แนวคิดพื้นฐานของเทคนิคเดลฟายนี้เกิดขึ้นมาจากสาเหตุใหญ่ๆ 2 ประการด้วยกันคือ
ประการแรก สิ่งที่เป็นปกติสำหรับนักบริหารก็คือความจำเป็นจะต้องตัดสินใจในการวางแผนล่วงหน้าอยู่เสมอ
ภายใต้ทรัพยากรอันจำกัด ให้ทำนายหรือคาดคะเนเกี่ยวกับตลาดสินค้าล่วงหน้า
หรือวิธีการเพิ่มศักยภาพในการขาย หรือรับกลยุทธ์ของหน่วยงาน เป็นต้น ซึ่งในเรื่องเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยเทคนิคการวิจัยเข้ามาช่วย
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นใน 2 ลักษณะคือ การวิจัยเชิงปริมาณ ซึ่งต้องอาศัยสถิติที่ยากและสูง
เวลาที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลที่ยาวนาน ค่าใช้จ่ายที่สูง รวมทั้งความซับซ้อนอื่นๆ
กับการวิจัยเชิงคุณภาพซึ่งอาศัยสารสนเทศที่ค่อนข้างจะเป็นอัตนัย (subjective
information) ซึ่งในปัจจุบันมักจะนิยมใช้วิธีนี้โดยการสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญหรือนักบริหารที่มีประสบการณ์และเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ
โดยตรงแต่ก็มีปัญหาว่าผู้เชี่ยวชาญหรือนักบริหารที่มีชื่อเสียงและบุคลิกภาพบางอย่างที่ทำให้กลุ่มไม่กล้าแสดงความคิดเห็นกลายเป็นปัญหาว่า
ผลการวิจัยที่ออกมาเป็นเพียงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญหรือนักบริหารบางคนเท่านั้น
ประการที่สอง สิ่งที่ผู้บริหารเกี่ยวข้องมากที่สุดคือ เรื่องการตัดสินใจในปัญหาต่างๆ
ในแต่ละวัน ซึ่งจะทำในรูปของการประชุม ซึ่งต้องใช้ระยะเวลานานมาก และบางครั้งในการเสนอความคิดเห็นยังต้องมีการเผชิญหน้ากันทำให้เกิดความเกรงอกเกรงใจ
ไม่กล้าที่จะแสดงความคิดเห็น หรือบางครั้งก็ไม่สู้เต็มใจที่จะแสดงความคิดเห็น
เพราะจะเกิดการโต้เถียงระหว่างกันและกันขึ้น ซึ่งทำให้เกิดกระทบกระเทือนกันระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อหลีกเลี่ยงสาเหตุใหญ่ๆ 2 ประการดังกล่าว เทคนิคเดลฟายสามารถใช้ในการแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี
เพราะผู้บริหารหรือผู้เชี่ยวชาญไม่ต้องพบหน้ากันและไม่ทราบว่าใครเป็นผู้บริหารหรือผู้เชี่ยวชาญบ้าง
ไม่เสียเวลาในการทำงานที่จะต้องเดินทางมาประชุม ทั้งยังทำให้ได้ความคิดเห็นที่ถูกต้องและเชื่อถือได้มากที่สุด
ความเป็นมา
การใช้ข้อมูลจากกลุ่มความคิดเห็นของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญหรือเทคนิคเดลฟายนี้
ได้เริ่มขึ้นอย่างมีระบบในปี พ.ศ.2495 แต่ได้ถูกปิดเป็นความลับมาตลอดเนื่องจากกองทัพอากาศอเมริกันได้ใช้เทคนิคนี้ในการศึกษาและวิจัยสิ่งต่างๆ
(1:2522) และได้รับการพัฒนาโดยนักวิจัยบริษัทแรนด์ (Rand Cooperation)
ซึ่งโอลาฟเฮลเมอร์ (Olaf Helmer) และนอร์แมน ดังคี (Norman Dalkey) ทั้งคู่ได้เขียนบทความเรื่อง
“An Experimental Application of The Delphi Methold to the Use of
Experts” ลงในวารสาร Management Sceince ปีที่ 9 ฉบับที่ 3 เดือนเมษายน
2506 (2: 2523) ซึ่งทำให้เทคนิคเดลฟายแพร่หลายไปอย่างกว้างขวาง
ความหมาย
เทคนิคเดลฟาย เป็นการมุ่งที่จะรวบรวมข้อมูลด้านความคิดเห็นและการตัดสินใจที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของกลุ่มคน
(นักธุรกิจ นักบริหาร นักการตลาด ฯลฯ) ในเรื่องที่เกี่ยวกับเวลา ปริมาณ และ/หรือ
