นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TUF เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดว่าปีนี้จะมีกำไรสุทธิเติบโตไม่น้อยกว่า 15-20%จากปี2552 ที่มีกำไรสุทธิ 3,344 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้จะไม่มีการตัดค่าใช้จ่ายในการปิดโรงงานที่อเมริกันซามัวจำนวน 568 ล้านบาทเหมือนเมื่อปีก่อน ขณะที่วางเป้ายอดขายในรูปเงินเหรียญสหรัฐเติบโต12%จากปีที่แล้วมียอดขายรวม 2,014 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้ปีนี้เป็นปีประวัติศาสตร์ที่มีรายได้และกำไรสุทธิสูงสุดนับตั้งแต่ ก่อตั้งบริษัทฯมาร่วม 20 ปี
สำหรับผลประกอบการTUF ในปี 2552 บริษัทฯมีรายได้รวมในรูปเงินเหรียญสหรัฐเท่ากับ 2,014 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากปีก่อน 3% ส่วนรายได้ในรูปเงินบาทเท่ากับ 68,995 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย สาเหตุจากราคาวัตถุดิบปลาทูน่าต่ำกว่าปีก่อน ทำให้ราคาสินค้าส่วนใหญ่ถูกลง ขณะที่ปี 2552 บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 3,344 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52% คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 3.79 บาท เพิ่มขึ้น 51%ซึ่งเป็นปีแรกที่บริษัทฯมีกำไรสุทธิเกิน2,300 ล้านบาท
โดยสัดส่วนยอดขายตามผลิตภัณฑ์ในปี 2552 ผลิตภัณฑ์ปลาทูน่ายังเป็นสินค้าหลักที่มีสัดส่วนการส่งออกถึง 44% ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัท ส่วนตลาดส่งออกหลักนั้นยังคงเป็นสหรัฐอเมริกา
ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ บริษัทฯยังเน้นการที่บริหารจัดการให้มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ บริหารสินค้าคงคลังให้น้อยกว่า 100 วันจากปีก่อนที่สินค้าคงคลังอยู่ที่ 108 วัน ส่วนวัตถุดิบอย่างราคาปลาทูน่าขณะนี้ได้ปรับตัวลดลงต่ำกว่า 1,000 เหรียญสหรัฐ/ตันแล้ว จากปลายปีก่อนที่ราคาปลาทูน่าปรับขึ้นไป
นอกจากนี้ ยังมีแผนเร่งควบรวม 2 บริษัทย่อยในสหรัฐฯให้แล้วเสร็จในกลางปีนี้ เพื่อให้เกิดSynergy ระหว่างกันส่งผลให้ต้นทุนการผลิตต่ำลง รวมทั้งมองหาลู่ทางการลงทุนใหม่และช่องทางการขยายธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโต โดยบริษัทฯมีความสามารถในการลงทุนถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจุบันมีอัตราหนี้สินต่อทุนค่อนข้างต่ำอยู่ที่ 0.7 เท่า ทั้งนี้ ในปี 2553 บริษัทฯกำหนดงบลงทุนไว้ 2,400 ล้านบาท แบ่งเป็น 1,200 ล้านบาทเพื่อใช้ลงทุนห้องเย็นขนาด 4 หมื่นตัน ส่วนที่เหลือเป็นการลงทุนปกติ
|