Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มกราคม 2530








 
นิตยสารผู้จัดการ มกราคม 2530
แนวโน้มการลงทุนของญี่ปุ่นในประเทศไทยผลิตเพื่อการส่งออก ไทยได้ประโยชน์จริงหรือ?             
 


   
search resources

Investment
International




ในปัจจุบันสงครามทางการค้าระหว่างประเทศกำลังทวีความรุนแรงขึ้นตามลำดับ สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศผู้นำอันดับหนึ่งทางเศรษฐกิจของโลกเสรี ต้องประสบกับวิกฤตการณ์การขาดดุลการค้าอย่างมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศญี่ปุ่น ขณะที่ญี่ปุ่นมหาอำนาจสำคัญทางเศรษฐกิจก็เกิดปรากฏการณ์เงินเยนแข็งตัว ซึ่งทำให้ญี่ปุ่นจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวทางเศรษฐกิจขนานใหญ่ พร้อมกับการขยายการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น เป็นโฉมหน้าใหม่ที่แตกต่างจากการลงทุนในศตวรรษที่แล้วมาอย่างน่าสนใจ

การลงทุนของญี่ปุ่นในทศวรรษ 1980 เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าตัวอย่างรวดเร็วจากช่วง 1970 ซึ่งการลงทุนโดยเฉลี่ยแต่ละปีจะมีประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์ แต่ในปี 1981 มีการลงทุนถึง 8.9 พันล้านดอลลาร์ และในปี 1984 สูงขึ้นในระดับ 10 พันล้านดอลลาร์ ทั้งนี้เพราะมีการลงทุนในอุตสาหกรรมเพื่อแก้ปัญหาดุลการค้ากับประเทศคู่ค้า

ลักษณะการลงทุนของญี่ปุ่นในปัจจุบันและทศวรรษหน้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาก โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรเทาความขัดแย้งทางการค้าทั้งกับประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา และเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ค่าเงินเยนสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

การที่ค่าเงินเยนสูงขึ้น ทำให้การผลิตภายในญี่ปุ่นมีต้นทุนการผลิตสูงขึ้นมาก เพราะวัตถุดิบต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ค่าแรงงานสูงขึ้น ตลอดจนการขยายกำลังการผลิตมีขีดจำกัดเพราะค่าที่ดินแพงขึ้นและสถานที่ขยายกำลังการผลิตน้อยลง ดังนั้นอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะขนาดกลางและขนาดย่อม จึงทยอยกันออกมาหาแหล่งผลิตที่ต้นทุนถูกกว่า ซึ่งก็สอดคล้องกับความต้องการของประเทศคู่ค้าที่เรียกร้องให้ญี่ปุ่นไปลงทุนในประเทศตัวเองมากขึ้น โดยมักจะตั้งกำแพงภาษีสำหรับสินค้าสำเร็จรูปและมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ดูเหมือนยุทธศาสตร์หลักในการพัฒนาเศรษฐกิจของทั้งประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา จะมุ่งไปที่การผลิตเพื่อการส่งออกเหมือนๆ กัน

ญี่ปุ่นจึงมีช่องทางเลือกหลายประการในการมาลงทุน อาจจะไปลงที่ยุโรป เอเชีย หรืออเมริกา ที่ผ่านมาเขาก็จะลงทุนในส่วนที่สามารถหากำไรสูงสุด

ปัญหาที่ตามมาคือ ญี่ปุ่นจะเลือกมาลงทุนในไทยหรือไม่? และการลงทุนจากญี่ปุ่นจะช่วยให้เราพัฒนาเศรษฐกิจได้จริงหรือ?

ในความเห็นของผม ปัจจัยการเลือกลงทุนของญี่ปุ่นในประเทศไทยมี 5 ประการใหญ่ๆ คือ

1. ปัญหาความมั่นคงทางการเมือง

2. ทรัพยากรบุคคลและปัญหาแรงงาน

3. มาตรฐานของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องที่จะช่วย Support

4. โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ (Infra structure) ที่รองรับอุตสาหกรรมที่จะเข้ามา

