Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มีนาคม 2527








 
นิตยสารผู้จัดการ มีนาคม 2527
โครงสร้างผู้ถือหุ้นในธนาคาร โครงสร้างของกลุ่มตระกูลในธนาคารกำลังจะถูกทดสอบในไม่นานนี้             
โดย เลิศ วงศ์วิจารณ์
 


   
www resources

โฮมเพจ ธนาคารกรุงเทพ

   
search resources

ธนาคารกรุงเทพ, บมจ.
ชาตรี โสภณพนิช
Economics
Banking




ความจริงธุรกิจธนาคารที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โครงสร้างของผู้ถือหุ้นมีส่วนอยู่กว่าครึ่ง ที่ทำให้เกิดปัญหาผูกขาด และการสร้างชนชั้นอภิสิทธิ์โดยอิทธิพลของเงินตราขึ้นมา

การกระจายรายได้และความมั่งมีที่รัฐบาลและประเทศพยายามจะทำในสองทศวรรษที่ผ่านมากระทำไม่ได้ผลเท่าใดนัก เพราะโครงสร้างของผู้ถือหุ้นในกลุ่มธนาคารซึ่งเมื่อนับดูแล้วจะวนเวียนกันไปมาในไม่กี่ตระกูลนี้เอง

การเจริญของสังคมธุรกิจซึ่งจะนำไปสู้การกระจายรายได้ให้กว้างขึ้นนั้นจะต้องมีกลุ่มผู้ประกอบการ (ENTREPRENEURS) มากขึ้นกว่าปัจจุบันนี้มาก แต่การที่โครงสร้างของผู้ถือหุ้นในสถาบันการเงินยังไม่ได้ออกสู่มหาชนอย่างแท้จริงแล้วการเกิดขึ้นของผู้ประกอบการก็จะลำบาก

ถึงแม้ธนาคารกรุงเทพหรือธนาคารกสิกรไทย หรือธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือธนาคารแหลมทอง ฯลฯ จะมีผู้ถือหุ้นเป็นพันเป็นหมื่นคนแต่เมื่อมาดูเนื้อแท้ของผู้ถือหุ้นแล้วก็จะเห็นว่ายังคงอยู่ในมือของกลุ่มตระกูลผู้ก่อตั้งทั้งสิ้น ซึ่งแน่นอนที่สุดไม่มีตระกูลไหนที่จะทำอาชีพธนาคารเพียงอย่างเดียว ฐานทางธุรกิจส่วนตัวหรือของวงศาคณาญาติและมิตรสหายก็ถูกขยายไปตามสิทธิและอำนาจของการเป็นผู้บริหารธนาคาร โดยเอาเงินประชาชนเข้ามาเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างความร่ำรวยและจากการกุมอำนาจเช่นนี้ไว้เป็นเวลาเกือบสามทศวรรษ ก็ย่อมทำให้กิจการธนาคาร โดยเฉพาะในด้านการให้สินเชื่อระดับเล็กและกลางซึ่งเป็นระดับเริ่มต้นของธุรกิจที่เกิดขึ้นโดยผู้ประกอบการยังคงอนุรักษนิยมอยู่เหมือนเดิม

ข้ออ้างของคนพวกนี้ ก็จะออกมาในรูปที่ว่าการปล่อยสินเชื่อให้กับอะไรที่ไม่แน่นอนคือ การไม่รักษาผลประโยชน์ของประชาชน พร้อมกับเอาตัวเลขหนี้สูญออกมาแสดงให้ดู แต่ตัวเลขเหล่านั้นกลับเป็นภาพลวงตา เพราะบรรดาบริษัทในเครือญาติทั้งหลายถึงจะขาดทุน แต่จะไม่เป็นหนี้สูญเพราะยังมีเงินที่สามารถจะถมลงไปได้อีกมากเพื่อรอจังหวะฟื้นตัว

แต่ถ้าธุรกิจของผู้ประกอบการเกิดติดขัดก็เป็นอันเชื่อได้ว่า การขอเงินมาถมเพิ่มเติมคงจะยากเย็นยิ่งกว่าการเชิญอบ วสุรัตน์ มากินข้าวตัวต่อตัวกับสมหมาย ฮุนตระกูล

เกริกเกียรติ พิพัฒน์เสรีธรรม แห่งคณะเศรษฐศาสตร์ เคยเขียนหนังสือเล่มหนึ่งถึงตระกูลและธุรกิจผูกขาดในประเทศไทย

เมื่อมาอ่านแล้วจะเห็นสายโยงซึ่งพอจะพิสูจน์ให้เห็นได้ว่าเป็นจริง

แม้แต่การสมรสกันระหว่างบุตรหลานของแต่ละตระกูลก็ยังต้องอยู่ในเหล่าและกอของกลุ่ม

ในต่างประเทศเรามักจะเห็นชื่อเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา แต่เศรษฐีใหม่เหล่านี้กลับไม่ใช่คนที่หลอกลวงเอาเงินประชาชนมาใช้

