รัฐบาลฮ่องกงประสบความยุ่งยากใจอย่างหนักในการที่จะต้องตัดสินใจว่า จะปล่อยให้โอเวอร์ซีทรัสต์
แบงก์ (Overseas Trush Bank) ล้มหรือจะยอมทุ่นเงินมหาศาลประคับประคองเอาไว้
แม้เจ้าหน้าที่จะปรึกษาหารือเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ของธนาคารอย่างลับๆ ปัญหาอื่นๆ
ที่เกิดขึ้นก็คือ เมื่อพบว่าเงินฝากถูกใช้ไปอย่างไม่ถูกกฎหมาย จะทำอย่างไรจึงจะป้องกันไม่ให้ผู้ต้องสงสัยหนีออกนอกประเทศ
และจะหาวิธีอย่างไรป้องกันไม่ให้นักลงทุนเข้าใจผิดในข่าวลือที่เกิดขึ้นและหลงซื้อหุ้นเป็นจำนวนมาก
ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้ประชาชนตื่นตกใจเกินควร?
การเผชิญหน้ากับปัญหา
ตลอดสัปดาห์แห่งความวุ่นวายนั้น จบลงด้วยการที่รัฐบาลเข้ารับผิดชอบโอเวอร์ซีทรัสต์เมื่อวันที่
7 มิถุนายน ถึงแม้จะรู้มานานแล้วว่าธนาคารกำลังเผชิญปัญหาอันใหญ่หลวงซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้จนถึงกลางสัปดาห์
การที่รัฐบาลเข้ารับผิดชอบโอเวอร์ซีทรัสต์แบงก์ครั้งนี้ ก็มีเสียงโจทขานกันว่า
ก็คงจะเหมือนกับการกระโดดเข้ารับผิดชอบฮาง ลุง แบงก์ (Hang Lung Bank) เมื่อ
20 เดือนก่อนนั่นแหละ คือรัฐบาลก็ไม่มีปัญญาจะแก้ไขปัญหาอะไรได้
การตัดสินใจนาทีสุดท้ายที่จะเข้าไปแก้วิกฤตการณ์นั้น เจ้าหน้าที่ของรัฐประเมินว่า
จะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงถึง 2 พันล้านเหรียญฮ่องกง (ประมาณ 257.5 ล้านเหรียญอเมริกัน)
ในการฟื้นฟูโอเวอร์ซีส์ทรัสต์แบงก์ และบางทีอาจจะมากกว่านี้อีกถ้ามัวแต่ชักช้าเกินไปเพราะอาจขจะทำให้ประชาชนเกิดความสงสัยในสถานภาพของธนาคารแล้วเฮโลกันมาถอนเงิน
แต่การเข้ามารับผิดชอบของรัฐบาลก็ย่อมจะทำให้มีคำถามตามมาอีกว่า รัฐบาลจะทำอย่างไรเกี่ยวกับนโยบายการเงินของธนาคาร
จะแก้ไขปัญหาทางการเงินอย่างไร?
ถ้ามองในมุมกลับ การที่รัฐบาลเข้าไปรับผิดชอบในสถานการณ์ช้าเกินไปนั้น ฮาร์รี่
แฟง (Harry Fang) สมาชิกสภานิติบัญญัติคนหนึ่งเปิดเผยว่า เป็นเพราะมีการโหวตให้รัฐบาลยืดเวลาในการตัดสินใจไว้ก่อน
เพราะเห็นแล้วว่าการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสถานการณ์ในขณะนั้นมีทางให้เลือกน้อยเหลือเกิน
โรเบิร์ต เฟล (Robert Fell) คณะกรรมการสมาคมธนาคาร (Banking Commissioner)
ออกแรงโต้คำวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่า คณะกรรมการตรวจสอบบัญชีของโอเวอร์ซีส์แบงก์ใช้เวลาถึง
2 เดือน ซึ่งเป็นเวลาที่นานเกินไปโดยอ้างว่า มีใครรู้บ้างว่าบัญชีที่ยุ่งเหยิงสับสนอย่างนี้น่ะ
ควรจะใช้เวลานานสักเท่าไหร่
เจ้าหน้าที่กล่าวว่า ยังไม่แน่ใจว่าปัญหานี้จะยืดเยื้อไปถึงเมื่อไหร่ แต่จากการประเมินในปัจจุบัน
พบว่าเงินในธนาคารประมาณ 4 พันล้านเหรียญฮ่องกงได้สูญหายไปอย่างไม่เหมาะสม
ครึ่งหนึ่งของเงินนี้เชื่อว่าถูกนำไปใช้ในการเบิกเงินเกินบัญชี ระหว่างปี