5. กฎระเบียบต่างๆ , ภาษีที่เกี่ยวข้อง

ผมว่าในสายตานักลงทุนญี่ปุ่น การที่รัฐบาลเปรมอยู่ได้ถึง 6-7 ปี ความมั่นคงทางการเมืองก็นับว่าพอใช้ได้ ค่าแรงสูงขึ้นแต่ก็ถูกกว่าเขามาก ส่วนมาตรฐานอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องและ Infra structure ยังไม่ค่อยพร้อมมากนัก สิ่งที่เขารู้สึกว่าเป็นปัญหามาก คือเรื่องกฎระเบียบที่ยุ่งยาก และภาษีที่ซ้ำซ้อน แต่อาจจะดีขึ้นบ้างจากการที่กระทรวงการคลังประกาศจะปรับโครงสร้างภาษีและลดภาษี วัตถุดิบ ที่นำเข้ามาผลิตเพื่อการส่งออก แนวโน้มโดยรวมผมคิดว่าสภาวะแวดล้อมอยู่ในระดับใช้ได้ และเมื่อเทียบกับประเทศอาเชียนความสนใจที่จะมาลงทุนของญี่ปุ่นอยู่ในระดับปานกลาง

การมาลงทุนของญี่ปุ่นในช่วง 1986 เป็นต้นไป ลักษณะที่เข้ามาคงทะลักเข้ามาอย่างสะเปะสะปะมาก แนวโน้มที่จะเป็นการลงทุนที่ญี่ปุ่นมีปัญหา โดยมากจะเป็นการผลิตเพื่อการส่งออก สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือเรามีนโยบายที่จะรับมือกับการลงทุนจากญี่ปุ่นมากน้อยเพียงใด ผมคิดว่าถ้าให้เอกชนลงทุนอย่างเสรีเขาก็จะลงทุนทุกโครงการที่ได้กำไร กำไรที่เกิดขึ้นก็จะเป็นกำไรส่วนเอกชน โดยที่อาจจะไม่ช่วยเศรษฐกิจโดยรวมมากนัก

ผมคิดว่ารัฐบาลควรจะมีนโยบายการส่งเสริมการลงทุนที่ชัดเจนกว่าที่เป็นอยู่โดยกำหนดออกมาอย่างชัดเจนว่า อุตสาหกรรมใดบ้างที่ส่งเสริมการลงทุน อุตสาหกรรมใดที่ห้ามหรือไม่ส่งเสริมควรจะมีแผนระยะยาวที่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศ และเป็นอุตสาหกรรมที่ช่วยเร่งการพัฒนาเศรษฐกิจต่อไปในอนาคต โดยมีพื้นฐานอยู่บนการพึ่งตนเองได้ในระยะยาว

อุตสาหกรรมที่ไม่น่าส่งเสริมคืออุตสาหกรรมที่คนไทยทำได้แล้ว เช่น วิทยุ โทรทัศน์ ซึ่งผมคิดว่าควรที่จะส่งเสริมภายในประเทศให้เข้มแข็งขึ้น อุตสาหกรรม บริการต่างๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า ภัตตาคาร ก็น่าส่งเสริมคนไทยมากกว่าคือถ้าปล่อยให้มีการลงทุนไปเรื่อยๆ ผลที่สุดทุนพาณิชย์หรือบริการที่เป็นคนไทยจะค่อยๆ พ่ายไป เหมือนมวยรุ่นเฮฟวี่เวทกับฟลายเวทชกกัน รุ่นเฮฟวี่เวทก็คงชนะไปในที่สุด

อุตสาหกรรมที่น่าส่งเสริมควรจะเป็นอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมพื้นฐานภายในประเทศ ใช้วัตถุดิบหรือชิ้นส่วนต่างๆ ภายใน เราอาจจะต้องพึ่งพาเทคโนโลยีหรือ KNOW HOW จากเขา แต่ก็ควรตั้งเป้าว่า ภายใน 5-10 ปี เราจะต้องผลิตเอาได้ทั้งหมด

ทิศทางการลงทุนโดยทั่วไปของญี่ปุ่น คือการเข้ามาผลิตเพื่อการส่งออกแทนการส่งออกโดยตรงจากญี่ปุ่น ผลดีสำหรับประเทศไทยคืออาจจะช่วยกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจให้ขยายตัวขึ้น ช่วยให้เกิดการจ้างงาน แต่การผลิตเพื่อการส่งออกนั้น ควรที่จะพิจารณาให้ถ่องแท้ว่าเกิดประโยชน์แก่ระบบเศรษฐกิจและคนส่วนใหญ่ของประเทศหรือไม่? ซึ่งผมเห็นว่ามีข้อพึงระวังอย่างน้อยสองข้อ

