Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา กุมภาพันธ์ 2553
โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ ไกลเกินเอื้อมสำหรับประเทศไทย?             
โดย นภาพร ไชยขันแก้ว
 

   
related stories

ถึงเวลาที่โลกต้องตระหนัก!!
หลากทฤษฎีที่อธิบายความแปรปรวน
ธุรกิจ+สิ่งแวดล้อม
Gasification กระบวนการผลิตไฟฟ้าที่ทั้ง win-win และยั่งยืน
โซลาร์ฟาร์ม ธุรกิจใหม่ของกลุ่มบางกอก เคเบิล
Hydro Solar Wind ขาหยั่งที่ 3 ของกลุ่มสามารถ

   
search resources

Electricity




ประเทศไทยมีนโยบายสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์มาแล้ว ตั้งแต่เมื่อ 40 กว่าปีที่ผ่านมา แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ปรากฏเป็นรูปธรรมจวบจนทุกวันนี้ แผนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ยังอยู่ในระยะที่ 1 เท่านั้น

ความหวาดกลัวเกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์ที่คนไทยเคยได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับความไม่ปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นผลที่ตามมาจากการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่เมืองฮิโรชิมา และนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงปลาย ของสงครามโลกครั้งที่ 2 และการรั่วไหลของสารกัมมันตภาพรังสีจากโรงงานไฟฟ้า พลังงานนิวเคลียร์เชอร์โนบิล สหภาพโซเวียต ยังเป็นฝันร้ายที่ทุกคนไม่ลืมเลือน

จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นโยบายการก่อสร้างโรงงานผลิตไฟฟ้าจากพลังงาน นิวเคลียร์ในประเทศไทยไม่ก้าวหน้าไปถึงไหน แม้ว่าจะมีหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบพยายามชี้ให้เห็นถึงข้อดีของโรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์และยืนยันว่าสามารถควบคุมผลเสียได้

ล่าสุด สำนักพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ กระทรวงพลังงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคนิคและความปลอดภัยนิวเคลียร์ได้จัดงานสัมมนา รายงานความคืบหน้าการจัดตั้งโรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์และรับฟังความคิดเห็นของสื่อมวลชน

ชวลิต พิชาลัยรองผู้อำนวยการสำนักพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ กระทรวงพลังงาน เปิดเผยข้อมูลล่าสุดว่า ตามแผนพัฒนากำลังไฟฟ้า (พีดีพี) กำหนดว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์โรงแรกของไทยจะเกิดขึ้นในอีก 10 ปีข้างหน้า หรือปี พ.ศ.2563 ด้วยกำลังการผลิต 1,000 เมกะวัตต์ และโรงที่ 2 ผลิตอีก 1,000 เมกะวัตต์ ในปี 2564

ขณะนี้ได้มีการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานรองรับ ทั้งการว่าจ้างบริษัท Burns and Roe Asia จำกัด จากสหรัฐอเมริกาเป็นที่ปรึกษา เพื่อเลือกพื้นที่ที่เหมาะสม จากการเสนอพื้นที่รอบแรก 14 แห่ง จะคัดเหลือ 5 แห่งในกลางปี 2553 หลังจากนั้นจะมีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอ จนคัดเหลือ 3 แห่ง

สำหรับพื้นที่เพื่อใช้สร้างโรงงานผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์จะต้องใช้ประมาณ 600-1,000 ไร่ต่อการผลิตไฟฟ้า 1,000 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นการใช้พื้นที่มากกว่าโรงงานผลิตไฟฟ้าทั่วไป