แต่พวกเขาเกิดขึ้นเพราะความสามารถในการประกอบการ (ENTREPRENEURSHIP) เขาอาจจะเป็นอัจฉริยะทางคอมพิวเตอร์ที่คิดเครื่องขึ้นมา

หรือเป็นผู้ที่มีความสามารถในเรื่องการค้าและพัฒนาที่ดิน (REAL ESTATE DEVELOPER)

หรืออาจจะเป็นคนที่สามารถจัดระบบการขนส่งได้ดี ฯลฯ

คนต่างๆ เหล่านี้เป็นคนมีความคิดแต่ไม่มีเงิน

แต่ระบบสังคมและระบบการเงินของเขาเอื้ออำนวยและส่งเสริมให้คนมีความคิดได้ประกอบการได้

ทศวรรษนี้กับเมื่อทศวรรษที่แล้วตระกูลเช่น ร็อกกี้ เฟลเลอร์ หรือฟอร์ด หรือดูปองต์ หรือรอชไชลด์ แตกต่างกันมาก

ตระกูลเหล่านี้ไม่ได้จนลงมากมายนัก แต่ตระกูลเหล่านี้หาได้ขยายตัวเองไปจนครอบคลุมเศรษฐกิจทั้งหมดได้ทั้งนี้เพราะกฎหมายและกติกาของการสร้างเนื้อสร้างตัวของต่างประเทศเขายุติธรรมตั้งแต่ภาษีมรดกที่เข้มงวด เพื่อไม่ให้เกิดการเอาเปรียบกันในการแข่งขันระหว่างลูกนายฟอร์ดที่พ่อแม่ทำทิ้งไว้ให้กับลูกนายอะไรก็ได้ที่พ่ออาจจะเป็นกรรมกรโรงงานถลุงเหล็ก

สำหรับบ้านเราแล้วจะกี่ทศวรรษก็ตามใน 3-4 ทศวรรษที่ผ่านมา เราจะเห็นการขยายตัวของแต่ละตระกูลมากขึ้นเป็นทวีคูณ และก็จะมีกลุ่มตรงกลางเพิ่มมากขึ้นแต่กลุ่มนี้แทนที่ส่วนหนึ่งจะเป็นผู้ประกอบการส่วนใหญ่แล้วกลับเป็นลูกจ้างมืออาชีพไปเสีย และพวกนี้มีอาชีพรับจ้างกลุ่มตระกูลไม่กี่ตระกูลในนี้

ภาพลวงตานี่คือกลุ่มชนชั้นกลางที่รัฐบาลพากันภูมิใจว่า กำลังเพิ่มขึ้นทำให้เสถียรภาพทางสังคมแข็งขึ้นถ้ามีกลุ่มนี้อยู่มากๆ

แต่เราลืมนึกไปอย่างหนึ่งว่า เสถียรภาพทางสังคมนี้ น่าจะเป็นเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมากกว่าที่จะทำให้สังคมแข็งแรงจริงๆ

และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจจะเป็นฐานที่สำคัญของเสถียรภาพทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย

เพราะถ้าเรามุ่งสร้างแต่ชนชั้นกลางขึ้นโดยละเลยการสร้างฐานผู้ประกอบการ ในที่สุดแล้วเราก็จะมีแต่กลุ่มตระกูลซึ่งยึดครองอำนาจเศรษฐกิจและเป็นนายจ้างเพียงไม่กี่รายของชนชั้นกลางของเรา

ภาพนี้กลับจะเป็นอันตรายต่อสังคมเรามากในระยะยาว

แต่ถ้าเราสามารถสร้างผู้ประกอบการขึ้นมามากๆ ฐานทางชนชั้นกลางของเราก็จะขยายตัวได้มากขึ้นเป็นหลายสิบเท่า และภาวะการผูกขาดทางเศรษฐกิจจะน้อยลงอย่างทันตาเห็น

การเกิดของบริษัทเงินทุนทั้งหลายอย่างมากมายนั้นถ้าจะมองกันให้ลึกลงไปแล้วเป็นการหาทางออกของผู้คนที่ไม่มีฐานทางการเงินโดยไม่ได้อยู่ในกลุ่มตระกูลเหล่านั้น

ฉะนั้นบริษัทเงินทุนที่ตั้งขึ้นมาเพื่อระดมเงินประชาชนมาใช้ในการลงทุนของตัวเองจึงขึ้นมาราวกับดอกเห็ด ในช่วงปี 2520 หลังจากที่ต้องอดทนอดกลั้นกับการติดต่อสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารมานานแล้ว

