Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ เมษายน 2527








 
นิตยสารผู้จัดการ เมษายน 2527
อนาคตของการตั้งหรือขยายโรงงานอุตสาหกรรมในกรุงเทพฯ กำลังจะดับสิ้น             
 

   
related stories

รัฐบาลมีนโยบายเกี่ยวกับการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมอย่างไรบ้าง?
นิคมอุตสาหกรรมบางปู นิคมอุตสาหกรรมแห่งแรกของประเทศไทยโดยความร่วมมือของรัฐกับเอกชน
นิพิท โอสถานนท์ กรรมการผุ้จัดการ บริษัท พัฒนาที่ดิน
สำหรับเจ้าของโรงงาน-นิคมอุตสาหกรรมบางปูมีที่ตั้งและการบริหารได้เปรียบกว่า

   
www resources

โฮมเพจ กระทรวงอุตสาหกรรม
โฮมเพจ สำนักผังเมือง กรุงเทพมหานคร

   
search resources

กระทรวงอุตสาหกรรม
Real Estate
สำนักผังเมือง
Political and Government




แนวโน้มของการขยับขยายการตั้งโรงงานในเขตตัวเมือง โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ นับวันจะยากยิ่งขึ้น ประกอบกับมีการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งอันมีชื่อเรียกว่า “การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย” ขึ้น ข้อความนั้นคงจะเข้าเค้า คำถามจึงผุดขึ้นมาในสมองว่า

โรงงานอุตสาหกรรมในกรุงเทพฯ กำลังจะหมดอนาคต จริงหรือไม่?

อันดับแรกผู้ที่จะตั้งโรงงานอุตสาหกรรมอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่ง ก่อนที่จะตั้งขึ้นมาได้นั้นไม่ใช่สักแต่ว่ามีเงินก็ตั้งขึ้นมาได้เลย จะต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ ตามพระราชบัญญัติโรงงานและกฎกระทรวง รวมทั้งประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้นว่า การขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม การตั้งโรงงานจะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตตั้งโรงงานจากปลัดกระทรวง หรือผู้ซึ่งปลัดกระทรวงมอบหมายให้ออกใบอนุญาต หลักเกณฑ์วิธีการเงื่อนไขและแบบในการขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาต ต้องให้เป็นไปตามกฎกระทรวงที่ได้กำหนดไว้

ก่อนจะออกในอนุญาต ปลัดกระทรวง หรือผู้ได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงจะกำหนดเงื่อนไข (ถ้ามีนอกเหนือจากที่ได้กำหนดไว้ในกฎกระทรวงออกตามมาตรา 8) สำหรับโรงงานแต่ละประเภทหรือชนิด (จากกฎกระทรวงที่กำหนดไว้ฉบับที่ 7 พ.ศ. 2520 ซึ่งออกตามความใน พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2512 มีโรงงานที่กำหนดไว้ 99 ประเภทหรือชนิด) เพื่อให้ผู้รับใบอนุญาตปฏิบัติตาม

ตามความใน พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2512 พอจะทำให้ทราบว่าโรงงานที่ถือว่าเป็นโรงงานตาม พ.ร.บ.นี้คือโรงงานที่ใช้เครื่องจักรที่มีกำลังรวมต่ำกว่า 2 แรงม้า หรือกำลังเทียบเท่าต่ำกว่า 2 แรงม้า หรือใช้คนงานน้อยกว่า 7 คน

และในมาตราต่อมาคือมาตรา 21 ก็ได้กล่าวถึงประเด็นสำคัญที่เราอยากทราบก็คือ การห้ามมิให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานขยายโรงงาน เว้นแต่ได้รับใบอนุญาตจากปลัดกระทรวงหรือผู้ซึ่งปลัดกระทรวงมอบหมายให้ออกใบอนุญาต

การขยายโรงงานได้แก่:-

1. การเพิ่มโรงงาน เปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรเพื่อให้กำลังเพิ่มขึ้นตั้งแต่ร้อยละ 50 ขึ้นไป ในกรณีเครื่องจักรมีกำลังไม่เกิน 20 แรงม้าหรือกำลังเทียบเท่าไม่เกิน 20 แรงม้าหรือเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 10 แรงม้าหรือกำลังเทียบเท่า 10 แรงม้าขึ้นไปในกรณีเครื่องจักรมีกำลังเกินกว่า 20 แรงม้าหรือกำลังเทียบเท่าเกินกว่า 20 แรงม้า

2. การเพิ่มหรือแก้ไขส่วนใดส่วนหนึ่งของโรงงานอาคารทำให้รากฐานเดิมของอาคารโรงงานฐานใดฐานหนึ่งต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 500 กิโลกรัมขึ้นไป

ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานในส่วนที่ขยายให้มีอายุเท่ากับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานตามมาตรา 16 คือกำหนดระยะเวลาไว้ 3 ปี

