Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTVผู้จัดการรายวัน19 มกราคม 2553
บจ.ใหม่ส่อวืดรับสิทธิภาษี สรรพากรชี้ไม่มีประโยชน์             
 


   
search resources

Funds




นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังเยี่ยมชมและรับฟังแผนการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับนายวินัย วิทวัสการเวช อธิบดีกรมสรรพากร วานนี้ (18 ม.ค.) ว่า ขณะนี้คณะทำงานอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ที่หมดอายุในสิ้นปีที่ผ่านมานั้น โดยจะพิจารณาถึงความเหมาะสมในการต่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี ระยะเวลาการต่ออายุ ซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปได้ภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้

สำหรับการเดิทางมาตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ เพื่อรับฟังข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการที่ทางกรมสรรพากรให้การสนับสนุนตลาดหลักทรัพย์ฯที่ผ่านมาประสบความสำเร็จหรือมีปัญหาข้อติดขัดหรือไม่ และในอนาคตต้องการให้กรมสรรพากรช่วยสนับสนุนตลาดทุนไทยอย่างไรบ้าง ซึ่งมาตรการส่งเสริมตลาดทุนขณะนี้จะมีการพิจารณาเรื่องที่อยู่ในแผนพัฒนาตลาดทุนไทย จากที่มีการกำหนดระยะเวลาการดำเนินงานที่ชัดเจน ส่วนมาตรการอื่นๆนั้นจะมีการพิจารณาเป็นมาตรระยะสั้นที่จะช่วยเหลือในช่วงสั้นเพื่อกระตุ้นตามภาวะเศรษฐกิจ

นายวินัย วิทวัสการเวช อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า อดีตที่ผ่านมาที่กรมสรรพากรให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บริษัทที่อยู่ในSET เสียภาษี 25% และบริษัทในmai เสีย 20% จากปกติที่จะต้องจ่ายภาษีนิติบุคคลที่อัตรา 30% ถือว่ามีความเหมาะสม แต่จากที่ในปีที่ 2552 มีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯและตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ เพียง 17 บริษัทถือว่าเป็นจำนวนที่ต่ำ ทำให้มองว่าการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่จะสนับสนุนให้มีบริษัทเข้ามาจดทะเบียนมากขึ้น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาในเรื่องดังกล่าว

“กรมสรรพากรมีเป้าหมายว่า การออกมาตรการอะไรออกไปนั้นต้องการที่จะให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีโดยการลดภาษีนิติบุคคลแก่บจ.ต้องการให้มีบจ.เข้ามาจดทะเบียนมากขึ้น แต่จากการที่ปีที่ผ่านมามีบจ.เพียง 17 บริษัทเท่านั้นถือว่าน้อย แต่จะมีการต่อมาตการให้สิทธิภาษีต่อหรือไม่นั้นต้องรอผลสรุปสิ้นเดือนก.พ.นี้”นายวินัย กล่าว

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้นำเสนอข้อมูล8 มาตการตามแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ซึ่งในแผนนั้นมีการมาตรการในเรื่องภาษี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษีในการควบรวมกิจการ ภาษีการลงทุนในตราสารหนี้ ฯลฯ ที่ต้องเสนอแก่ทางกรมสรรพากรมีการพิจารณาในเรื่องดังกล่าว

เล็งรื้อเกณฑ์แคชบาลานช์ใหม่

พร้อมกันนี้ นางภัทรียา ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ฝ่ายบริหารตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ทบทวนมาตรการดูแลหุ้นเก็งกำไรก่อนที่จะเสนอให้คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ พิจารณาต่อไป เนื่องจากมาตรการวางเงินสดทั้งจำนวนก่อนซื้อ (แคช บาลานช์) ในหุ้นที่อยู่ในรายชื่อเทิร์นโอเวอร์ลิสต์ตามประกาศของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ใช้มาเป็นเวลา1 ปีครึ่งแล้ว

ส่วนสาเหตุที่เสนอให้มีการทบทวนมาตรการการดูแลหุ้นเก็งกำไรด้วยการกำหนดให้วางเงินสดทั้งจำนวนก่อนซื้อนั้น สืบเนื่องจากเกณฑ์การพิจารณาหุ้นที่จะต้องวางเงินเต็มจำนวนนั้นได้กำหนดเงื่อนไขไว้อย่างชัดเจน เมื่อนักลงทุนลงทุนใกล้ถึงระดับดังกล่าวจึงชะลอการลงทุน ซึ่งส่งผลต่อภาพรวมการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ดังนั้นตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงเห็นควรให้มีมาตรการพิจารณาภายในคอยป้องปรามอีกชั้นหนึ่งก่อน เพื่อให้การดูแลการซื้อขายทันต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย

นอกจากนี้ หุ้นบางตัวเข้าข่ายแคชบาลานช์เพราะปัญหาทางเทคนิคไม่ได้เกิดจากมีปัญหาจากการซื้อขาย เช่น บริษัทจดทะเบียนบางแห่งมีผลขาดทุนในไตรมาส 4 ของปี 2551 เนื่องจากรับผลกระทบจากวิกฤตการเงินของโลก และทำให้อัตราราคากำไรเทียบกับกำไรสุทธิต่อหุ้น(พีอี) เกิน 100 เท่า รวมทั้งเป็นจังหวะที่มีการซื้อขายสูง ทำให้อยู่ในรายชื่อเทิร์นโอเวอร์ลิสต์ของก.ล.ต. และเข้าเกณฑ์แคชบาลานช์ทั้งที่ไม่ใช่เกิดจากความผิดปกติของการซื้อขายหุ้น

“ก่อนหน้านี้การซื้อขายหุ้นจะใช้วิธีการดูแลจากการพิจารณา ทำให้มีเสียงบอกว่าได้กระทบต่อการซื้อขายและเรียกร้องอยากให้เป็นเกณฑ์ที่โปร่งใส แต่พอมีเกณฑ์ที่โปร่งใสมีกติกาชัดเจน เป็นที่ทราบของผู้ลงทุนดังนั้นเมื่อซื้อขายจนเข้าใกล้เกณฑ์ก็จะค่อย ๆ ถอย ดังนั้นทางตลาดหลักทรัพย์จึงอยากหาเกณฑ์มาเพิ่มซึ่งจะเป็นเกณฑ์ที่ใช้จากการพิจารณาเข้ามาใช้ควบคู่ คาดว่าจะพยายามให้ได้ข้อสรุปภายในไตรมาสแรกของปีนี้” นางภัทรียากล่าว   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us