปันผลตามปกติและจ่ายในสัดส่วนที่น้อยกว่ากำไรที่ทำได้ ดังนั้นการจ่ายเงินในครั้งนี้จึงไม่มีข้อสังเกตที่ผิดปกติใด ๆ

ปันผลมีนัยยะ

การจ่ายเงินปันผลถือเป็นเรื่องปกติสำหรับบริษัทจดทะเบียนที่มีผลประกอบการดี ย่อมนำเอากำไรที่ได้มาจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเพื่อเป็นผลตอบแทนจากการลงทุน เงินปันผลที่ประกาศจ่าย ส่งผลให้ราคาหุ้นขยับขึ้นจากเดิมเช่น ADVANC ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพคล่องของหุ้นตัวนั้น อย่าง SHIN และ SC นั้นมีสภาพคล่องน้อยเนื่องจากผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ไม่ปล่อยออกมาทำให้ราคาหุ้น ไม่ปรับเพิ่มขึ้นมากนัก

อย่างไรก็ตามการจ่ายเงินปันผลนั้นนอกเหนือไปจากเรื่องของการจ่ายผลตอบแทนให้ กับผู้ถือหุ้นแล้ว ยังตีความได้อีกหลายอย่าง บางบริษัทที่ผลการดำเนินงานอาจจะไม่ขาดทุนแต่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นไม่จ่าย เงินปันผลก็มี อย่างนี้อาจหมายถึงบริษัทต้องใช้เงินจำนวนหนึ่งเพื่อใช้ในการขยายกิจการ เพื่อลดภาระต้นทุนทางการเงินจากการกู้ยืม โดยใช้กำไรของบริษัทที่มีนำมาลงทุนตามแผนที่เตรียมการไว้

อีกกรณีหนึ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลออกมามากกว่ากำไรที่บริษัทสามารถทำได้ ตรงนี้ต้องขึ้นอยู่กับเจตนาของแต่ละบริษัทว่ามีเหตุผลและความจำเป็นอย่างไร กรณีของชินคอร์ปค่อนข้างชัดเจนว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่เน้นการจ่ายเงินปันผลมากเป็นพิเศษเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิด ขึ้นจากการเข้าซื้อชินคอร์ปของเทมาเส็ก สิงคโปร์ เมื่อเดือนมกราคม 2549 เพราะหลังจากนั้นตระกูลชินวัตรในฐานะผู้ขายหุ้นออกมาได้เจอปัญหาทางการเมือง จนอดีตนายกต้องใช้ชีวิตอยู่นอกประเทศ

เงิน 7.3 หมื่นล้านบาทที่ใช้ซื้อหุ้นในเบื้องต้น พร้อมด้วยเงินอีกจำนวนหนึ่งรวมแล้วราว 1 แสนล้านบาท เพื่อทำรายการรับคำเสนอซื้อจากการเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เทมาเส็กต้องหาทางดึงเอาเงินลงทุนคืนด้วยการจ่าย เงินปันผลออกมาให้มากที่สุด เห็นได้จากช่วงก่อนมีคำตัดสินคดียึดทรัพย์ ADVANC ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SHIN มีการจ่ายเงินปันผลพิเศษออกมาอีก 5 บาทต่อหุ้น ย่อมส่งผลให้ SHIN ที่เป็นบริษัทแม่จ่ายปันผลระหว่างกาลและปันผลพิเศษออกมาอีก 3.25 บาท

ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่คดียึดทรัพย์ของทักษิณ ชินวัตร อาจเพลี่ยงพล้ำได้ทางสิงคโปร์จึงต้องเร่งถ่ายเงินออกจากประเทศไทยให้มากที่ สุดเท่าที่จะทำได้ หากพิจารณาจากเงินปันผลที่ SHIN จ่ายออกไปหลังจากการเข้ามาซื้อหุ้นรวมแล้ว 3.84 หมื่นล้านบาท Singtel ที่ถือหุ้นโดยตรงใน ADVANC รับไป 1.9 หมื่นล้านบาท รวมแล้ว 5.74 หมื่นล้านบาท โดย SHIN ยังเหลือเงินที่รับปันผลมาจาก ADVANC อีก 3.9 พันล้านบาท

เกือบ 4 ปีที่เทมาเส็กเข้ามาถือหุ้นใน SHIN ได้ลดความเสี่ยงจากเงินที่ลงทุนไปแล้วมากกว่า 50% ไม่นับรวมรายได้อื่น ๆ ที่อาจมีการดำเนินการในรูปแบบอื่น หากยังคงถือหุ้นต่อไปโดยที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการเข้าซื้อหุ้น ในครั้งนั้น เชื่อว่าอีกไม่นานทางเทมาเส็กคงจะคุ้มค่าต่อการลงทุน เนื่องจากทั้ง ADVANC และ SHIN ยังมีกำไรสะสมที่พร้อมจะจ่ายออกไปในรูปเงินปันผลได้อีกมาก