1981-1982 และที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งเกิดจากการปล่อยสินเชื่อ
จากการตรวจสอบพบว่า ธนาคารไม่ได้ใส่ใจหรือหน่วงเหนี่ยวในเรื่องการเบิกเงินเกินบัญชีนี้เลย
แต่กรณีการปล่อยสินเชื่อนั้น พนักงานระดับสูง 4 คนของธนาคารชุดก่อนถูกจับกุม
ถูกกล่าวหาว่าพยายามปกปิดข้อเท็จจริงในรายงานของธนาคาร 2 คน คือ แพ็ทริค
ชาง (Patrick Chang) ลูกชายผู้ก่อตั้งโอเวอร์ซีทรัสต์ และชางหมิงเทียน (Chang
Ming Thien) ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการวางอุบายโกงเงินธนาคารจำนวน 450
ล้านเหรียญฮ่องกง
เจ้าหน้าที่ใช้ความพยายามอย่างมากในการเสาะหาลู่ทางติดตามเงินที่สูญหายไป
โดยการตรวจสอบทรัพย์สินของครอบครัวตระกูลชาง และสอบสวนจากผู้ที่คุ้นเคยกับครอบครัวนี้
มีการติดต่อกับธนาคารท้องถิ่นที่ครอบครัวตระกูลชางมีบัญชีอยู่ รัฐบาลไม่รู้มาก่อนว่าทรัพย์สินของครอบครัวนี้ถูกอายัดแล้วและไม่แน่ใจว่าเจ้าหน้าที่ที่สั่งยึดทรัพย์ทำไปเพื่ออะไรหรือว่าเพื่อรอให้ศาลสั่ง
ที่รู้แน่คือสมาชิกในครอบครัวนี้ไม่สามารถถอนเงินฝากได้ในระหว่างที่มีการดำเนินการสอบสวน
คำร้องขอถอนเงินที่ถูกธนาคารปฏิเสธไปรายหนึ่งจากบัญชีเงินฝากของตระกูลชางเป็นของ
ชาง ลี เซียน น้องสาวของแพ็ทริค ชาง ผู้จัดการบริหารธนาคารก่อนที่รัฐบาลจะเข้ารับผิดชอบ
ชางลี เซียน (Chang Lee Sian) ได้ยื่นคำร้องขอถอนเงินจากบัญชีครอบครัวชาง
เป็นเงินถึง 5 ล้านเหรียญอเมริกัน
จากการตรวจสอบไม่ปรากฏว่าเคยมีผู้หญิงคนไหนมีส่วนเกี่ยวข้องในการฉ้อโกงเงินของธนาคาร
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ธนาคารก็ปฏิเสธการจ่ายเงินหลังจากการหารือกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลแล้ว
และรัฐบาลไม่ปฏิเสธที่จะออกความเห็นในเรื่องนี้
รัฐบาลได้ทำการสอบสวนอย่างลับๆ มาก่อนที่โอเวอร์ซีทรัสต์แบงก์จะยอมรับภาวะหนี้สินท่วมท้นในวันที่
6 มิถุนายน และพบว่ามีผู้ต้องสงสัยว่ากระทำความผิดหลายคน แต่ยังไม่แน่ใจว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยบ้าง
ดังนั้นจึงมีคำสั่งในวันที่ 5 มิถุนายนเหวี่ยงแหรวมไปเลยว่า ห้ามคณะกรรมการทุกคนของแบงก์เดินทางออกนอกประเทศจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
มร.เฟล (Mr.Fell) ผู้ออกคำสั่งนี้อ้างถึงกฎของธนาคารแห่งชาติของฮ่องกงที่ให้อำนาจแก่ประธานกรรมาธิการธนาคาร
ในการบังคับธนาคารทั้งหลายว่าให้มีสิทธิ์ในการพิจารณาการกระทำใดๆ ก็ตามที่เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจของธนาคาร
และเพราะคำสั่งนี้ ทำให้ มร.ชาง ถูกจับที่สนามบินไคตั๊ก ในข้อหาพยายามหนีออกนอกประเทศหลังจากโอเวอร์ซีทรัสต์แบงก์ถูกเปิดเผยว่ามีหนี้ท่วมท้น