ตามแผนดำเนินงานโครงการพลังงานนิวเคลียร์ของ กฟผ. แบ่งออก 4 ระยะ คือ

ระยะที่ 1 (ปี 2551-ปี 2553) เวลา 3 ปี เตรียมโครงการ

ระยะที่ 2 (ปี 2554-ปี 2556) เวลา 3 ปี ขอใบอนุญาตก่อสร้างเพื่อดำเนินโครงการ

ระยะที่ 3 (ปี 2557-2562) เวลา 6 ปี ดำเนินการก่อสร้าง

ระยะที่ 4 (ปี 2563-2564) เริ่มดำเนินการเดินเครื่อง

จะเห็นว่าปัจจุบันแผนสร้างโรงงาน ไฟฟ้ายังอยู่ในระยะที่ 1 เท่านั้น และหลังจากนี้ไปอีก 1 ปี การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจะทำหน้าที่ศึกษาต้นทุน แหล่งเงินทุน เลือกเทคโนโลยี และทำความเข้าใจกับประชาชนในท้องถิ่น

หลังจากนั้นในต้นปี 2554 จะเข้าสู่แผนระยะที่ 2 ซึ่งจะนำเสนอแผนงานให้กับคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรีอนุมัติต่อไป

แผนงานสร้างโรงงานจะผ่านการพิจารณาจากคณะผู้บริหาร 2 กลุ่มนี้หรือไม่ ไม่ได้พิจารณาจากประโยชน์ของพลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นลำดับแรกๆ แต่จะพิจารณาว่าประชาชนในท้องถิ่น หรือในพื้นที่ที่โรงงานจะเข้าไปก่อตั้งยอมรับเพียงใด หากไม่ยอมรับ แผนการสร้างโรงงานไฟฟ้ามีความเป็นไปได้อาจจะล้มเหลว

จึงทำให้ในปีนี้ สำนักพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ได้งบประมาณ จากกองทุนพัฒนาไฟฟ้าจำนวน 115 ล้านบาท เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลกับประชาชน

การสร้างความรู้ความเข้าใจต่อชุมชนท้องถิ่นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แม้ว่าตลอดระยะเวลากว่า 1 ปีที่ผ่านมาได้เข้าไปสัมมนาในชุมชนหลายแห่ง มีทั้งยอมรับและต่อต้านอย่างจริงจัง นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเอ็นจีโอเป็นแนวร่วมกับคนท้องถิ่น ยิ่งทำให้รัฐทำงานยากมากขึ้น

แม้ว่าทั่วโลกมีแนวโน้มสร้างโรงงานพลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์เพิ่มมากขึ้น เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีนมีโรงงาน 21 แห่ง ญี่ปุ่น 53 แห่ง เกาหลีใต้ 18 แห่ง อินเดีย 18 แห่ง ฝรั่งเศส 59 แห่ง และสหรัฐอเมริกา 104 แห่ง

ปัจจุบันทั่วโลกมีโรงงานทั้งหมด 437 แห่ง โลกใช้พลังงานนิวเคลียร์ร้อยละ 15

อภิสิทธิ์ ปัจฉิมพัทธพงษ์ วิศวกรระดับ 5 กฟผ. เล่าว่าในการประชุมอาเซียน ได้พูดถึงแผนสร้างโรงงานพลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์โรงแรกของ 3 ประเทศ ที่จะเกิดขึ้น ในปี 2563 คือประเทศไทยมีเป้าหมายผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ 2,000 เมกะวัตต์ ประเทศเวียดนามมีแผนผลิต 4,000 เมกะวัตต์ และประเทศอินโดนีเซียมีแผนผลิต 2,000 เมกะวัตต์

แต่คาดว่าประเทศเวียดนามจะเป็นประเทศแรกที่มีโรงงานพลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์ เพราะได้รับอนุมัติจากภาครัฐให้เริ่มดำเนินการแล้ว

เหตุผลจำเป็นที่หน่วยงานภาครัฐพยายามผลักดันให้เกิดโรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขึ้นนั้น เป็นเพราะว่ารัฐต้องการชี้ให้เห็นสถานการณ์วิกฤติการขาด แคลนพลังงานในอนาคต โดยเฉพาะประเทศไทยพึ่งพิงการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติถึงร้อยละ 70 ในขณะที่ก๊าซธรรมชาติจะหมดภายใน 25 ปีข้างหน้า

