|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บล.กรุงศรีอยุธยา คาดปี 52 กำไรสุทธิรวมบจ.เพิ่มขึ้น 36% อยู่ที่4.27แสนล้านบาท จากปี 2551 เหตุ เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น- หุ้นกลุ่มพลังงานไม่มีผลขาดทุนสต็อกน้ำมัน พร้อมคาดกำไรสุทธิปีนี้ อยู่ที่ 4.78 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11% ทำให้ผลตอบแทนการลงทุนหุ้นปีนี้ ลดลงจากปีก่อนที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาก ดันภาพรวมตลาดหุ้นไทยปีนี้สูงขึ้นแต่ผันผวนสูง เตือนระวังหุ้นจะปรับตัวลดลง 20-30%ช่วงปลายไตรมาส1/53 แนะนักลงทุนขายทำกำไรหากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น
นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรีอยุธยา จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทคาดกำไรสุทธิรวมของบริษัทจดทะเบียนในปี 2552 อยู่ที่ 427,823 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 36.1% จากปี 2551 ที่มีกำไรสุทธิ 314,271 ล้านบาท เนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยหุ้นกลุ่มพลังงานมีกำไรอสูงสุดอยู่ที่ 173,075 ล้านบาทจากที่ปีนี้ไม่มีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน จึงทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้น 95% ขณะที่ปีก่อนที่มีกำไรสุทธิลดลง54.9% ด้านหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์มีกำไรสุทธิ 83,082 ล้านบาท ลดลง0.3%จากปี 2551
ทั้งนี้บริษัทคาดว่ากำไรสุทธิรวมของบริษัทจดทะเบียนปี 2553 จะอยู่ที่ 478,756 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11.9% จากปี2552 จากการที่เศรษฐกิจมีการฟื้นตัวต่อเนื่องซึ่งบริษัทคาดว่าจีดีพีปีนี้จะอยู่ที่ 2.5-3.5% โดยจะส่งผลให้ผลการดำเนินงานของ บจ.ส่วนใหญ่มีการเติบโตดีในปีนี้ โดยเฉพาะ หุ้นกลุ่มธนาคาร ชิ้นส่วนรถยนต์ โรงแรม โรงพยาบาล พลังงาน และปิโตรเคมีขนส่ง ยกเว้นหุ้นกลุ่มการเงินและหลักทรัพย์ และเกษตร
สำหรับผลตอบการลงทุนในหุ้นปีนี้จะไม่ดีเท่ากับปี 2552 เนื่องจาก ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงแล้ว มาอยู่ที่ระดับ740 จุด แต่เชื่อว่าภาพรวมตลาดหุ้นไทยปีนี้ยังมีแนวโน้มที่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเชื่อว่ามีโอกาสปรับตัวแตะที่ระดับ 800 จุด จากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัว เม็ดเงินต่างชาติยังคงไหลเข้ามาลงทุน เพราะปัจจุบันนักลงทุนต่างประเทศยังถือครองหุ้นไทยไม่มาก
อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยเสี่ยงที่กดดันคือเรื่องภาวะเศรษฐกิจโลกว่าจะมีการฟื้นตัวต่อเนื่องหรือไม่ กรณีมาบตาพุด อัตราดอกเบี้ยที่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่คาด จากอัตราเงินเฟ้อที่จะมีการสูงขึ้น จึงทำให้เมื่อดัชนีมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาในไตรมาส1/52 จะทำให้มีแรงขายทำกำไรออกมาในช่วงปลายไตรมาส1/53ถึงต้นไตรมาส2/53ทำให้ดัชนีมีการปรับตัวลดลงมาประมาณ 20-30% จากจุดสูงสุดของดัชนี ซึ่งการพักฐานของดัชนีจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ไตรมาส ทำให้ดัชนีจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งในไตรมาส4/53
ดังนั้นบริษัทจึงแนะนำนักลงทุนให้มีการทอยอยขายทำกำไรหุ้นออกมาก่อนที่ดัชนีจะมีการปรับตัวลดลงในช่วงปลายไตรมาส1/53 และจากการที่ดัชนีจะมีโอกาสทำจุดสูงสุดอีกครั้งในไตรมาส4/53 จึงแนะนำให้นักลงทุนมีการเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลักจากที่จะได้รับผลดีจากความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มสูงขึ้น และแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
**หุ้นวานนี้เพิ่มขึ้น2.68จุด
ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยวานนี้(14ม.ค.) ปิด 749.42 จุด เพิ่มขึ้น 2.68 จุด หรือ 0.36%มูลค่าการซื้อขาย 21,576.30 ล้านบาท จากแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มธนาคารและพลังงานที่ได้รับผลดีด้านจิตวิทยาจากปัญหามาบตาพุดคลี่คลาย และการเก็งผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่จะออกมาดี โดยระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 751.93 จุด และต่ำสุดที่ 747.94 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 171 หลักทรัพย์ ลดลง 160 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 136 หลักทรัพย์
ด้าน นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า วานนี้การซื้อขายหุ้นไทยทั้งวันอยู่ในแดนบวกถือว่าได้อานิสงส์จากการที่ตลาดดาวน์โจนบวกขึ้นมา โดยตลาดหุ้นประคองตัวจากแรงซื้อหุ้นแบงก์ อย่าง BBL และ TCAP แม้หุ้นแบงก์บางตัวจะปรับตัวลดลง นอกจากนั้น ยังมีหุ้นกลุ่มพลังงงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากกรณีแนวโน้มปัญหามาบตาพุดคลี่คลายลงหลังจากนายอานันท์ ปันยารชุน ประธานคณะกรรมการ 4 ฝ่าย ออกมาระบุว่ากรณีปัญหามาบตาพุดน่าจะได้ข้อสรุปภาย 8 เดือน ทำให้ส่งผลบวกต่อจิตวิทยาการลงทุน ทำให้หุ้น PTTAR และ PTTCH ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ภาพรวมตลาดดีขึ้นและปิดตลาดบวกได้ ประกอบกับ ยังมีการเก็งกำไรเรื่องผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนอื่นที่คาดว่าจะออกมาดี ซึ่งวันนี้(15ม.ค.)คาดว่าดัชนีหุ้นจะเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับ 742 จุด แนวต้าน 758 จุด
|
|
|
|
|