Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤษภาคม 2528








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤษภาคม 2528
การประชาสัมพันธ์ของรัฐบทเรียนอีกบทหนึ่งที่คงจะรู้กันแล้วแต่ก็คงจะไม่จำกัน             
 


   
search resources

สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ,จอมพล
Advertising and Public Relations
บุญชู โรจนเสถียร
เปรม ติณสูลานนท์




ในสมัยที่บุญชู โรจนเสถียร เป็นรองนายกฯ ได้เคยมีการคิดกันทำประชาสัมพันธ์ให้รัฐกันอย่างเต็มที่ โดยใช้บริษัทโฆษณาเท็ดเบทส์ เป็นตัวแทนในด้านความคิดสร้างสรรค์ และการใช้ตัวแทนในด้านความคิดสร้างสรรค์ และการใช้สื่อซึ่งเป็นโทรทัศน์ทั้ง 4 ช่อง ซึ่งใช้โดยไม่ต้องเสียเงิน

ในครั้งนั้นรัฐบาลได้จัดทำเรื่องการประหยัดไฟฟ้าโดยเอาดารา เช่น สมบัติ เมทะนี, เนาวรัตน์ ยุกตะนันทน์ ฯลฯ ออกมาเป็นตัวแสดง

น่าเสียดายที่ไม่ได้มีการติดตามและสำรวจผล จึงไม่สามารถจะวิเคราะห์ได้ว่า การประชาสัมพันธ์ครั้งนั้นได้ผลตรงเป้าหรือไม่

หลังจากนั้นก็ได้มีการว่าจ้างให้บริษัทเท็ดเบทส์ เป็นผู้จัดทำภาพยนตร์สั้นๆ 3 นาที ที่พูดถึงเรื่องประเทศชาติที่ต้องการความสมัครสมานสามัคคีในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่โครงการนั้นก็พับไปเมื่อมีเสียงคัดค้านจากคนใหญ่ในพรรคกิจสังคม ประกอบกับสถานภาพของ บุญชู โรจนเสถียร ในฐานะรองนายกฯ ขณะนั้นกำลังสั่นคลอน

ที่ยังคงเหลืออยู่ก็คือ ค่าจ้างทำภาพยนตร์ชุดประหยัดไฟจำนวนกว่าครึ่งล้านขึ้นไป ซึ่งเดิมที่สมาคมอุตสาหกรรมและสมาคมธนาคาร ตกปากตกคำว่า จะช่วยรับภาระนี้ไว้

แต่จนทุกวันนี้บริษัทเท็ดเบทส์ก็ได้แต่วิ่งวนเป็นวงกลมไม่รู้จะเก็บเงินก้อนนี้กับใคร ทั้ง ๆ ที่เวลาก็ผ่านมา 4 ปีแล้ว

นี่ก็เป็นอุทาหรณ์ที่ดีสำหรับคนที่ต้องการจะทำงานกับรัฐบาลว่า ให้ทำใจเอาไว้เสีย

ในยุคของบุญชู โรจนเสถียร เป็นรองนายกฯ ก็ยังได้มีการประชาสัมพันธ์เฉพาะกิจขึ้นในช่วงที่รัฐบาลจะประกาศยกเลิกการควบคุมราคาสินค้า เพื่อปล่อยให้กลไกการตลาดควบคุมสินค้าเอง

ในการประชาสัมพันธ์ครั้งนั้นได้จัดเป็นการออก TALK SHOW โดย สนธิ ลิ้มทองกุล (ปัจจุบันเป็นบรรณาธิการนิตยสารฉบับนี้) เป็นผู้ดำเนินการอภิปราย โดยมี อายุศ อิศรเสนา, อมเรศ ศิลาอ่อน และอาจารย์ไพรัช จาก NIDA มาซักถามแจกแจงข้อดีข้อเสียของการควบคุมราคาสินค้า

รายการนั้นประสบความสำเร็จมากตรงที่สื่อมวลชนด่ากันให้ขรมไปหมด เพราะพิธีกรคือสนธิ ลิ้มทองกุล นั่งไขว่ห้างแล้วกล้องทีวี.ไปจับเอาภาพส้นเท้าของ สนธิ ลิ้มทองกุล เข้าเต็มจอภาพ