ต่อมาได้มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.โรงงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2518 ซึ่งกล่าวถึงเหตุผลไว้ในหมายเหตุท้าย พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ.2512 บางมาตราที่ใช้อยู่ยังไม่รัดกุมและเหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบันและเพื่อป้องกันขจัดมิให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม และพิษภัยจะมีผลกระทบกระเทือนต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของประชาชนตลอดจนเป็นการทำลายทรัพยากรของชาติ

มาตรา 22 จึงได้รับการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติดังกล่าวเสียใหม่คือ เมื่อผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานเพิ่มจำนวน เปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตเครื่องจักรที่ใช้เป็นเครื่องต้นกำลัง หรือพลังงานของเครื่องจักรเป็นอย่างอื่น แต่ไม่ถึงขั้นขยายเป็นโรงงาน หรือเพิ่มเนื้อที่อาคารโรงงานออกไป หรือก่อสร้างอาคารโรงงานเพิ่มขึ้นใหม่เพื่อประโยชน์แก่กิจการของโรงงานนั้นโดยตรง ทำให้เนื้อที่ของอาคารโรงงานเพิ่มขึ้นตั้งแต่ร้อยละ 50 ขึ้นไป ในกรณีเนื้อที่ของอาคารโรงงานมีไม่เกิน 200 ตารางเมตรหรือเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 100 ตารางเมตรขึ้นไปในกรณีเนื้อที่ของอาคารโรงงานมีเกินกว่า 200 ตารางเมตรให้แจ้งเป็นหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่เพิ่มจำนวนเปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรหรือเพิ่มเนื้อที่อาคารโรงงานหรือก่อสร้างอาคารโรงงานนั้นเพิ่มขึ้น แล้วแต่กรณี และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการเพิ่มจำนวน เปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรหรือการเพิ่มเนื้อที่อาคารโรงงานหรือก่อสร้างอาคารโรงงานเพิ่มขึ้นตามประกาศรัฐมนตรีที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

ในมาตรา 33 (พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ.2512) เพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจของประเทศ ให้รัฐมนตรีมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษาโดยได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีในเรื่องดังต่อไปนี้

1. กำหนดจำนวนโรงงานแต่ละประเภทหรือชนิด ที่จะอนุญาตให้ตั้งหรือขยายหรือที่จะไม่อนุญาตให้ตั้งหรือขยายในท้องที่ใดท้องที่หนึ่ง

2. กำหนดชนิด คุณภาพ อัตราส่วนของวัตถุดิบหรือแหล่งกำเนิดของวัตถุดิบที่จะนำมาใช้หรือผลิตในโรงงานที่จะอนุญาตให้ตั้งหรือขยาย

3. กำหนดชนิดหรือคุณภาพของสินค้าที่ผลิตในโรงงานที่จะอนุญาตให้ตั้งหรือขยาย

4. กำหนดให้นำผลิตผลของโรงงานที่จะอนุญาตให้ตั้งหรือขยายไปใช้ในอุตสาหกรรมบางประเภทหรือให้ส่งผลผลิตออกนอกราชอาณาจักรทั้งหมดหรือบางส่วน

จะเห็นได้ว่าขณะที่มีการปรับปรุง พ.ร.บ.โรงงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2518 ในปีเดียวกันทางด้านสำนักผังเมืองก็ได้ออก พ.ร.บ.การผังเมือง พ.ศ.2518 เพื่อให้สอดคล้องกัน ดังจะดูได้จากหมายเหตุตอนท้ายของ พ.ร.บ.ฉบับนี้คือ

เนื่องจากกฎหมายว่าด้วยการผังเมืองและผังชนบทได้ใช้บังคับมากว่า 20 ปี ประกอบกับได้มีการพัฒนาทั้งในด้านเกษตรกรรม พาณิชยกรรม อุตสาหกรรม และจำนวนประชากรในท้องที่ต่างๆ ได้ทวีความหนาแน่นมากยิ่งขึ้น มาตรการและโครงการที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมายจึงไม่เหมาะสมกับสภาวะปัจจุบัน สมควรปรับปรุงเสียใหม่ให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าของวิชาผังเมืองและสภาพของท้องที่

ดังนั้นในหมวด 4 การใช้บังคับผังเมืองรวมมาตรา 27 จึงกำหนดออกมาว่า

ในเขตได้มีกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมแล้ว ห้ามบุคคลใดใช้ประโยชน์ที่ดินผิดไปจากที่ได้กำหนดไว้ในผังเมืองรวมหรือปฏิบัติการใดๆ ซึ่งขัดกับข้อกำหนดของผังเมืองรวมนั้น

ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่กรณีที่เจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินได้ใช้ประโยชน์ที่ดินมาก่อน ที่จะมีกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม และจะใช้ประโยชน์ที่ดินเช่นนั้นต่อไปเมื่อมีกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมแล้ว

แต่ถ้าคณะกรรมการผังเมืองเห็นว่าการใช้ประโยชน์ที่ดินเช่นนั้นต่อไป เป็นการขัดต่อนโยบายของผังเมือง รวมในสาระสำคัญที่เกี่ยวกับสุขลักษณะความปลอดภัยของประชาชนและสวัสดิภาพของสังคม คณะกรรมการผังเมืองมีอำนาจกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่เจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินจะต้องแก้ไข เปลี่ยนแปลงหรือระงับการใช้ประโยชน์ที่ดินเช่นนั้นต่อไปภายในระยะเวลาที่เห็นสมควรได้ การกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขดังกล่าวให้คำนึงถึงกิจการที่มีการใช้ประโยชน์ที่ดิน สภาพของที่ดินและทรัพย์สินอื่นที่เกี่ยวกับที่ดิน การลงทุนประโยชน์หรือความเดือดร้อนรำคาญที่ประชาชนได้รับจากกิจการนั้น ทั้งนี้ให้คณะกรรมการผังเมืองเชิญเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินมาแสดงข้อเท็จจริงและความคิดเห็นประกอบด้วย

และหากเราจะมาดูมาตรา 34 และ 35 ในหมวด 2 ว่าด้วยการควบคุมโรงงานตาม พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ.2512 ประกอบการพิจารณาไปด้วย

มาตรา 34 เมื่อไม่ได้มีการกำหนดเขตอุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยผังเมืองในท้องที่ใดท้องที่หนึ่งแล้ว ให้รัฐมนตรีมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษา กำหนดเขตที่จะอนุญาตให้ตั้งโรงงานหรือไม่อนุญาตให้ตั้งโรงงานประเภทหรือชนิดใดภายในเขตอุตสาหกรรมนั้นได้

มาตรา 35 โรงงานใดที่ก่อให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงแก่สาธารณชนให้ปลัดกระทรวง หรือผู้ซึ่งปลัดกระทรวงมอบหมายให้ออกใบอนุญาตสั่งให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานนั้นหยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมด หรือบางส่วนเป็นการชั่วคราวและปรับปรุงแก้ไขโรงงานนั้นเสียใหม่ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด

ถ้าผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานไม่ปรับปรุงแก้ไข หรือไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขโรงงานให้ปลอดภัยแก่สาธารณชน ให้ปลัดกระทรวงหรือผู้ซึ่งปลัดกระทรวงมอบหมายให้ออกใบอนุญาตรายงานต่อรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งย้ายโรงงานทั้งหมดหรือบางส่วนภายในระยะเวลาที่กำหนด จากท้องที่นั้นไปยังท้องที่อื่นซึ่งจะไม่ทำให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงแก่สาธารณชนคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด

แม้ว่าจะมีการประกาศเป็นพระราชบัญญัติมา 2 ฉบับแล้วก็ตาม แต่ก็ปรากฏว่ายังมีผู้ฝ่าฝืนอีก ในที่สุด พ.ร.บ.โรงงาน (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2522 จึงต้องออกมาปรากฏโฉม ดังเหตุผลที่กล่าวไว้ในหมายเหตุท้าย พ.ร.บ.ฉบับนี้ว่า โดยที่การฝ่าฝืนตั้งโรงงานประกอบกิจการโรงงานและขยายโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาตมีอยู่เป็นจำนวนมากและโรงงานบางประเภทที่มีการฝ่าฝืนนั้น เป็นโรงงานที่ทางราชการไม่อนุญาตให้ตั้ง หรือขยาย เพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจของประเทศและเพื่อประโยชน์ในการจัดให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยผังเมือง สมควรเพิ่มอัตราโทษอาญาแก่การกระทำความผิดเกี่ยวกับโรงงานประเภทดังกล่าวและจากที่เป็นมาการดำเนินกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาตนี้ ปรากฏว่าการกำหนดแต่โทษอาญาไว้นั้นไม่ได้ผลในทางการปราบผู้มีเจตนาฝ่าฝืนได้เท่าที่ควร สมควรให้ศาลสามารถมีคำสั่งให้มีการหยุดติดตั้งเครื่องจักร รื้อถอนเครื่องจักร หยุดประกอบกิจการโรงงาน หยุดขยายโรงงานหรือรื้อถอนโรงงานในส่วนที่ขยายได้ตามแก่กรณี ซึ่งคำสั่งของศาลในเรื่องนี้นอกจากจะเป็นมาตรการทางแพ่งที่จะสั่งควบคู่กับการลงโทษทางอาญา เพื่อให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ศาลอาจมีคำสั่งเช่นว่านี้เป็นการชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา เพื่อระงับการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนนั้นต่อไป หรือป้องกันความเสียหายที่จะเกิดแก่สังคมหรือประชาชนในด้านเศรษฐกิจและด้านสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย นอกจากนั้นการกำหนดให้กรรมการและผู้จัดการต้องรับผิดในการกระทำของนิติบุคคลต่างๆ นั้นยังแคบไป สมควรขยายให้บุคคลซึ่งมีส่วนรับผิดชอบในการกระทำผิดนั้นมีความรับผิดชอบด้วย เพื่อความรัดกุมในการบังคับตามกฎหมายและให้สอดคล้องกับกฎหมายอื่นๆ เกี่ยวกับผู้ต้องร่วมรับผิดชอบในการกระทำของนิติบุคคล จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น

