|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
“ภัทรียา” ชี้ ปาระเบิดแบงก์กรุงเทพ ไม่กระทบความเชื่อมั่น แนะจับตาสถานการณ์ หวั่นความรุนแรงซ้ำเติมดัชนีหุ้นไทย ด้านโบรกฯ ระบุ ต่างชาติจ่อเทขายทำกำไร กดดันดัชนีไม่โต หลังสัปดาห์ก่อนช้อนสะสมทั้งหุ้นและอนุพันธ์ไว้สูง พร้อมแนะเพิ่มถือเงินสดในพอร์ตถึง 40% เพื่อรอดูทิศทาง ฝั่งนักวิชาการอัดยับ ไอ้โม่งปาระเบิด แผนบ่อนทำลายเครดิตประเทศ
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงเหตุการณ์กลุ่มผู้ไมีหวังดีปาระเบิดธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และสาขาของธนาคารธนชาต ว่า ทางตลาดหลักทรัพย์ฯได้ติดตามสถานการณ์การเมืองอย่างใกล้ชิด ซึ่งหากไม่มีเหตุรุนแรงซ้ำอีก คงไม่กระทบภาวะการลงทุนในตลาดหุ้น ที่จะเปิดทำการในวันนี้(2มี.ค.) โดยเชื่อว่าทางการจะควบคุมสถานการณ์ได้
ขณะเดียวกัน มั่นใจว่า ราคาหุ้นแบงก์กรุงเทพวันนี้ จะไม่ปรับลดลงแต่อย่างใด เพราะก่อนหน้านี้เคยมีเหตุการณ์กลุ่มคนเสื้อแดงไปชุมนุม ที่บริเวณสำนักงานใหญ่ของธนาคารกรุงเทพมาแล้ว
ส่วนมาตรการดูแลความปลอดภัยของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรรมการปละผู้จัดการตลท.กล่าวว่า ยังคงเข้มงวด โดยยังมีตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลมาดูแลตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งมีมาตรการเฝ้าระวังของทาง ตลท.ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถดูแลได้สถานการณ์ได้
“หลังคำตัดสินพิพากษาที่ตัดสินยึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้คดีจบไปขั้นตอนหนึ่ง และผลของคำตัดสินเป็นทางออกที่ดี แต่ต้องติดตามสถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นขอให้นักลงทุนติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด และตัดสินใจลงทุนอย่างรอบคอบ” นางภัทรียา กล่าว
**โบรกฯคาดวันนี้เจอแรงเทขายฉุดร่วง
นาย สัญญา หาญพัฒนกิจพานิช ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ทีมพัฒนาธุรกิจตลาดอนุพันธ์ บล.โกลเบล็ก กล่าวถึงแนวโน้ม ตลาดหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์นี้ (2 – 5 มี.ค.) ว่า แม้หลายฝ่ายจะมองว่า ดันชีฯมีโอกาสปรับตัวขึ้นรับข่าวดีเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แต่ส่วนตัวก็เชื่อว่าดัชนีฯก็มีโอกาสปรับตัวลดลงเช่นกัน เนื่องจากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างประเทศได้คาดการณ์สถานการณ์การเมืองไทยและผลการตัดสินของศาลไว้ล่วงหน้าแล้วว่า อาจจะมีการยึดทรัพย์อดีตนายกรัฐมนตรีแค่เพียงบางส่วน จึงทำให้ก่อนหน้านี้มีแรงซื้อจากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ และสถาบันอย่างต่อเนื่องเพื่อกักตุนไว้
ดังนั้นเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามคาดการณ์ ก็จะทำให้ดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นรับข่าวดี แต่ก็จะเจอแรงเทขายทำกำไรจากการจากเก็บสะสมไว้ในสัปดาห์ก่อนของนักลงทุนต่างประเทศ และสถาบัน เพื่อขายทำกำไรออกมากดดันให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงได้เช่นกัน อีกทั้งตลาดหุ้นไทยเองหลังจากนี้ ก็ยังขาดข่าวดีเข้ามาเป็นปัจจัยกระตุ้นตลาด ทำให้ประเมินว่าโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวขึ้นยังมีอยู่แต่ไม่เยอะมาก ขณะที่แรงเทชายทำกำไรก็ยังมีอยู่สูง
ขณะที่ กรณีมีผู้ก่อความไม่หวังดีปาระเบิดธนาคารกรุงเทพ และสาขาของธนาคารธนชาตนั้น ส่วนมองว่า เหตุการณ์เหล่านี้มีผลทาด้านจิตวิทยาของนักลงทุนพอสมควร เพราะโดยสรุปแล้วปัญหาทางการเมืองยังเป็นก้างขวางคอชิ้นใหญ่ของตลาดหุ้น ยิ่งมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ย่อมบ่งบอกถึงสัญญาณปัญหาที่ยืดเยื้อยังมีอยู่
