เซ็นทรัลกรุ๊ป ไม่หวั่นการเมืองวุ่นวาย เดินหน้าทุ่มงบ 16,000 ล้านบาท เล็งควบรวมกิจการเพื่อสร้างการเติบโต เดินหน้าลุยที่จีนเต็มสูบ เผยปีที่แล้วกำไร 6,000 ล้านบาท ดันคนรุ่นใหม่เข้าสู่บอร์ดซีเอ็มบี
นายสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร (CEO Management Board / CMB) เซ็นทรัลกรุ๊ป เปิดเผยว่า ทางกลุ่มเซ็นทรัลประเมินว่า สถานการณ์การเมืองในเวลานี้ คงจะไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น เราอยู่กับการเมืองแบบนี้มานาน คงไม่กระทบมากนัก ความเสี่ยงเราไม่ได้มีมากขึ้นเลย เพราะว่าธุรกิจต้องมีการลงทุนต่อเนื่องอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าธุรกิจจะโตเร็วหรือโตช้าเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม นายสุทธิธรรมมองว่า หากวิกฤติเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวและไม่ตกต่ำไปกว่านี้ ส่วนสถานการณ์ความไม่สงบภายในประเทศมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนทำ ธุรกิจ ทุกภาคส่วนควรร่วมกันแก้ไข และหาทางป้องกัน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชน รวมทั้งนโยบายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลควรจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนในการประกอบธุรกิจ
สำหรับแผนการดำเนินงานของกลุ่มเซ็นทรัลปี 2553 มี 2 ประเด็นหลักคือ 1.การควบรวมกิจการ ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะทำให้มีการเติบโตและก้าวกระโดด ซึ่งหลักการควบรวมกิจการคือ ต้องเป็นกิจการที่สร้างประโยชน์ร่วมกันและลดต้นทุนค่าใช้จ่าย และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ พลิกฟื้นโครงการต่างๆให้กลับมามีผลบวกในเวลาต่อมาได้ เช่น โครงการสาขารัตนาธิเบศร์ โครงการเซ็นทรัลเวิลด์ เป็นต้น โดยขณะนี้มีประมาณ 2-3 โครงการที่อยู่ระหว่างการเจรจา 2.การขยายธุรกิจไปต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีกมีแผนที่จะรุกต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะที่จีน ซึ่งเป็นประเทศใหญ่มีพลเมืองมากมาย โดยได้ตั้งสำนักงานที่จีนแล้ว ซึ่งในเดือนเมษายนนี้จะเปิดห้างเซ็นทรัลที่หางโจว และเปิดที่เสิ่นหยางในปีหน้า ซึ่งคาดว่าซีอาร์ซีจะใช้งบลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาท ส่วนปีนี้จะมีซีพีเอ็น (กลุ่มที่ดูแลพัฒนาศูนย์การค้า) จะขยายธุรกิจไปที่จีนด้วย
นายสุทธิธรรม กล่าวว่า ปีนี้กลุ่มเซ็นทรัลตั้งงบประมาณลงทุนไว้ไม่ต่ำกว่า 16,000 ล้านบาท เพิ่มจากปี 52 ที่ลงทุนจริง 15,500 ล้านบาท เพราะว่าเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ส่วนประมาณผลการดำเนินงานในปี 53 นี้ คาดว่าจะทำได้ 118,800 ล้านบาท หรือมีอัตราเติบโต 7%
ทั้งนี้แผนลงทุนแต่ละกลุ่มคือ 1.กลุ่มค้าปลีก ตั้งงบ 5,000 ล้านบาท หรือ สัดส่วน 31% ส่วนใหญ่เป็นของโรบินสัน เช่น ตรังและเชียงราย และการรีโนเวต เช่น ลาดพร้าว 2.กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีการลงทุน 8,900 ล้านบาท หรือสัดส่วน 56% ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนโครงการใหม่ เช่น เซ็นทรัลเฟสติวัลพัทยาบีชโฮเตล, โครงการที่เชียงรายและที่พระรามเก้า
3.กลุ่มธุรกิจค้าส่ง ใช้งบลงทุน 200 ล้านบาท สัดส่วน 1% ในการขยายแบรนด์และเปิดชอปต่างๆเพิ่ม 4.กลุ่มธุรกิจโรงแรม มีการลงทุน 1,600 ล้านบาท หรือสัดส่วน 10% ลงทุนในโครงการต่อเนื่องของเซ็นทาราแกรนด์ บีช รีสอร์ต ภูเก็ต 5.กลุ่มธุรกิจอาหาร ลงทุน 300 ล้านบาท สัดส่วน 2% ส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ใหม่จากต่างประเทศ
สำหรับผลประกอบการเมื่อปีที่แล้ว ทั้งกลุ่มเซ็นทรัลมีรายได้รวม 110,700 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 9% แต่ก็ยังต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่ประมาณการณ์ไว้ที่ 112,500 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.6% โดยมีกำไรประมาณ 6,000 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุหลักมาจาก ผลกระทบวิกฤติเศรษฐกิจโลกและปัญหาการเมืองภายในประเทศ ปีที่แล้วใช้งบลงทุนไปรวมแล้วประมาณ 15,500 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการณ์ที่เตรียมไว้ถึง 19,000 ล้านบาท เนื่องจากมีบางโครงการล่าช้า
นายสุทธิธรรม กล่าวต่อว่า สำหรับบอร์ดชุดใหม่ดังกล่าวนี้ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อให้เป็นไปตามความเหมาะสม และสอดคล้องกับสถานการณ์ตลอดเวลา โดยเป็นการนำเอาผู้บริหารรุ่นใหม่ของตระกูลจิราธิวัฒน์ซึ่งเป็นตำแหน่งซีอี โอของแต่ละกลุ่มธุรกิจ เข้ามาเป็นกรรมการ รวม 7 คน ประกอบด้วย ทศ จิราธิวัฒน์ ซีอีโอกลุ่มธุรกิจค้าปลีกหรือซีอาร์ซี, กอบชัย จิราธิวัฒน์ ซีอีโอ กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์, พิชัย จิราธิวัฒน์ ซีอีโอ กลุ่มค้าส่งหรือซีเอ็มจี, เกิร์ด สตีฟ ซีอีโอ กลุ่มโรงแรมหรือซีเอชอาร์, ธีระเดช จิราธิวัฒน์ ซีอีโอ กลุ่มอาหารหรือซีอาร์จี, สุทธิลักษณ์ จิราธิวัฒน์ ซีอีโอ ทางด้านอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มเซ็นทรัลหรือแลนด์แบงก์ และปริญญ์ จิราธิวัฒน์ ซีเอฟโอ การบริหารการเงินของกลุ่ม
โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลและบริหารของคณะกรรมการ ที่เรียกว่า ซูเปอร์ไวเซอร์บอร์ด (Supervisory Board/SB)
|