ก็เป็นอันว่างานครั้งนั้นบรรลุวัตถุประสงค์ทั้งขึ้นทั้งล่อง เพราะผู้ร่วมอภิปรายท่านหนึ่งเป็นนักอุตสาหกรรมที่ตอบข้อซักถามได้อย่างมีเหตุผลมากโดยยอมรับว่า การควบคุมราคาสินค้าอาจจะมีความจำเป็นในอดีต แต่ในภาวการณ์ปัจจุบันนั้นกลับจะเป็นตัวทำลายเศรษฐกิจ

วัตถุประสงค์อีกประการหนึ่งที่ทำสำเร็จคือ ความที่จะต้องต่อต้านทุกอย่างที่รัฐบาลทำออกมาของสื่อมวลชน ก็ประจวบเหมาะกับจังหวะส้นเท้าของพิธีกรออกมาเต็มจอ ทุกอย่างก็เลยลงที่พิธีกร

เป็นอันว่าทุกคนด่าพิธีกร แต่ไม่ได้ด่าการยกเลิกการควบคุมราคาสินค้า

เรียกได้ว่า พิธีกรสละชีพเพื่อรัฐบาลช่วงนั้น

การประชาสัมพันธ์ของรัฐนั้นมีความพยายามจะกระทำกันมาตลอดตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว เพียงแต่ต่างรูปแบบกัน

ตั้งแต่วันที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ประกาศว่า “ข้าพเจ้าจะขอรับผิดชอบแต่ผู้เดียว” ก็เป็นการประชาสัมพันธ์อย่างหนึ่ง

หรือวันที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประกาศว่า “ประเทศไทยโชติช่วงชัชวาลแล้ว” ก็เป็นการประชาสัมพันธ์อีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน

การประชาสัมพันธ์คือการประกาศแจ้งกิจกรรมหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือตัวบุคคล ฯลฯ ให้สาธารณชนทั่วไปได้รับรู้และรับทราบ

ฉะนั้นการประชาสัมพันธ์จึงมีการประชาสัมพันธ์ทั้งบวกและลบ

ในประเทศที่ด้อยพัฒนานั้น การประชาสัมพันธ์มักจะออกมาในรูปบวกตลอดเวลา อาจจะเป็นเพราะความด้อยพัฒนาของคนในประเทศนั้น ตลอดจนเจ้าหน้าที่หรือตัวแทนของรัฐยังมีจิตใจที่ด้อยพัฒนาอยู่เช่นกัน

ในประเทศที่พัฒนาแล้ว การประชาสัมพันธ์ของเขาจะออกมาได้ทั้งบวกและลบ

ถ้ามีข่าวร้ายเข้าก็จะไม่ทำข่าวร้ายแล้วโกหกให้เป็นข่าวดี

ซึ่งเป็นตัวอย่างที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ในสังคมไทย

บัญชา ล่ำซำ และชิน โสภณพนิช คือสองอภิมหาเศรษฐีที่รัฐบาลคิดว่าน่าจะเป็น TESTIMONY ที่ดีกับ PUBLIC โดยออกมาให้ความหวังกับประเทศชาติและประชาชน

ไม่ทราบว่าความคิดนี้เป็นความคิดของมืออาชีพในวงการโฆษณาท่านใดที่มองแต่แง่มุมของโฆษณา แต่ไม่ได้มองสภาพข้อเท็จจริงของภาวการณ์เศรษฐกิจและการเมืองไปด้วย

ข้อผิดพลาดประการแรกคือ ใช้คนสื่อความหมายออกไปผิด (WRONG COMMUNICATOR)

คนที่ควรจะพูดถึงชาติ สังคม และประชาชนนั้นต้องเป็นรัฐบาล

การนำเอา บัญชา ล่ำซำ และชิน โสภณพนิช (ซึ่งผู้ใกล้ชิดทั้งสองคนยืนยันว่าทั้งคู่อึดอัดใจมากแต่ปฏิเสธไม่ได้ เพราะมีคนอ้างว่า นายกฯ ขอให้ทำ) มาบอกประชาชนว่า เขายังมั่นใจในอนาคตของชาติอยู่นั้น ได้สร้างปัญหาต่อเนื่องในใจคนดู 2 ประการ คือ

