เมื่อเวลาประมาณ 3 ทุ่มของคืนวันศุกร์ที่ 19 ธันวาคมปีที่เพิ่งผ่านพ้นไปหมาดๆ
เงินจำนวน 30 ล้านเหรียญสหรัฐหรือราว 789 ล้านบาทไทยได้ถูกโอนจากนิวยอร์คมาที่ธนาคารกรุงไทยสำนักงานใหญ่
เพื่อให้บริษัทหลักทรัพย์กองทุนรวมดำเนินการต่อไป
นี่คือจุดเริ่มเดินเครื่องของกองทุนไทยแลนด์ฟันด์ ซึ่งเป็นกองทุนรวม (Mutual
Fund) ระดับระหว่างประเทศ โครงการแรกที่ได้รับอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทย
เพื่อระดมทุนจากสถาบันในยุโรปและอเมริกานำมาลงทุนในตลาดทุนและตลาดบ้านเรา
ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซึ่งคึกคักฟู่ฟ่าในช่วงปลายปีที่ผ่านมาอยู่แล้ว
เพราะบรรยากาศเสริมส่งไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยลด สภาพคล่องมีเยอะ น้ำมันลดราคา
แถมมีเงินจากนักลงทุนต่างชาติมาหนุนซื้อหุ้น
การเปิดตัวไทยแลนด์ฟันด์ก็เลยช่วยเพิ่มความหวังให้ตลาดมากขึ้น ถึงขนาดราคาขยับขึ้นไปรอท่ากันทีเดียวเชียว
แต่ยังหรอก…ช่วงนี้เขาตกลงกันแล้วว่าจะเหมาะเอาของดีราคาถูกจากกองทุนพัฒนาตลาดทุนที่บรรดาแบงก์ต่างๆ
ไม่อยากถือเอาไว้ต่อไป (เลือกเอาไว้แล้ว 11 หุ้น)
การเข็นไทยแลนด์ฟันด์ออกมาจนสำเร็จครั้งนี้ คนที่ภูมิใจมากคงจะเป็น ศุกรีย์
แก้วเจริญ แห่งบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งเกี่ยวข้องกับตลาดหลักทรัพย์มาตลอดและปัจจุบันก็ยังเป็นที่ปรึกษาของ
รมต. คลังเกี่ยวกับเรื่องนี้
อีกคนก็ อุดม วิชชยาภัย กรรมการผู้จัดการของบริษัทหลักทรัพย์กองทุนรวม
ซึ่งเป็นผู้จัดการกองทุนไทยแลนด์ฟันด์และเป็นบริษัทลูกของบรรษัทก็ย่อมจะดีใจที่สามารถออกโปรดักซ์ใหม่ระดับอินเตอร์
แถมได้สิทธิพิเศษทางภาษีแก่ผู้ลงทุนในฐานะที่เป็นกองทุนที่ทางการรับรอง
เล่นเอาบางกอกฟันด์ที่มีฟิทเป็นโบร๊กเกอร์ในการซื้อขายหุ้นให้ต้องมองค้อนเอา
แต่ก็ยังทำเชิดหน้าว่าไม่หวั่น พร้อมกับคุยว่าตอนนี้เตรียมขยายกองทุนอีก
15 ล้าน
ว่ากันถึงเรื่องการพัฒนาตลาดทุนในเมืองไทย ก็ต้องกล่าวถึง เดวิด กิล ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาตลาดทุน
ของบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (IFC) ซึ่งเป็นสถาบันในเครือของธนาคารโลก
และมีบทบาทเกี่ยวข้องกับตลาดทุนของไทยมานานแล้ว
และรูปแบบการจัดตั้งบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรแห่งประเทศไทย (IFCT) ซึ่งเป็นสถาบันที่ถือหุ้นโดยกระทรวงการคลัง
ภาคเอกชน ก็เอาแนวความคิดมาจาก IFC นี่เอง
เมื่อวันแถลงข่าวโครงการไทยแลนด์ฟันด์ที่ห้องประชุมบรรษัท เดวิด กิล ในฐานะผู้แทนของ
IFC ซึ่งเป็นสถาบันหนึ่งที่ร่วมเป็นผู้ประกันการขาย หน่วยลงทุนนี้ก็มาร่วมงานด้วย
เดวิด กิล เกี่ยวข้องกับเรื่องของการพัฒนาตลาดทุนไทยมาตั้งแต่ 15 ปีที่แล้วมา
ตั้งแต่สมัยที่เริ่มรู้จักกับศุกรีย์ แก้วเจริญ ซึ่งตอนนั้นยังทำงานอยู่ที่ธนาคารชาติ
ในตำแหน่งหัวหน้าหน่วยปฏิบัติงานโครงการพัฒนาตลาดทุนในประเทศไทย
สิ่งที่เดวิด กิล ช่วยเหลือต่อการพัฒนาตลาดทุนมีอยู่พอสมควร อย่าง ดร.