สภาพการณ์ต่างๆ ที่เป็นไปได้ หรือต้องการให้เป็นไปในอนาคต
คุณลักษณะของเทคนิคเดลฟาย
1. เทคนิคนี้มุ่งแสวงหาข้อมูลด้านความคิดเห็นจากกลุ่มนักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญใน
เรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยไม่ได้รับอิทธิพลหรือผลกระทบจากลักษณะเด่นของนักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญบางคนในการตัดสินใจ
กล่าวคือ นักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญบางคนในการตัดสินใจ กล่าวคือ นักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ
2. เทคนิคเดลฟายนี้ได้ข้อมูลมาจากการตอบแบบสอบถาม ดังนั้น นักบริหารหรือผู้
เชี่ยวชาญที่ได้รับการคัดเลือกในการวิจัยหรือเข้าร่วมประชุม่ต้องตอบแบบสอบถามตามที่กำหนดครบทุกขั้นตอน
ซึ่งปกติแบบสอบถามจะมี 3-4 รอบ โดยรอบที่ 1 มักจะเป็นแบบสอบถามปลายเปิด และในรอบต่อๆ
ไปจะเป็นแบบสอบถามในลักษณะมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scales) อาจจะเป็น
1-5 สเกล หรือ 1-6 สเกล เป็นต้น
3. เพื่อให้นักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนตอบแบบสอบถามด้วยความคิดเห็นที่กลั่น
กรองอย่างละเอียดรอบคอบ และเพื่อให้คำตอบที่ได้รับมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันยิ่งขึ้น
ผู้วิจัยหรือทีมงานที่รับผิดชอบจะแสดงความคิดเห็นที่นักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญเห็นสอดคล้องกันในคำตอบ
แต่ละข้อของแบบสอบถามที่ตอบไปในครั้งก่อนและความคิดเห็นที่สอดคล้องกันจะแสดงในรูปสถิติ
โดยจะส่งกลับให้นักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนว่าจะตัดสินใจคงคำตอบเดิมหรือปรับปรุงแก้ไข
(ถ้าปรับปรุงต้องระบุเหตุผลด้วย) ดังนั้น การตอบแบบสอบถามแต่ละครั้งนักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนนั้นจะทราบว่าความคิดเห็นของเขาเป็นอย่างไร ต่างกับคนอื่นหรือไม่ อย่างไร
(2 : 2523)
4. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่สถิติเบื้องต้น ซึ่งง่ายแก่การคิดคำนวณ
คือ การวัด
แนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง ได้แก่ ฐานนิยม (Mode) มัธยฐาน (Median) หรือค่าเฉลี่ย
(Mean) ซึ่งบางครั้งอาจใช้ร่วมกับค่าพิสัยระหว่างควอไตล์ (Interquartile
Range)
ขั้นตอนการวิจัยโดยใช้เทคนิคเดลฟาย
รายละเอียดในเรื่องนี้จะกล่าวถึงกระบวนการที่สำคัญของเทคนิคเดลฟาย การเลือกและจำนวนผู้เชี่ยวชาญหรือนักบริหารที่เข้าในโครงการ จุดเด่นและจุดด้อยของเทคนิคเดลฟาย และการนำเทคนิคเดลฟายไปใช้
กระบวนการที่สำคัญของเทคนิคเดลฟาย
เทคนิคเดลฟายจุดสำคัญอยู่ที่การใช้ชุดของแบบสอบถาม เนื่องจากเทคนิคนี้เป็นกระบวนการวิจัยที่ใช้ความคิดเห็นของนักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญเป็นเกณฑ์สำคัญ
ดังนั้นเพื่อให้ได้ความคิดเห็นที่ถูกต้อง แน่นอน จึงต้องมีการถามย้ำกันหลายครั้ง
โดยใช้ชุดของแบบสอบถามดังกล่าว ซึ่งมีลักษณะดังนี้
แบบสอบถามฉบับแรก มักจะเป็นคำถามปลายเปิด ซึ่งให้ผู้ตอบตอบในสองประเด็นกว้างๆ
โดยมีจุดมุ่งหมายของการถามแบบถามปลายเปิดนี้ เพื่อจะเก็บรวบรวมความคิดเห็นของกลุ่มนักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด
แบบสอบถามรอบที่ 2 เป็นแบบสอบถามที่พัฒนามาจากคำตอบในการสอบถามครั้งแรกโดยการนำความคิดเห็นทั้งหมดที่ได้รับจากกลุ่มนักบริหาร
หรือผู้เชี่ยวชาญในการตอบรอบแรกมาสร้างให้อยู่ในรูปประโยคหรือข้อความที่เกี่ยวกับปัญหาหรือหัวข้อที่ต้องการจะศึกษา
ในการสอบถามรอบที่ 2 กลุ่มนักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญอาจต้องลงมติ จัดอันดับความสำคัญ หรือให้เปอร์เซ็นต์ (อัตราร้อยละ) ตามความสำคัญในแต่ละประโยคหรือข้อคำถาม การตอบอาจจะอยู่ในรูปของการให้เปอร์เซ็นต์หรือมาตราส่วนประมาณค่าหรือเป็นคะแนนก็ได้
แบบสอบถามรอบที่ 3 ผู้วิจัยจะพัฒนาแบบสอบถามรอบนี้ขึ้นมาจากการวิเคราะห์คำตอบในแบบสอบถามรอบที่ 2 และแบบสอบถามในรอบนี้จะประกอบไปด้วยประโยคหรือข้อความที่เหมือนกันกับในแบบสอบถามในรอบที่ 2 แต่ได้มีการแสดงถึงตำแหน่งค่ามัธยฐานหรือค่าเฉลี่ยและอาจมีค่าพิสัยระหว่างควอไตล์ของแต่ละคำถาม
รวมทั้งตำแหน่งที่นักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญคนนั้นๆ ตอบในแบบสอบถามในรอบที่
2 และส่งกลับไปให้นักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญคนนั้นได้ตอบกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
แบบสอบถามในรอบนี้จะแสดงให้เห็นว่า คำตอบเดิมในรอบที่ 2 ของนักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนเป็นอย่างไร
มีความแตกต่างไปจากค่ามัธยฐาน และค่าพิสัยระหว่างควอไตล์ของคำตอบทั้งหมดอย่างไร
พร้อมกับให้นักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญพิจารณาว่ามีความเห็นด้วยกับตำแหน่งที่กลุ่มนักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญเห็นสอดคล้องต้องกันหรือไม่
โดยการทบทวนและพิจารณาคำตอบของเขาอีกครั้ง ซึ่งอาจจะเปลี่ยนแปลงคำตอบของเขาใหม่หรือจะยังคงยืนยันคำตอบเดิมของตนเองก็ได้
ในกรณีที่คำตอบของนักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญคนใดคนหนึ่งออกไปนอกช่วงของกลุ่มที่ตอบมา
ก็จะได้รับการขอร้องให้แสดงเหตุผลในการตอบด้วย
ตามปกติเทคนิคเดลฟายนี้จะใช้แบบสอบถาม 4 รอบด้วยกัน แต่ในบางกรณีอาจใช้เพียง
2-3 รอบเท่านั้น เพราะอาจไม่มีหรือมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมากในการตอบของนักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญกระบวนการวิจัยก็สมควรยุติได้
หรืออาจทำวิธีลัดโดยในคำถามรอบแรก อาจใช้การสัมภาษณ์หรือศึกษาแนวทางต่างๆ
มาเป็นกรอบ (Frame) แล้วสรุปเป็นแบบสอบถามในรอบที่ 2 เลยก็ได้ การเลือกและจำนวนนักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญ
นักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการเลือกให้เข้ามาร่วมในโครงการนี้
จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่จะศึกษาเป็นอย่างดีจะทำให้ผลการวิจัยถูกต้องและเชื่อถือได้สูง
สำหรับจำนวนนักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญนั้นไม่ได้กำหนดแน่นอนลงไปตายตัว
แต่โธมัสที แมคคิลแลน (อ้างจาก 1: 2522) ได้เสนอผลการวิจัยเกี่ยวกับจำนวนนักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่ 17 คนขึ้นไป อัตราการลดลงของความคลาดเคลื่อนจะมีน้อยมาก ดังตารางต่อไปนี้
ตาราง แสดงการลดลงของความคลาดเคลื่อน
ของจำนวนนักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญที่เข้าร่วมโครงการ
จำนวนนักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญ
|
ช่วงความคลาดเคลื่อน
|
ความคลาดเคลื่อนลดลง
|
1-5
|
1.20-0.70
|
0.50
|
5-9
|
0.70-0.58
|
0.12
|
9-14
|
0.58-0.54
|
0.04
|
14-17
|
0.54-0.50
|
0.04
|
17-21
|
0.50-0.48
|
0.02
|
21-25
|
0.48-0.46
|
0.02
|
25-29
|
0.46-0.44
|
0.02
|
จุดเด่นและจุดด้อยของเทคนิคเดลฟาย
จุดเด่น
1. สามารถใช้ในการรวบรวมหาความสอดคล้องของความคิดเห็นของนักบริหารหรือผู้
เชี่ยวชาญได้โดยไม่ต้องจัดให้นักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญพบกันซึ่งเป็นการสิ้นเปลือง
และยากที่จะกระทำได้เพราะนักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนมีภาระหน้าที่การงานมากอยู่แล้ว
2. ความคิดเห็นของนักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนเป็นอิสระและไม่มีอิทธิพลหรือผล
กระทบจากนักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ทั้งยังไม่มีใครทราบว่ามีใครบ้าง
และนักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญจะรู้เฉพาะคำตอบของตนเองเท่านั้น
3. เนื่องจากมีการตอบแบบสอบถามหลายครั้ง คำตอบที่ได้รับจึงมีความเชื่อถือได้ของ
ข้อมูลค่อนข้างสูง เพราะผ่านการพิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนมาหลายครั้ง
4. เทคนิคเดลฟายสามารถนำไปปรับใช้ได้กับนักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญเป็นจำนวนมาก
โดยไม่มีข้อจำกัดด้านสภาพภูมิศาสตร์
5. ค่าใช้จ่ายในด้านดำเนินการค่อนข้างต่ำ
จุดด้อย
1. ความเชื่อถือได้ของการวิจัยขึ้นอยู่กับวิธีการหรือเกณฑ์ในการคัดเลือกนักบริหารหรือผู้
เชี่ยวชาญเป็นสำคัญ
2. การให้นักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญตอบแบบสอบถามหลายรอบ อาจทำให้ขาดความ
ร่วมมือ เบื่อหน่าย ซึ่งมีผลต่อความเชื่อถือได้ของข้อมูล
3. ระยะเวลาของแบบสอบถามในแต่ละรอบ ถ้าทิ้งช่วงห่างกันมากหรือนานเกินไป
อาจ
ทำให้ข้อมูลขาดความต่อเนื่อง เนื่องจากนักบริหารหรือผู้เชี่ยวชาญอาจจะลืมคำตอบในรอบแรกๆ
การนำเทคนิคเดลฟายไปใช้
1. จัดตั้งกลุ่มหรือคณะทำงาน (บุคคลหรือกลุ่มคนที่จะเป็นผู้บันทึกผลข้อมูล)
ในการ
ร่วมมือกับผู้ตัดสินใจในการบริหารหรือการวิจัยเพื่อพัฒนาชุมชนของแบบสอบถามในตอนเริ่มแรก
2. แบบสอบถามจะถูกส่งไปยัง “กลุ่มผู้ตอบ บางที่จะเป็นตัวแทนบริษัท
และผู้จัด
การฝ่าย” ซึ่งเป็นผู้ได้รับการคัดเลือกให้เข้ามามีส่วนร่วมโดยเฉพาะ เนื่องด้วยประสบการณ์หรือความรู้ความสามารถในปัญหาซึ่งเขามีความชำนาญอยู่
3. ผู้ตอบมีอิสระอย่างเต็มที่ในการตอบแบบสอบถาม และก็ส่งกลับคืนมายังกลุ่มหรือ
คณะทำงาน
4. กลุ่มหรือคณะทำงานจะพัฒนาแบบสอบถามในรอบที่ 2 ซึ่งได้สรุปผลรวมของคำ
ตอบจากแบบสอบถามในรอบที่ 1 แล้วส่งให้กลุ่มผู้ตอบ
5. ผู้ตอบแต่ละคนจะมีอิสระในการพิจารณาคำตอบของตนเองในครั้งก่อน เมื่อจัด
อันดับในครั้งนี้เสร็จแล้วก็ส่งกลับคืนมายังกลุ่มหรือคณะทำงาน
6. กลุ่มหรือคณะทำงาน สรุปรวมผล และดำเนินการนำเสนอรายงานของผลการตัดสิน
ใจที่ได้มา
ถ้าหากการดำเนินการเพียง 2 รอบ แล้วผลไม่แตกต่างจากความคิดเห็นของผู้ตอบคนอื่น
ก็สมควรยุติขบวนการได้ แต่ถ้าแตกต่างกันมากจึงดำเนินการในรอบต่อไป แต่ปกติมักทำเพียง
2-3 รอบเท่านั้น