รัฐบาลไม่มีสติปัญญาให้ความเชื่อมั่นประชาชนแล้วหรือถึงต้องเอา 2 คนนี้มาบอก และ

ผู้ดูก็จะไม่เชื่อ เพราะในใจคนดูจะแย้งออกมาทันทีว่า ก็คนระดับเจ้าของธนาคารทั้ง 2 คน ก็ต้องเชื่อซิว่า ประเทศมีอนาคตเพราะทั้งสองมีเงินเหลือกินเหลือใช้ ไม่เคยต้องจำนำโทรทัศน์เวลาลูกเปิดเรียน ไม่เคยต้องโหนรถเมล์จนหน้าดำคร่ำเครียด ไม่ต้องไปนั่งโอดครวญผัดผ่อนหนี้กับเจ้าหนี้เมื่อการค้าตัวเองย่ำแย่

สิ่งที่ทำผิดคือ การเอาคนรวยมานั่งบอกคนจนว่า ทุกอย่างมีอนาคตที่ดีขอให้คนจนจงอดทนจนต่อไปแล้วจะดีเอง

ยังดีที่สคริปต์ไม่ได้เขียนว่า “ทนจนต่อไปแล้วจะชินไปเอง”

ที่สำคัญที่สุดในขณะที่ภาพลักษณ์ของนายธนาคารในสายตาชาวบ้านไมได้อยู่ในสถานภาพที่ดี และการเอานายธนาคารออกมาบอกคนที่กำลังขมขื่นและมีความฝังใจว่า ธนาคารคือสาเหตุใหญ่สาเหตุหนึ่งในความขมขื่นของเขา อุปมาอุปไมยดังการเอาองคุลีมาล (ขณะยังเป็นโจร) มาแสดงพระธรรมเทศนาให้บรรดาพุทธศาสนิกชนฉันใดฉันนั้น

ข้อผิดพลาดประการที่สองคือ การพยายามทำข่าวร้ายให้เป็นข่าวดี

หลักการประชาสัมพันธ์ที่ดีคือการยอมรับข่าวร้ายอย่างไม่บิดพลิ้วและไม่พยายามบิดเบือน

การยอมรับความจริงคือการที่ผู้สื่อ (COMMUNICATOR) ได้ PARTICIPATE เข้ากับ RECEIVER ได้อย่างกลมกลืน ทำให้ผู้มีความรู้สึกว่าผู้สั่งเป็นพวกเดียวกัน ปฏิกิริยาต่อต้านก็จะลดลงโดยปริยาย

จากนั้นการเสนอทางออกจะถูกรับฟังอย่างสนใจและเต็มใจ

อาจจะเป็นเพราะว่า ฐานะของรัฐบาลมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ฝ่ายค้านกำลังโจมตีและจะอภิปรายไม่ไว้วางใจ ฉะนั้นการยอมรับข่าวร้ายของรัฐบาลก็จะทำให้รัฐบาลถูกโจมตีอย่างแน่นอน

ก็เลยต้องโกหกกันเอาไว้ก่อน

โฆษกรัฐบาลเองก็ไม่ได้มีส่วนช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น เพราะโฆษกทั้งยืนยันและนอนยันมาตลอดว่า เศรษฐกิจดี โดยไม่ยอมฟังทุกข์ยากของประชาชน

อาจจะเป็นเพราะ โฆษกรัฐบาลเองกระทำหน้าที่เพียงเพื่อปกป้องนายกรัฐมนตรีเท่านั้นก็เป็นได้

อย่างไรก็ตาม ถ้าจะมี TESTIMONY AD ออกมาอีก เราใคร่ขอเสนอ “ล้อต๊อก” บ้างเพราะถึงจะรู้ว่ากำลังตอแหลกันอย่างหน้าด้านๆ อย่างน้อยได้เห็นหน้าล้อต๊อกแล้วได้หัวเราะบ้างก็นับว่าเป็นบุญกุศลในภาวะความขมขื่นนี้ ก็ยังดีกว่านั่งหน้าเครียดกันทุกคนมิใช่หรือ

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us