รายละเอียดก็เป็นการเพิ่มโทษแก่ผู้ฝ่าฝืน แต่ที่สำคัญจะเห็นได้ว่า พ.ร.บ.ที่ออกมาฉบับหลังๆ นี้รวมทั้ง พ.ร.บ.การผังเมืองรวม พ.ศ.2518 ดูจะเริ่มจำกัดการตั้งหรือขยายโรงงานอุตสาหกรรมทีละเล็กละน้อย ยิ่งได้ดูมาตรา 39 ใน พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ.2512 ที่กล่าวถึงหน้าที่ของผู้ขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน อันได้แก่ การจัดให้มีการกำจัดสิ่งปฏิกูล การระบายน้ำทิ้งและการระบายอากาศ (ข้อ 6) การจัดสถานที่ทำงานให้พอเพียง และเหมาะสมกับจำนวนคนงาน เครื่องจักร วัตถุดิบ และวัตถุสำเร็จรูป (ข้อ 8) การประกอบกิจการโรงงานมิให้เกิดเหตุรำคาญตามกฎหมายว่าด้วยสาธารณสุข (ข้อ 14) การจัดทำรายงานเกี่ยวกับปริมาณการผลิตและการจำหน่ายของโรงงาน (ข้อ 15) และจัดให้มีการกระทำอย่างอื่นตามที่รัฐมนตรีกำหนด (ข้อ 16) ทั้งนี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา

และยังมีประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมฉบับที่ 2 (พ.ศ.2513) และฉบับที่ 12, 13 (พ.ศ.2525) ซึ่งทั้ง 3 ฉบับดังกล่าวจะกำหนดหน้าที่ของผู้ขอใบอนุญาตประกอบโรงงานไว้อย่างละเอียดยิบโดยแยกออกมาเป็นหมวดๆ โดยเฉพาะหมวด 5 และหมวด 7 รวมทั้งประกาศที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้ออกมาด้วย (ตามข้อ 16 ที่ได้ระบุไว้ในข้างต้น)

จากที่ยกมาให้ดูทั้งหมดนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า นับแต่ปี 2518 เป็นต้นมา ได้มีการปรับปรุง พ.ร.บ.โรงงานหลายครั้งและการเริ่มปรับปรุง พ.ร.บ.การผังเมือง พ.ศ.2518 เป็นการทำงานประสานกันของหน่วยงานของรัฐบาลในการที่จะจำกัดขอบเขตการตั้งหรือขยายโรงงานอุตสาหกรรมในเขตชุมชนหนาแน่น มีการเน้นถึงการก่อให้เกิดความรำคาญหรืออันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินและเพิ่มบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนอย่างหนัก

ชุมชนหนาแน่นเป็นที่ไหนล่ะ ! ถ้าไม่ใช่กรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทยซึ่งมีโรงงานอุตสาหกรรมหลายชนิดหรือประเภท ทั้งขนาดเล็กจนขนาดใหญ่ตั้งอยู่มากมายด้วยกัน ชุมชนขนาดใหญ่ระดับนครหลวงเช่นกรุงเทพฯ หรือแม้แต่เมืองหลวงแต่ละภาคของประเทศ เช่นเชียงใหม่ ขอนแก่น ชลบุรี หรือสงขลา มักจะก่อให้เกิดปัญหาหลายประการ อาทิ ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม สาธารณูปโภค มลภาวะ และปัญหาการจราจร เป็นต้น ที่เห็นได้ชัดเจนมากก็คือที่กรุงเทพฯ นี่เอง ดังนั้นการจะขอตั้งหรือขยายโรงงานอุตสาหกรรมในกรุงเทพฯ นับวันจะถูกจำกัดมากยิ่งขึ้นทุกทีๆ ปัญหาที่ตามมาก็จะต้องมีแน่นอนสำหรับเจ้าของโรงงาน นอกเสียจากว่าจะขยับขยายออกไปทางชานเมืองเสียโดยเร็วในขณะที่ต้นทุนในด้านต่างๆ ยังไม่ขึ้นไปมากนัก

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us