Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTVผู้จัดการรายวัน5 กุมภาพันธ์ 2553
หุ้นร่วงยาวเฮดจ์ฟันด์ขายทิ้ง             
 


   
search resources

Stock Exchange




บล.ทิสโก้ ชี้ เฮดจ์ฟันด์เล็งทิ้งหุ้นทั่วโลก หลังธนาคารกลางทุกประเทศเริ่มดึงเม็ดเงินอัดฉีดกลับหลังหนี้สาธารณะโต และขาดดุลการคลังเป็นจำนวนมาก คาดปีนี้ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 5 หมื่นล้านบาท “วิวัฒน์”เผย ดัชนีปีนี้แตะจุดสูงสุดไปแล้วเมื่อม.ค.ที่ผ่านมา เชื่อจากนี้เป็นขาลง แต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นระยะสั้นได้อีก 2 ครั้ง คือมี.ค. และ ธ.ค. ส่วนจุดต่ำสุดอยู่ช่วงก.ย.ที่ 550 จุด แนะนำนักลงทุนจับจังหวะการลงทุนเหมาะสมถึงจะได้รับตอบแทนดี ขณะที่แนวโน้มดัชนีวันนี้(5ก.พ.)ก็ยังลงต่อ

นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้ากลยุทธ์การลงทุนและผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและลูกค้าส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วเมื่อช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ที่ระดับ 750 จุด ซึ่งจากนี้ตลาดหุ้นไทยจะเป็นทิศทางปรับตัวลดลง แต่เป็นการปรับตัวลดลงทั่วโลก เนื่องจาก ธนาคารกลางของทุกประเทศจะหยุดอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจและดึงม็ดเงินกลับจากที่ปัจจุบันมีหนี้สาธารณะต่อจีดีปีจำนวนมาก และมีการขาดดุลการคลังที่สูง จึงทำให้ กองทุนเก็งกำไรระยะสั้น (เฮดจ์ฟันด์)จะมีการขายหุ้นออกมา เพื่อถือเงินสด รวมถึงปีที่ผ่านมาดัชนีได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงถึง 88% จึงมีการขายทำกำไรออกมา ทำให้คาดว่าปีนี้นักลงุทนต่างประเทศจะมีการขายสุทธิ 50 ,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ดัชนีจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นระยะสั้นในช่วง มีนาคม ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 720 จุด เพื่อรับข่าวการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียน แต่หลังจากเดือนมีนาคมหุ้นจะลงอีก 7 เดือน เนื่องจาก ทิศทางอัตราดอกเบี้ยจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเพื่อป้องกันเงินเฟ้อมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยจะเห็นประเทศในเอเซียจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยก่อนประมาณเดือนเม.ย.-พ.ค. จึงคาดว่าดัชนีต่ำสุดปีนี้อยู่ในสิงหาคม ถึง กันยายน อยู่ที่ จุด 550 จุด และจะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงธันวาคม เพราะ รับข่าวดีจากภาพรวมเศรษฐกิจที่มีการฟื้นตัว

“ปีนี้จะแปลก คือ เศรษฐกิจฟื้นตัวดี บจ.มีการจ่ายเงินปันผลเยอะ แต่หุ้นตก เพราะ ธนาคารทุกประเทศออกนโยบายดึงเงินกลับหลังจากปีที่ผ่านมาได้มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบจำนวนมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้มีการลงทุนในธุรกิจ แต่ไม่สามารถนำไปลงทุนได้ จึงนำเงินไปลงทุน หุ้น ทองคำ น้ำมันฯลฯ แต่จากที่ปัจจุบันหนี้สาธารณของทุกประเทศมีสูงขึ้นและมีการขาดทุนการคลังจึงต้องดึงเงินกับทำให้เฮดจ์ฟันด์ต่างๆมีการขายหุ้นออกมาเพื่อถือเงินสด ส่วนประเด็นการเมืองนั้นมีผลกระทบน้อยต่อตลาดหุ้นไทยปีนี้”นายวิวัฒน์ กล่าว