ก๊าซธรรมชาติร้อยละ 70 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นก๊าซธรรมชาตินำเข้าจากพม่า 1 ใน 3 และในปี 2554 รัฐยังเซ็นสัญญาซื้อไฟฟ้าจากพม่าและลาวอีก ถือเป็นแผนเฉพาะหน้าที่ประเทศไทยไม่ได้สร้างโรงงานไฟฟ้าใหม่ขึ้น เพื่อพึ่งพาตนเอง

ผลกระทบของความล่าช้าในการก่อสร้างโรงงานพลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์ยังทำให้งบประมาณการก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าตัว คือโรงงาน 1 แห่ง ผลิตไฟฟ้านิวเคลียร์ 1,000 เมกะวัตต์ จะต้องใช้งบประมาณ 1 แสนล้านบาท จากต้นทุนเดิมไม่กี่พันล้านบาท

แต่สำนักพัฒนาโครงการโรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ได้ชี้ให้เห็นถึงจุดเด่นของต้นทุนการผลิตไฟฟ้าเปรียบเทียบระหว่างต้นทุนพลังงานนิวเคลียร์กับพลังงาน ทดแทน

ต้นทุนพลังงานนิวเคลียร์ยิ่งผลิตมาก ราคาต่อหน่วยจะถูกลง คือกำลังการผลิต 1,000 เมกะวัตต์ มีต้นทุน 2.45 บาท ต่อหน่วย

ปรีชา การสุทธิ์ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคและความปลอดภัยนิวเคลียร์ได้ชี้ให้เห็นว่าพลังงานนิวเคลียร์สามารถสร้างพลังงานไฟฟ้าได้อย่างมหาศาล เพราะเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตพลังงานไฟฟ้าเป็นแร่ยูเรเนียม แร่ยูเรเนียม 1 กิโลกรัมสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 3 แสนยูนิต และแร่ยูเรเนียมยังสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก

ขณะที่ถ่านหิน 1 กิโลกรัม ผลิตกระแสไฟฟ้าได้เพียง 3 ยูนิต

ปรีชาชี้ให้เห็นแหล่งวัตถุดิบจำนวน มากมีขายหลายประเทศ เช่น ประเทศ ออสเตรเลีย ปากีสถาน ไนจีเรีย รัสเซียคาซัคสถาน จีน

ในปี 2553 มีการประเมินทิศทางการใช้พลังงานในประเทศไทย ในขณะที่จีดีพีโตอยู่ในระดับร้อยละ 3-4 จะมีการใช้น้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มร้อยละ 1.7 ก๊าซธรรมชาติเพิ่มร้อยละ 5.1 ลิกไนต์และถ่านหินนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 และใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 4

พลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์แม้จะเป็นพลังงานทางเลือกใหม่ก็ตาม แต่ระดับผู้บริหารระดับนโยบายของรัฐยังไม่ได้แสดงท่าทีชัดเจนกับเรื่องนี้ จึงทำให้ความหวังของหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบได้แต่บอกว่า เป็นการทำงานที่เรียกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา

เหมือนดังเช่นงานสัมมนาของสำนักพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ กระทรวงพลังงาน ที่จัดขึ้นเมื่อปลายเดือน มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งกำหนดวาระเอาไว้ว่า จะมีณอคุณ สิทธิพงศ์ รองปลัดกระทรวงพลังงานมาร่วมเปิดงาน แต่ท้ายที่สุด ณอคุณ สิทธิพงศ์ก็ไม่ได้ร่วมงาน ไม่มีแม้แต่รัฐมนตรีจากกระทรวง 3 แห่งที่มี หน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในการผลักดันโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ คือกระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโน โลยี และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มาร่วมด้วยแต่อย่างใด

ทำให้ชวลิต พิชาลัยรองผู้อำนวยการสำนักพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ยกคำกล่าวของพระมหาชนกมาเปรียบเปรยการทำงานในหน่วยงานแห่งนี้ว่า

"แม้ว่าจะว่ายน้ำไม่เห็นเป้าหมาย แต่ก็ต้องว่ายต่อไป"   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us