ส่วนการลงทุนในตลาดอนุพันธ์ โดยเฉพาะใน Set 50 Futures นักลงทุนต้องระวังแรงเทขายที่จะมีออดกมา เพราะนักลงทุนต่างชาติ ก็มีการถือLong ในสัญญาเหล่านี้ไว้สูงเช่นกัน
“ตอนนี้ทุกอย่างอยู่ที่จิตวิทยาของนักลงทุนรายย่อย หากมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นจนมีแรงซื้อกลับมา ต่างชาติ หรือสถาบันที่เก็บสะสมไว้ก็จะปล่อยขายออกมาทำกำไร จนฉุดดัชนีลดลงได้ นอกจากนี้เรายังต้องติดตามดูกระแสเงินของจากต่างประเทศด้วยว่า ช่วงนี้จะมีการไหลเข้าในภูมิภาคเอเชียมากน้อยแค่ไหน และไทยจะได้รับอานิสงส์จากตรงจุดนี้เท่าใด อย่างไรก็ตาม เมื่อปัญหาทางการเมืองยังไม่ท่าทีจะยุติลงได้ การเติบโตของตลาดหุ้นในปีนี้ก็มีโอกาสเติบโตได้น้อยสุด เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาคเช่นกัน”
ด้านนส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส จำกัด กล่าวถึง แนวโน้วของ ดัชนีหุ้นไทย ในสัปดาห์นี้ (2 -5 มี.ค.) เมื่ออิงกับสถานการณ์ต่างๆ รวมถึงการพิจารณาถึงปัจจัยในต่างประเทศประกอบ ทั้งราคาน้ำมันและการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญแล้ว กลยุทธ์การลงทุนคือ แนะนำ นักลงทุนที่เล่นรอบ ถือหุ้นต่อรอลุ้นราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนนักลงทุนระยะยาว แนะนำ ถือหุ้น 60% และเงินสดอีก 40% เก็บไว้เพื่อทยอยซื้อหุ้นพื้นฐาน โดยหุ้นเด่นที่แนะนำในเดือน มี.ค. คือ KBANK, PTT, PTTAR, HANA, THAI ประเมินกรอบแนวรับดัชนีฯ ไว้ที่ 720-715 จุด แนวต้าน 725-730 จุด
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยสัปดาห์มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น คาดว่าจะเคลื่อนไหวทดสอบแนวต้านที่ 730-750 จุดได้ในช่วงระหว่างการซื้อขาย เนื่องจากมองว่านักลงทุนต่างชาติจะยังซื้อสุทธิเข้าอย่างต่อเนื่องอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของดัชนีฯยังขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของกลุ่ม นปช. ว่าในช่วงที่ตลาดฯปิดทำการ 3 วันจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นหรือไม่ ซึ่งหากเป็นการชุมนุมอย่างสงบและอยู่ในกรอบตามหลักประชาธิปไตย ก็จะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุน แนะรอขายเมื่อดัชนีฯแตะแนวต้านที่ 730 จุด แต่ทั้งนี้ต้องดูการเคลื่อนไหวของเม็ดเงินไหลเข้าจากต่างชาติด้วยว่าหากส่งสัญญาณที่ดี ดัชนีฯก็น่าแกว่งตัวขึ้นไปทดสอบ 750 จุดได้ จึงประเมินแนวรับไว้ที่ 710-715 จุด และประเมินแนวต้านไว้ที่ 730-750 จุด
**นักวิชาการอัดแผนชั่วลดเครดิตชาติ
ศ.ดร. สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวถึงเหตุการณ์ระเบิดธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ในคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นหลายแห่งกับธนาคารในคืนวันเดียวกัน หลังคดียึดทรัพย์อดีตนายกรัฐมนตรี แสดงให้เห็นว่า มีกลุ่มบุคคลไม่หวังดีกับประเทศ ต้องการทำให้เกิดความไม่สงบ และลดความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ดังนั้น รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ และจับกุมผู้กระทำผิดมาลงโทษโดยเร็ว โดยประชาชนต้องช่วยกันสอดส่องดูแลร่วมกับรัฐบาล เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาโดยเร็ว
ส่วนการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือคนเสื้อแดง หากเป็นไปด้วยความสงบไม่น่าจะมีปัญหา แต่เพื่อความไม่ประมาทรัฐบาลต้องดูแลเป็นอย่างใกล้ชิด เพราะการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง มักเกิดเหตุวุ่นวาย และนำไปสู่ความไม่สงบ
อย่างไรก็ตาม ด้านนักวิชาการเห็นว่า ทุกฝ่ายต้องยอมรับคำตัดสินของศาล เพราะถือเป็นวิถีทางประชาธิปไตย เพื่อให้บ้านเมืองสงบสุข และเกิดความสมานฉันท์
|
|
|
|
|