และในบรรดาบริษัทเงินทุนต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาก็มีอยู่ไม่มากที่ทำเป็นสถาบันการเงินอย่างมืออาชีพจริงๆ ที่เหลือก็เป็นการลงทุนในกิจการตัวเองหรือของญาติพี่น้อง

พวกนี้ไม่ผิด เพราะพวกนี้ก็คือผู้ประกอบการส่วนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จมาแล้วจากการทำธุรกิจอยากจะทำใหญ่ขึ้นแต่ติดขัดเรื่องเงินทุน พวกนี้อาจจะมีเครดิตสัก 20-30 ล้านแต่จะเอาเงินไปทำธุรกิจเช่น พัฒนาที่ดิน ซึ่งต้องใช้เงินสัก 50-100 ล้านนั้น จากธนาคารคงจะไม่ได้ บริษัทเงินทุนคือทางออก

และประจักษ์พยานอีกประการหนึ่งซึ่งเห็นได้ชัดว่า แม้แต่บริษัทเงินทุนถ้าเกี่ยวพันหรือมีสายสัมพันธ์กับธนาคารแล้วก็จะเป็นบริษัทเงินทุนที่ใหญ่แห่งหนึ่ง และจาก 10 อันดับบริษัทเงินทุนที่ใหญ่ที่สุด ในประเทศนั้นทั้ง 10 อันดับก็ต่างมีความสัมพันธ์กับธนาคารทั้งสิ้น

เมื่อ 10 ปีที่แล้ว นิสิตนักศึกษาและคนหนุ่มคนสาวพากันเรียกร้องให้รัฐยึดธนาคารเพราะเหตุผลเดียวกันกับบทความนี้

แต่นิสิตนักศึกษาเหล่านั้นกลับถูกกล่าวหาว่า เป็นคอมมิวนิสต์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากกลุ่มนายทหารต่างๆ

พอมาถึงเดือน เมษายน 2524 กลุ่มยังเติร์กเอง ซึ่งเป็นทหารกลับเรียกร้องให้ยึดธนาคารเสียเอง

2525 พลโทหาญ ลีนานนท์ อภิปรายถึงปัญหาการผูกขาดของธนาคารและเรียกร้องให้ยึดธนาคาร

พลโทชวลิต ยงใจยุทธ ถึงแม้จะมาในเสียงที่นุ่มกว่าพลโทหาญ ในการให้สัมภาษณ์ แต่กับคนใกล้ชิดพลโทชวลิตก็ไม่ได้มีความเห็นต่างกับพลโทหาญเท่าใดนัก

พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ในการพูดเรื่องเศรษฐกิจในงานครบรอบหนึ่งปีของหนังสือผู้นำก็พูดตักเตือนธนาคารโดยผ่านคำว่าขอร้องออกไป

สำหรับสาธารณชนแล้วความรู้สึกที่มีต่อธนาคารใน 2527 กับเมื่อ 10 ปีที่แล้วต่างกันมาก เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ความรู้สึกของสาธารณชนที่มีต่อบทบาทของธนาคารยังเป็นกลางอยู่มาก อาจจะเป็นเพราะบทบาทเศรษฐกิจของไทยเมื่อ 10 ปีก่อน ยังไม่มากพอที่จะให้คนไทยได้เห็นบทบาทของสถาบันการเงินในปัจจุบัน

ทุกวันนี้ถ้าถามนักธุรกิจที่จะได้คำตอบว่า “ทำงานให้แบงก์ ส่งแต่ดอกเบี้ย” สำหรับนักธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง แล้วแทบจะไม่มีภาพลักษณ์บวกเลยกับธนาคาร บางรายถึงกับผรุสวาทเอาอย่างหยาบๆ คายๆ

สำหรับประชาชนทั่วไปความรู้สึกเปลี่ยนจากความเป็นกลางมาเป็นความรู้สึกว่า ธนาคารเป็นผู้กุมเศรษฐกิจ (ซึ่งก็ไม่ไกลความจริงไปเท่าใดนัก) ไปจนถึงการสูบเลือดประชาชนโดยระบบธนาคาร

แม้แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังเองก็เริ่มจะเอาจริงกับการกระจายหุ้นของกลุ่มตระกูลต่างๆ ของธนาคาร (บางกระแสข่าวมองลึกไปว่า เป็นการคุมไม่ให้พวกโสภณพนิชมีอำนาจมากเกินไป เพราะธนาคารกรุงเทพใหญ่จนเกินไปและมีผลต่อประเทศชาติมาก) อย่างเช่นธนาคารกรุงเทพเองก็เริ่มรู้สึกและพยายามแก้ภาพลักษณ์จากธนาคารซึ่งเกี่ยวพันกับการเมืองมาตลอด (ตั้งแต่พลเอกเผ่า ศรียานนท์ มาจอมพลประภาส จารุเสถียร มาถึงบุญชู โรจนเสถียร) โดยเอาอำนวย วีรวรรณ เข้ามาบริหาร