ข่าวเล่าลือเกี่ยวกับการที่รัฐบาลจะเข้ามาถือหุ้นในโอเวอร์ซีส์แบงก์ ทำให้นักลงทุนเข้าใจผิดระดมซื้อหุ้นกันเป็นการใหญ่เพราะหวังเก็งกำไรเนื่องจากเชื่อว่าธนาคารจะมั่นคงขึ้นเมื่อรัฐบาลเข้ามาถือหุ้น
การระดมซื้อหุ้นเกิดขึ้นในวันที่ 4 มิถุนายน สร้างความกระอักกระอ่วนใจให้รัฐบาลเป็นอันมาก
เพราะถ้าจะบอกให้ประชาชนทราบสถานการณ์ที่แท้จริงของโอเวอร์ซีทรัสต์แบงก์ซึ่งจะทำให้นักลงทุนหยุดการเก็งกำไร
ผลที่ตามมาก็คือประชาชนตื่นตกใจในความจริงที่ว่าธนาคารนี้กำลังจะล้ม ก็จะยิ่งก่อให้เกิดวิกฤตการณ์หนักยิ่งขึ้น
มร.เฟล พยายามอย่างยิ่งที่จะหาวิธีปกป้องนักลงทุนในตลาดหุ้น แต่ความพยายามนี้ไม่ประสบความสำเร็จ
เพราะขณะที่รัฐบาลซึ่งห่วงใยวิกฤตการณ์ของธนาคารพยายามดำเนินการอย่างลับๆ
ที่จะไม่ให้ธนาคารล้ม ข่าวที่รั่วออกไปว่ารัฐจะเข้าถือหุ้นในธนาคารก็ทำให้เกิดการเก็งไรและเกิดการปั่นหุ้นให้มีราคาสูงขึ้น
ถึงแม้ไม่แน่ใจว่าผู้จัดการธนาคารอื่นๆ จะมีส่วนร่วมด้วยหรือไม่ แต่เจ้าหน้าที่ก็มีเหตุผลที่จะเชื่อว่าความต้องการที่จะปล่อยหุ้น
อาจจะเป็นเหตุให้มีการปล่อยข่าวลือให้แพร่กระจายออกไป อย่างไรก็ตาม มร.เฟลก็สั่งให้ผู้จัดการของโอเวอร์ซีทรัสต์หยุดขายหุ้นทันที
แต่คำสั่งนี้ออกไปช้าเกินไป…เพราะมีการซื้อขายหุ้นกันอย่างกว้างขวางในวันที่
6 มิถุนายน คืนนั้นหลังจากตลาดหุ้นปิด และรัฐบาลยอมเปิดเผยว่า โอเวอร์ซีทรัสต์แบงก์มีหนี้ท่วมท้น
ปรากฏว่าหุ้นจำนวน 6.4 พันล้านในโอเวอร์ซีทรัสต์ซึ่งเพิ่งเพิ่มขึ้นถึง 7
เท่าตัว เพิ่งถูกเปลี่ยนมือเมื่อ 3 วันที่แล้ว รัฐบาลได้แต่แจ้งให้ผู้ถือหุ้นรายใหม่ว่า
พวกเขามีโอกาสได้รับเงินทดแทนเป็นจำนวนเล็กน้อย
ผู้ถือหุ้นรายหนึ่งคือ สิงคโปร์ ยูไนเต็ด โอเวอร์ซีส์แบงก์ (Singapore̕s
United Overseas Bank) ซึ่งถือหุ้นจำนวน 5.7 เปอร์เซ็นต์ในโอเวอร์ซีทรัสต์แบงก์ซึ่งเดิมมีมูลค่า
48 ล้านเหรียญฮ่องกง และได้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 60 ล้านเหรียญหลังจากรัฐบาลประกาศว่ามีหนี้สินท่วมท้น
ด้วยความห่วงใยในเงินจำนวนมากมายที่ต้องสูญเสียไป รัฐบาลสิงคโปร์ได้ส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงมาเจรจากับรัฐบาลฮ่องกงในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่รัฐบาลประกาศว่าจะเข้าควบคุมโอเวอร์ซีทรัสต์แบงก์
แต่หลังจากการหารือกันแล้ว คำตอบที่ได้รับจากรัฐบาลฮ่องกงก็คือข่าวร้ายเช่นเดียวกับผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ
ถ้าธนาคารโอเวอร์ซีทรัสต์ล้ม รัฐบาลฮ่องกงก็คือผู้เคราะห์ร้ายอันดับหนึ่ง
เพราะธนาคารแห่งนี้รับฝากเงินของหน่วยงานรัฐหลายแห่ง เช่น สภาเทศบาล มีเงินฝากอยู่ในธนาคารนี้
50 ล้านเหรียญฮ่องกงเช่นเดียวกับสภาการฝึกอาชีพซึ่งให้การศึกษาทางเทคโนโลยีต่างๆ
ซึ่งก็มีเงินฝากอยู่เป็นจำนวนมาก
ยังไม่รู้เลยว่า ยอดเงินฝากรายนี้ถูกถอนออกไปหรือเปล่า?