สำหรับการลงทุนในปีนี้ นักลงทุนจะต้องลงทุนในจังหวะที่เหมาะสมถึงจะได้รับผลตอบแทนที่ดี ไม่ใช่ประเด็นในการเลือกหุ้นในการลงทุน จากทิศทางตลาดหุ้นจะมีการปรับตัวลดลงนั้น บริษัทแนะนำให้นักลงทุนมีการขายหุ้นออกมาก่อนในช่วงนี้ เพื่อไปเตรียมช้อนซื้อหุ้นวันที่ 22-26 กุมภาพันธ์ ซึ่งคาดว่าดัชนีจะปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 660-680 จุด จากที่จะมีการตัดสินคดียึดทรัพย์อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อรอไปขายในเดือนหน้า

นายวิวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทคาดว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นปีนี้จะอยู่ที่ 5% เป็นทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นเอเซียและประเทศเกิดใหม่ ขณะที่ผลตอบแทนตลดาหุ้นสหรัฐและยุโรป จะอยู่ที่ 5-10% ในปีนี้ และคาดว่าบจ.ปีนี้จะเติบโตของกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 14-15% ส่วนเศรษฐกิจในปีนี้คาดว่าจะโต 3.9% จากปีก่อนที่ลบ 3% และคาดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)จะมีการขึ้นดอกเบี้ยปีนี้ 1% ทำให้อัตราดอกเบี้ยสิ้นปีอยี่ 2.25% คาดว่าจะเริ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคม0.25% ก่อน โดยคาดว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้จะโต 3.9% จากปีก่อนที่ติดลบ 1.1%

สำหรับประเด็นที่นักลงทุนจะต้องมีการติดตามคือการยกเลิกและผ่อนคลายนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ความมั่นคงของฐานะการเงินของประเทศต่างๆจากปัจจุบันที่มีระดับภาระหนี้ที่สูง โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มยุโรป ซึ่งจะทำให้ถูกปรับลดอันดับเครดิตของประเทศในการระดมทุนผ่านตราสารหนี้ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในประเทศแถบเอเชีย เสถียรภาพของรัฐบาลไทย ซึ่งอาจส่งผลกระทต่อการเบิกจ่ายงบประมาณตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ และความล่าช้าในการแก้ไขปัญหามาบตาพุด

**ตลาดหุ้นไทยวันนี้ส่อลดลงต่อ

ด้านความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยวานนี้ (4ก.พ.) ปิดที่ระดับ 702.52 จุด ลดลง 5.13 จุด หรือ 0.72% มูลค่าการซื้อขาย 14,380.59 ล้านบาท ภาพรวมเป็นการปรับฐาน รับแรงขายทำกำไร หลังภาวะการลงทุนทั่วเอเชีย-ยุโรปไม่ค่อยเอื้อ โดยตลาดภูมิภาคปรับตัวลงเฉลี่ย 1% จากแรงขายทำกำไรออกมาค่อนข้างหนาแน่น ทั้งนี้ระหว่างวันดัชนีแตะจุดสูงสุดที่ 708.51 จุด ส่วนดัชนีจุดต่ำสุดที่ 702.01 จุด

น.ส.มยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับฐานลงหลังจากที่เมื่อวานนี้ได้ขึ้นไป 11 จุดกว่า ๆ ซึ่งตลาดหุ้นรับแรงขายทำกำไรออกมา ขณะเดียวกันในช่วงบ่ายวานนี้ภาวะการลงทุนทั่วเอเชีย และยุโรปดูไม่ค่อยเอื้อ โดยตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียปรับตัวลงเฉลี่ย 1% เพราะมีแรงขายทำกำไรกันออกมาค่อนข้างหนาแน่น

ล่าสุดทางมูดี้ส์ฯออกมาพูดว่ากำลังพิจารณา rating ของสหรัฐฯ ทำให้เป็นแรงกดดันให้ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ปรับตัวลง และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯเวลานี้เริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นอีกแล้ว ซึ่ง Sentiment โดยรวมในวันนี้ดูไม่ค่อยจะดีนัก สำหรับปัจจัยการเมืองยังคงกดดันตลาดฯต่อไป

ดังนั้น แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(5 ก.พ.) ตลาดฯคงจะอ่อนตัวลงต่อ ซึ่งคนคงจะรอดูตัวเลขการว่างงานของสหรัฐฯที่จะประกาศในคืนวันพรุ่งนี้ พร้อมให้แนวรับไว้ที่ 700, 695, 690 จุด แนวต้าน 705, 710 จุด   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us