ซิดนีย์ เอ็ม.ร้อบบิ้นส์ ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นิวยอร์ค ที่มาช่วยศึกษาและแนะแนวทางการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์ไทย
ก็จากการช่วยติดต่อของเดวิด กิล
นอกจากนี้เขายังช่วยในการจัดตั้งบริษัทหลักทรัพย์กองทุนรวม (IFC ก็ร่วมถือหุ้นด้วย)
และตอนนี้เมื่อเห็นท่าว่าตลาดทุนไทยเริ่มเข้าที่แล้ว ก็ยังช่วยสนับสนุนในการจัดตั้งไทยแลนด์ฟันด์
ซึ่ง ศุกรีย์กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า
"บางคนมองเพียงว่า เราได้เงิน 700 กว่าล้านบาทเข้ามาในเมืองไทย ความจริงไม่ใช่แค่นั้น
แต่สิ่งที่สำคัญมากอยู่ที่ไทยแลนด์ฟันด์จะเป็นหลักทรัพย์แรกของไทยที่จะได้ไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นลอนดอน
ซึ่งเป็นตลาดหุ้นชั้นนำของโลก"
"เรื่องนี้นอกจากจะเป็นชื่อเสียงของประเทศแล้ว เมื่อไทยแลนด์ฟันด์ลงทุนในหลักทรัพย์อะไรก็ต้องเปิดเผยให้ต่างประเทศรู้
เช่น ถ้าลงทุนในหุ้นของบรรษัทฯ ปูนซิเมนต์ไทยหรือธนาคารไทยพาณิชย์ กิจการเหล่านี้ก็จะเป็นที่รู้จักในตลาดยุโรปมากขึ้นด้วย"
"ยิ่งกว่านั้น ต่อไปกิจการที่ไทยแลนด์ฟันด์ไปลงทุนก็จะมีโอกาสนำหุ้นทุนหรือหุ้นกู้ออกไปจำหน่ายในยุโรปได้"
"เมื่อวันประชุมบีโอไอครั้งก่อน ผมยังรายงานให้ท่านนายกรัฐมนตรีทราบว่า
ขณะนี้เป็นช่วงของการก้าวกระโดดของตลาดทุนไทย ซึ่งต่อไปนี้เราได้เข้าสู่ระดับโลกแล้ว"
ศุกรีย์กล่าวทิ้งท้ายกับ "ผู้จัดการ"
ด้วยเหตุนี้เองการมาเมืองไทยของ เดวิด กิล ครั้งนี้ก็ยังได้แอบไปเจรจากับผู้บริหารปูนซิเมนต์ไทย
และธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อปูทางให้ออกหุ้นกู้แบบแปลงสภาพได้นำไปขายในตลาดยุโรป
และหลังจากช่วงแถลงข่าววันนั้นศุกรีย์ แก้วเจริญ ก็ยังมีแก่ใจกระซิบบอก
"ผู้จัดการ" ว่าเป็นจังหวะดีมากที่เดวิด กิล มาเมืองไทยคราวนี้
น่าจะรู้จักกันไว้แล้วก็ช่วยนัดแนะและเปิดห้องทำงานส่วนตัวที่บรรษัทได้พูดคุยกัน
"ตลาดหุ้นของไทยยังนับว่าบอบบางมากจึงไม่อยากให้เงินจากไทยแลนด์ฟันด์มาดึงราคาตลาดหุ้นในระยะนี้
แต่ต้องการลงทุนในระยะยาว ซึ่งเมืองไทยก็มีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจจะเติบโตไปได้ดี"
เดวิด กิล กล่าวตอนหนึ่ง
เขายังมีความเห็นอีกว่า ในช่วงหลังนี้ตลาดหลักทรัพย์ใหญ่ๆ ทั่วโลกโตขึ้นมาก
แต่นักลงทุนก็ยังสนใจจะลงทุนในตลาดเล็กๆ ด้วยเหมือนกัน อย่างตลาดหุ้นของไทยเป็นต้น
และอีกทั้งราคาหุ้นบ้านเราทุกวันนี้ก็ไม่ใช่ว่าขึ้นไปโดยไม่มีเหตุผล เพราะดูได้จากมูลค่าตามบัญชี
"ผมไม่อยากพูดว่า ตลาดหุ้นเมืองไทยจะดีขึ้นแค่ไหนอีก แต่บอกได้ว่า
มีโอกาสโตอีกมากและถ้าหากจะมีเหตุการณ์อะไรกับตลาดอื่น ก็จะไม่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมากเท่ากับที่อื่น
เพราะที่นี่มีกฎหมายควบคุมดีพอสมควร" เดวิด กิล กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
อย่างไรก็ตามเขายังเห็นว่าตลาดหลักทรัพย์ของไทยยังมีหุ้นดีๆ น้อยอยู่ และจำเป็นต้องหาทางชักชวนกิจการดีๆ
นำหุ้นมาจดทะเบียนในตลาดเพิ่มมากขึ้น
คงจะเป็นการบ้านให้ ดร. มารวย ผดุงสิทธิ์ คนชื่อดีแห่งตลาดหลักทรัพย์ฯ
เร่งผลักดันตามที่เคยประกาศท่าทีไว้เหมือนกัน รวมทั้งหุ้นของกิจการที่กำลังจะดีที่จะเปิดกระดานที่
2 ให้ ก็ขอให้มีผลกันไวๆ