“ค่ายเบียร์สิงห์” ลดความเสี่ยงธุรกิจ ไม่หวังยึดติดแค่น้ำเมาอย่างเดียว หวั่นอนาคตไม่แน่นอนถ้าตลาดอิ่มตัว สยายปีกสู่ฟู้ดแอนด์เบฟเวอเรจสุขภาพอย่างเต็มตัว เป้าหมายปี 2555 สัดส่วนรายได้กลุ่มนี้ 30% จากเดิม 10% ชูนโยบายกว้างทั้งว่าจ้างผลิตและเข้าซื้อหุ้นโรงงานผลิต
นายสันต์ ภิรมย์ภักดี ผู้จัดการกลุ่มการตลาดนอน-แอลกอฮอล์ และผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า เนื่องจากตลาดเบียร์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในอนาคตอาจจะอิ่มตัวหรือตลสดรวมอาจจะมีอัตราการเติบโตที่ลดลงได้ เพราะมีปัจจัยทีส่งผลกระทบมาก ทำให้บริษัทฯต้องทำการขยายธุรกิจไปสู่อย่างอื่นด้วย โดยตั้งเป้าหมายภายใน 3-5ปีนับจากนี้ ที่จะให้สัดส่วนรายได้ของกลุ่มแอลกอฮอล์มีประมาณ 70% ส่วนรายได้กลุ่มนอน-แอลกอฮอล์และอาหารนั้นมีสัดส่วนประมาณ 30% ให้ได้
สำหรับแนวทางการรุกธุรกิจนอน-แอลกอฮอล์นั้น จะรุกเข้าสู่อาหารทุกอย่างรวมทั้งเครื่องดื่มใหม่ๆที่ไม่มีแอลกอฮอล์ด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีวางตลาดแล้วเช่น เครื่องดื่มบีอิ้งโดยปัจจุบันสินค้ากลุ่มนี้มี น้ำสิงห์ รายได้ปีที่แล้วประมาณ 3,000กว่าล้านบาท เติบโต 15% โซดาสิงห์รายได้ 4,000กว่าล้านบาท เติบโต 5% เครื่องดื่มบีอิ้ง เติบโตกว่า 87% และที่เหลืออื่นๆโดยรายได้กลุ่มนี้มีประมาณ 10,000 ล้านบาทเมื่อสิ้นปีที่แล้ว ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% จากรายได้รวมทั้งหมดของกลุ่มเบียร์สิงห์ที่มีประมาณ 80,000-90,000 ล้านบาท
ส่วนธุรกิจอาหารนั้น เริ่มต้นที่ตลาดสแน็กในกลุ่มของปลาก่อน เนื่องจากมองว่า คนไทยคุ้นเคยกับการทานสแน็ก และกลุ่มปลาก็เป็นตลาดที่ไม่ได้แข่งขันรุนแรงมากเกินไป ยังมีช่องว่าง แต่ก็ไม่ถึงกับง่ายนัก ส่วนตลาดอื่นเช่น มันฝรั่งทอดนั้น แข่งขันกันรุนแรงมีรายใหญ่ยึดครองตลาดอยู่แล้ว ขณะที่แนวทางดำเนินการนั้นจะเปิดกว้างทั้งการว่าจ้างบริษัทพันธมิตรผลิตให้หรือการเข้าไปร่วมทุนในโรงงานเดิมที่มีอยู่แล้วประมาณ 10-20% ซึ่งผลิตภัณฑ์เอ็น-จอยว่าจ้างให้บริษัท แคปปิตัล เทรดดิ้ง จำกัด ผลิตให้
อีกทั้งบริษัทฯได้แยกทีมตลาดออกมาต่างหากอีกทีมเพื่อทำด้านกลุ่มอาหารโดยเฉพาะ รวมทั้งการเพิ่มหน่วยรถจากเดิมมี 80 คัน จะเพิ่มเป็น 120 คันในปีนี้ ตลาดสแน็กโดยรวมในไทยมีประมาณ 15,000 ล้านบาท โดยกลุ่มฟิชสแน็กมีสัดส่วนประมาณ 10% หรือมีมูลค่า 1,380 ล้านบาท อีกทั้งยังเป็นเซ็กเมนท์ที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุด 155 %
ทั้งนี้บรัษัทฯได้เปิดตัวสแน็กกลุ่มปลา ชื่อ “เอ็นจอย” ซึ่งใช้เวลาศึกษาวิจัยนานกว่า 1 ปีแล้ว อีกทั้งยังได้รับการปรุงรสโดย “ทอมมี่ แทง” เชฟคนไทยที่มีร้านอาหารในอเมริกา ซึ่งทดลองตลาดมาประมาณ 2 เดือนแล้ว มี 2 ขนาด คือ 20 บาท ส่วนราคา 10 บาทจะวางตลาดเร็วๆนี้ โดยมี 3 รสชาติขณะนี้คือ รสออริจินัล รสวาซาบิ และรสฮอทแอนด์สไปซี่
ตั้งเป้าหมายที่จะมีส่วนแบ่งตลาดในปีแรกประมาณ 10% จากมูลค่าตลาด 1,380 ล้านบาท หรือมีแชร์ประมาณ 10% คิดเป็นยอดขายประมาณ 130 ล้านบาท ตั้งเป้าหมายระยะยาวภายในปี 2555 จะมีส่วนแบ่งประมาณ 20% ซึ่งปีแรกนี้ใช้งบตลาดเฉพาะเอ็นชจอย 60 ล้านบาท รุกหนักด้านบีโลว์เดอะไลน์ และการทำโปรโมชั่นร่วมกับสินค้าของบริษัท เช่นขณะนี้โปรโมชั่นร่วมกับน้ำสิงห์ในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น อย่างไรก็ตาม บริษัทฯยังมีสินค้าอีกมากทั้งในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มนอน-แอลกอฮอล์ที่จะออกวางตลาด ทั้งแบรดน์เดิมหรือแบรนด์ใหม่ วางเป้าหมายเปิดตัวเฉลี่ย 4-5 ตัวใน 1 ปี ซึ่งมีงบประมาณวิจัย ศึกษาพัฒนารวมทั้งบริษัท 60 ล้านบาทเป็นอย่างต่ำต่อปี
|