วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) ได้รับการขนานนามว่า เป็นนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ของโลก
แน่นอนที่สุด มีนักลงทุนน้อยรายที่จะมีความสามารถในการลงทุนเทียบเท่าเขาได้
เมื่ออายุ 6 ขวบ บัฟเฟตต์ได้จ่าย เงิน 25 เซ็นต์ ซื้อโค้กจำนวน 6 แพ็กและนำมาขายในราคากระป๋องละหนึ่งเหรียญสหรัฐ
ซึ่งนั่นทำให้เขาได้กำไรถึง 20% โดยบัฟเฟตต์ได้เปรียบเทียบสไตล์การลงทุนของตนเองว่า
เป็นเหมือนสิงโต ที่ซุ่มอยู่ในหญ้าสูงๆ (a lion in the tall grass) เพื่อรอเหยื่อ
"และตะครุบเมื่อเหยื่อเข้ามาใกล้เงื้อมมือของมัน"
เช่นเดียวกัน วิธีในการเลือกหุ้นที่จะลงทุนของบัฟเฟตต์ ก็ได้เทคนิคเดียวกันนี้
เป็นเทคนิคที่รอจนกว่าราคาหุ้นที่ได้ลงทุนไว้มีราคาสูงขึ้นจนถึงเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้
ด้วยกลยุทธ์เช่นนี้ ทำให้บัฟเฟตต์ เป็นนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก
ปัจจุบันเขาได้กลายเป็นมหาเศรษฐีหลาย พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นบุคคลที่ร่ำรวยอันดับต้นๆ
ของโลกอีกด้วย
นอกจากนี้ บริษัทของเขาที่มีชื่อ ว่า Berkshire Hathaway เป็นผู้ถือหุ้น
รายใหญ่ในบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งของโลก เช่น Amazon, Disney, American Express
และ Coke
ปัจจุบันมูลค่าพอร์ตการลงทุนของ Berkshire Hathaway มีมูลค่ามากกว่า 40
พันล้านเหรียญสหรัฐนั้น เป็นสิ่งที่น่าจับตามองอย่างใกล้ชิดในโลก การลงทุน
นักลงทุนและผู้จัดการการเงิน ทั่วโลกได้พิจารณาความเคลื่อนไหวของบัฟเฟตต์
เช่นเดียวกับที่ตลาดวอลล์ สตรีทได้ติดตามทุกคำพูดและการประกาศของอลัน กรีนสแปน
Timothy Vick ปัจจุบันเป็นนักวิเคราะห์อาวุโสของ Arbor Capital Management
เขาเป็นผู้ก่อตั้งและอดีต บรรณาธิการวารสาร Todays Value Investor ได้เปิดเผยกลยุทธ์การลงทุน
ของบัฟเฟตต์ไว้ในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งจะได้เห็นถึงกลยุทธ์สามประการในการสร้างผลกำไรที่น่าพอใจโดยไม่เสี่ยงมาก
และเทคนิคในการประเมินผลประกอบการในอนาคตขององค์กร ซึ่งเป็นพื้นฐาน มูลค่าหุ้นที่แท้จริง
อีกทั้งผู้แต่งยังให้เหตุผลว่า ทำไม การเติบโตของมูลค่าต่อหน่วยของหุ้นตามบัญชียังคงเป็นเครื่องวัดที่บัฟเฟตต์ใช้ในการวัดโอกาสในการลงทุน
รวมไปถึงเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนชั้นเซียนอย่างบัฟเฟตต์ เลือกที่จะหลีกเลี่ยงความ
เสี่ยงด้วยการลงทุนในหลายๆ แบบ เช่น ลงทุนในตราสารการเงินประเภทต่างๆ
"มาร่วมค้นพบหนทางต่างๆ ในการลงทุนในหุ้นและอื่นๆ เพื่อให้ได้อัตราผลตอบแทนการลงทุนที่สูงและมีคลังการลงทุนที่แข็งแกร่ง
สามารถคาดการณ์ได้และมีผลกำไรในระยะยาว" Vick กล่าว
จากความสำเร็จด้านการลงทุนทำให้บัฟเฟตต์ มักจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับ "พ่อมดการเงิน"
จอร์จ โซรอส บุรุษที่สามารถทำเงินหลายพันล้านดอลลาร์ เป็นยิ่งกว่าบุรุษที่สามารถทลายธนาคารกลางแห่งอังกฤษ
ความต่างของบุคคลทั้งสอง โดย บัฟเฟตต์มีความเชี่ยวชาญในสิ่งหนึ่งและเป็นสิ่งเดียวเท่านั้น
คือ การซื้อบริษัท ที่มีฐานะการเงินมั่นคงในราคาที่ต่ำ ขณะ ที่โซรอสจะมีความยืดหยุ่นมากกว่า
และเคลื่อนตัวเข้าและออกจากตลาดการเงินตามความเปลี่ยนแปลงของกระแสการเงิน
โดยพยายามที่จะจับความเคลื่อน ไหวในตลาดในช่วงเวลาที่เหมาะสม