แต่ในสายตาของสีเขียวและกลุ่มเก่าทางศักดินาก็ยังคงมองธนาคารกรุงเทพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาตรี โสภณพนิช อย่างระวังตัวพอสมควร อาจจะเป็นภาพลักษณ์ของชาตรีเอง ตั้งแต่การที่กุมบังเหียนธนาคารที่มีอิทธิพลต่อชาติมากที่สุด แต่พูดไทยไม่ชัด ว่ามีส่วนเป็นคนจีนมากกว่าคนไทย

ยิ่งชาตรีขยายตัวด้านฐานการเงินเช่น สินเอเซีย และร่วมเสริมกิจ ยังไม่นับกิจการอีก 108 พันประการ ของเขาและเพื่อนสนิทมิตรสหาย เช่น เครือศรีกรุงวัฒนา ฯลฯ ก็ยิ่งทำให้หน่วยข่าวกรองของทหารต้องติดตามความเคลื่อนไหวของเขาตลอด

ในช่วงปฏิวัติของเดือนเมษายนของกลุ่มยังเติร์กก็ยังมีการพูดถึงวิธีแก้ปัญหาของเศรษฐกิจ โดยการกำจัดคนที่มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจชุดหนึ่ง และชื่อหนึ่งในตอนต้นชื่อก็มีชื่อของชาตรี โสภณพนิช อยู่ด้วย

ถึงแม้ชาตรีจะพยายามส่งสว่าง เลาหไทย แห่งเครือศรีกรุงวัฒนาเข้าหา พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ตลอดเวลาจนเป็นที่รู้จักกันทั่วๆ ไป แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ภาพลักษณ์ของชาตรีจะดีขึ้น เพราะการมองชาตรีในสายตาที่สงสัยนั้นกลับมาจากระดับกุมกำลังเสียมากกว่า และระดับพวกนี้บางครั้งนิยมแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่เด็ดขาด

อำนวย วีรวรรณ เองก็ทราบดีว่า ปัญหาของธนาคารกรุงเทพในแง่ภาพลักษณ์อยู่ที่ใด และอำนวยก็พยายามที่จะนำธนาคารให้เป็นธนาคารของมหาชน แม้กระทั่งการประกาศขยายกิจการในเครือธนาคารเสียให้หมดเพื่อตัดทอนข้อครหานินทาว่าธนาคารไปทำธุรกิจอื่นๆ ด้วย

แต่ข้อเท็จจริงก็ยังคงอยู่ว่า การตัดสินใจที่แท้จริงในธนาคารกรุงเทพก็คือ ชาตรี โสภณพนิช นั่นเองและก็คงต้องเป็นตัวชาตรีเองซึ่งจะต้องเป็นผู้เปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของตน

กระแสคลื่นต่อต้านกลุ่มตระกูลใหญ่ๆ ที่ฝังตัวเองในระบบธนาคารนั้นได้เริ่มก่อตั้งมาอย่างช้าๆ บางคลื่นก็มองเห็นแต่บางคลื่นก็เป็นคลื่นใต้น้ำ

เมฆหมอกของพายุก็เริ่มจะตั้งเค้าขึ้นมาบ้างแล้ว เสียงเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงกันจริงๆ กลับไม่ได้มาจากกระทรวงการคลังหรือธนาคารชาติ แต่กลับมาจากกลุ่มทหารหนุ่มๆ ที่กุมกำลังและความคิดนี้ก็เริ่มมาหลายปีแล้ว ทหารหนุ่มเหล่านั้นก็มีทหารหนุ่มใหม่เข้ามาแทนและทหารหนุ่มใหม่พวกนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ส่วนหนึ่งก็เป็นคนหนุ่มในยุคการเปลี่ยนแปลงเมื่อ 14 ตุลาคม

ในบรรดากลุ่ม THINK TANK ของทหารกลุ่มต่างๆ พากันไม่ปฏิเสธว่า บทบาทของตระกูลต่างๆ ในธนาคารนั้นเป็นบทบาทที่มีลักษณะเป็นดาบสองคม ถ้าใช้ให้ดีแล้วจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติมาก แต่ถ้าไม่ระวังแล้วคมอีกด้านจะบาดประเทศชาติและเป็นแผลเป็นให้เห็นไปตลอดกาล

ปลายทศวรรษนี้กับทศวรรษหน้าจะเป็นช่วงการเปลี่ยนแปลงจริงๆ ที่น่าจับตาดูอยู่อย่างใกล้ชิดว่า ดาบสองคมนี้จะถูกใช้ไปในรูปแบบใด?

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us