ตามปกติหลังจากเทมาเส็กเข้ามาถือหุ้นใน SHIN จะจ่ายเงินปันผลออกไปปีละ 2.4 บาทหรือ 7.68 พันล้านบาทต่อปี แต่ช่วงนี้กลับเพิ่มปันผลพิเศษอีกซึ่งไม่ใช่เรื่องของผลประกอบการในปี 2553 โดยจ่ายออกไปถึง 1.04 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับ ADVANC ปกติจะจ่ายปันผลปีละ 6.3 บาทต่อหุ้นหรือ 1.87 หมื่นล้านบาท แต่มีการจ่ายพิเศษอีก 5 บาทต่อหุ้น เฉพาะส่วนนี้ SHIN ได้รับไป 1.05 หมื่นล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับการจ่ายเงินออกของ SHIN ที่ 1.04 หมื่นล้านบาท เท่ากับเป็นการจ่ายออกไปเกือบทั้งหมดที่ได้รับมาเหลือไว้เพียง 85-86 ล้านบาทเท่านั้น

สิ่งที่ ADVANC ให้เหตุผลของการจ่ายเงินปันผลพิเศษออกมาคือ ทางบริษัทมีสภาพคล่องส่วนเกินและคาดการณ์ว่ายังไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ใน อนาคตอันใกล้ ตรงนี้ทำให้ตีความกันว่าในช่วงจากนี้ไปทาง ADVANC หรือที่รู้จักกันในฐานะผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ AIS อาจไม่มีการลงทุนใหม่ ๆ ซึ่งอาจรวมไปถึงเรื่องของใบอนุญาตประกอบกิจการผู้ให้บริการระบบ 3G อีกด้วย ซึ่งอาจเป็นไปได้ทั้งการพิจารณาในเรื่องนี้อาจใช้เวลาอีกนานหรือทาง AIS อาจตกขบวนจากเรื่องนี้

หุ้นการเมืองหลังคำตัดสิน

เขากล่าวต่อไปว่า ช่วงก่อนมีคำตัดสินถือว่าเป็นช่วงที่ข้อมูลข่าวสารมีมาอย่างหลากหลายทั้ง เป็นบวกและลบกับคุณทักษิณ ทุกอย่างเป็นเรื่องของการคาดการณ์ ดังนั้นช่วงนี้จึงมีการเข้ามาเก็งกำไรในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเมืองซึ่ง เป็นเรื่องของจิตวิทยาการลงทุน แต่หลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาออกมาแล้ว มีโอกาสที่หุ้นเหล่านี้มีสิทธิที่จะปรับตัวลง ทั้งนี้ต้องขึ้นกับเรื่องการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยว่าจะเริ่มในวัน ไหน รวมถึงโอกาสของการเกิดเหตุการณ์รุนแรงว่าจะออกมาเป็นอย่างไร

เหตุการณ์หลังคำพิพากษานั้นจะเป็นตัวชี้ขาดว่าทิศทางของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ จะออกมาในทิศทางใด ระดับของความรุนแรงในเหตุการณ์ การเตรียมการรับมือของรัฐบาลจะมีปัญหาหรือไม่ รวมถึงท่าทีของกองทัพด้วยว่าจะประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร หากทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบร้อย รัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ตลาดหลักทรัพย์น่าจะเดินหน้าต่อไปได้ เนื่องจากตัวเลขทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2552 ออกมาดีทำให้การติดลบของจีดีพีน้อยกว่าที่คาดการณ์และในปีนี้มีโอกาสที่จะ เติบโตได้ 3-4%

ถ้าทุกอย่างลงตัวหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเมืองน่าจะลดความร้อนแรงลง แต่ในส่วนของการจ่ายเงินปันผลของกลุ่มชินคอร์ปน่าจะยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดระดับความเสี่ยงของเทมาเส็ก รวมถึงผู้ถือหุ้นบางรายที่ไม่ยอมเปิดเผยตัวถือหุ้นผ่านนอมินีใน ADVANC ที่ถ่ายเงินออกไปในรูปของปันผลนับหมื่นล้านบาทจากส่วนที่เหลือที่จ่ายให้ SHIN และ Singtel

หากผู้ถือหุ้นที่ผ่านนอมินีเป็นอดีตเจ้าของชินคอร์ปด้วย เรื่องเงินที่จ่ายออกไปย่อมมีสิทธิที่จะนำไปใช้ได้ตามความต้องการ ทั้งในเรื่องของการสร้างความมั่นคงให้กับตัวเองหรืออาจใช้เพื่อการชุมนุมทาง การเมืองก็เป็นเรื่องที่ยากต่อการตรวจสอบ   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us