ประการแรก ประเทศเรามีทรัพยากรจำกัด การทุ่มลงทุน เพื่อตอบสนองความต้องการของสินค้าจากต่างประเทศคือเพื่อผู้บริโภคต่างประเทศนั่นเอง ขณะเดียวกันเราต้องถามว่า เรามีการลงทุนสำหรับความต้องการภายในอย่างเพียงพอหรือไม่ ถ้าเราจัดสัดส่วนการลงทุนเพื่อส่งไปต่างประเทศมากกว่าชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนไทยอาจจะไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ และต้องดูว่าเงินที่ได้จากการส่งออกไปไหน? ส่งกลับไปญี่ปุ่นเกือบทั้งหมดหรือเปล่า เอาเข้าจริงไทยเราอาจจะได้อยู่กับกรรมกรเพียงไม่กี่คน นายทุนไทยบางส่วนและรัฐอาจได้จากภาษีอีกเล็กน้อย และถ้าเป็นการผลิตเพื่อส่งออก บางกรณีรัฐอาจต้องจ่ายเงินอุดหนุนอีกด้วยซ้ำ

ประการที่สอง เทคโนโลยีต่างๆ ที่เอาเข้ามามันเป็นเทคโนโลยีที่จะกระตุ้นให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาหรือเปล่า? อาจจะเป็นการสร้างเกาะแก้วสวรรค์ขึ้นภายในประเทศ โดยไม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจภายในเท่าไหร่เลยก็ได้ เช่น มินิแบร์ เข้ามาตั้งโรงงานแถวอยุธยา ทำเสร็จแล้วก็ส่งไปต่างประเทศเลย โดยไม่เกี่ยวข้องกับไทยเลย นอกเหนือจากการจ้างงานประมาณ 200 คน ถ้าส่วนใหญ่เป็นไปในลักษณะนี้ไทยเราคงไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร

สำหรับนักลงทุนไทย ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเลือกพอสมควร ไม่ใช่อะไรก็ได้ที่ทำกำไรได้ ควรคำนึงถึงการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมด้วย ไม่ต้องกลัวว่าญี่ปุ่นเขาจะไม่มาลงทุน เขามาแน่เพราะขณะนี้อเมริกาและยุโรปก็กำลังขยายการลงทุนในแถบนี้มากขึ้นเช่นกัน ญี่ปุ่นจะต้องพยายามแข่งขันเพื่อรักษาฐานของเขาแน่นอน ดังนั้นนักลงทุนไทยควรที่จะเตรียมตัวเองให้พร้อมในทุกด้าน ผมมีข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับนักลงทุนไทย

เนื่องจากเราต้องพึ่งพิงการนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์ต่างๆ จากญี่ปุ่น เราควรที่จะเตรียมข้อมูลมากที่สุดเพื่อการเจรจาต่อรองที่ไม่เสียเปรียบ บางที KNOW HOW บางอย่างไม่จำเป็นต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ ญี่ปุ่นก็คิด ความไม่เท่าทันทำให้เราเสียเปรียบ นักลงทุนไทยมักจะคิดถึงกำไรเฉพาะหน้าเป็นหลัก ขอกำไรเพียงแค่ 10-20% ก็พอแล้ว ทำให้เราเสียเปรียบและมีอำนาจต่อรองน้อยลง

ตรงกันข้ามกับนักลงทุนญี่ปุ่น เขาศึกษาประเทศไทยมาก การลงทุนแต่ละครั้งเขามีข้อมูลอย่างครบครันรอบด้าน เขามีการกระจายข่าวสารและข้อมูลระหว่างบริษัทดีกว่าของเรามาก ผมคิดว่านักลงทุนไทยควรที่จะตระหนักถึงความสำคัญของการแลกเปลี่ยนข่าวสารการตระเตรียมข้อมูลให้มากกว่านี้

ประการสุดท้ายที่ผมอยากจะเน้นคือการถ่ายทอดเทคโนโลยี ที่ผ่านมายังมีน้อยมาก ส่วนหนึ่งเพราะนักลงทุนไทย ยังไม่ตระหนักถึงการยืนด้วยลำแข้งของตัวเองในระยะยาวผมคิดว่าตรงนี้สำคัญมาก เพราะถ้าในขั้นสุดท้ายหากเกิดการขาดทุน หรือมีที่อื่นที่น่าลงทุนกว่า หรือถ้าสถานการณ์เรื่องเงินเยนดีขึ้น ญี่ปุ่นอาจจะถอนตัวออกไป ถึงตอนนั้นเราจะสามารถผลิตเองได้หรือไม่? เราควรที่จะเตรียมตัวรับวิกฤตการณ์ในอนาคต โดยเตรียมวางแผนระยะยาวอย่างรอบด้านและรัดกุมที่สุด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us