|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"เอชเอสบีซี"ตื่นจากการหลับไหลในธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล หลังประเมินสถานการณ์พบความเสี่ยงของการเกิดหนี้สูญต่ำลงเพราะเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น คนมีการบริโภคเพิ่มขึ้นเพราะเกิดความเชื่อมั่น อีกทั้งอัตราการตกงานลดน้อยลง ทำให้"เอชเอสบีซี"กล้าที่จะหันมาจับตลาดลูกค้าระดับกลาง หลังจากปีที่ผ่านมาเล่นแต่ลูกค้าระดับไฮเอนด์ ลั่นกลองรบแต่ต้นปี ด้วยการเปิดตัวแคมเปญ "กู้เงินแถมเงิน"
ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย จะหันมาจับธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลมากขึ้นหลังจากหยุดโหมโรงในธุรกิจดังกล่าวมานานเป็นปี ซึ่ง "วิชิต พยุหนาวีชัย" ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายบุคคลธนกิจ ให้เหตุผลว่า ประมาณกลางปี 2551 ธนาคารได้เห็นสัญญาณที่น่าวิตกอันจะทำให้เกิดวิกฤตทางการเงินโลก ซึ่งตั้งแต่นั้นมา ก้ได้ประเมินถึงธุรกิจที่มีความเสี่ยง และหนึ่งในนั้นก็มี ธุรกิจสินเชื่อบุคคล ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงทำให้หยุดที่จะนำเสนอหรือเร่งขยายพอร์ต ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล
"ก็ประมาณ 1 ปีได้ที่เราไม่ได้รุกหรือทำแคมเปญในส่วนของสินเชื่อส่วนบุคคล จนกระทั้งในปีนี้ เราเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีของเศรษฐกิจ สังเกตได้จากอัตราการเลิกจ้างที่ลดลง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่แสดงให้เห็นว่าแนวโน้มเศรษฐกิจกลับมาดีขึ้น ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เราตัดสินใจกลับมารุกเพื่อขยายพอร์ตสินเชื่อส่วนบุคคล"
วิชิต อธิบายเพิ่มเติมว่า ที่เอชเอสบีซี ต้องหยุดนิ่งไม่เน้นธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลไปประมาณ 1 ปีเพราะมองเห็นถึงความเสี่ยงที่เข้ามากระทบต่อลูกค้าจนไม่สามารถชำระหนี้ได้ ดังนั้นใช่ว่าลูกค้าไม่อยากชำระหนี้ แต่เพราะไม่สามารถทำได้ต่างหาก เนื่องจากปัจจัยภายนอกที่ยากเกินกว่าจะควบคุม เช่นลูกค้าต้องตกงานเพราะถูกเลิกจ้าง
"แต่ปีนี้ อย่างที่บอกว่าเราเห็นสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ก็เลยบุกสินเชื่อส่วนบุคคลมากขึ้น และมีการปรับระดับจากกลุ่มไฮเอนด์ ที่ต้องมีรายได้30,000 บาทขึ้นไปถึงขอสินเชื่อได้ ก็ลดลงมาที่มีรายได้ตั้งแต่ 15,000 บาทก็สามารถทำได้แล้ว"
ส่วนปัจจัยที่ทำให้เอชเอสบีซีลงจากยอดปิรามิด มาสู่ฐานที่กว้างขึ้นเพราะต้องการที่จะขยายพอร์ตในส่วนของลูกค้าระดับกลางให้มากขึ้นหลังจากที่ก่อนหน้านี้อยู่แต่บนยอดปิรามิดที่มีแต่ฐานลูกค้าไฮเอนด์ ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้ก็มีน้อยด้วย ดังนั้นการที่จะขยายรายได้ให้เพิ่มขึ้นก็ต้องขยายฐานลูกค้าด้วย แต่ วิชิต ก็บอกว่า ไม่ได้หมายความว่ารายได้การปล่อยเงินสินเชื่อส่วนบุคคลจะมากมายเนื่องจากการลงมาจับลูกค้ากลุ่มระดับกลางก็มีความเสี่ยงที่ทำให้เอชเอสบีซีต้องเน้นคุณภาพลูกค้ามากกว่าปริมาณ
การลดฐานรายได้เพื่อมาจับตลาดใหญ่ในสังคมนั้นเพราะ เอชเอสบีซีมั่นใจในการบริหารความเสี่ยงขององค์กร วิชิต เล่าให้ฟังว่า ต่อให้ เอชเอสบีซี ลงมาจับตลาดระดับกลาง ลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 15,000 บาท แต่ก็มีการพิจารณาความเสี่ยงอย่างรอบคอบเช่นกัน เนื่องจากเอชเอสบีซี เป็นองค์กรที่เน้นงานคุณภาพ ไม่ได้เน้นที่ปริมาณแต่เพียงอย่างเดียว และมั่นใจว่าจากสถิติข้อมูลที่มีอยู่ในมือจะสามารถประเมินว่าลูกค้าที่เข้ามาขอสินชเอส่วนบุคคลมีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน และความเสี่ยงในระดับใดที่เอชเอสบีซี จะรับได้ ดังนั้นในเรื่องการบริหารจัดการความเสี่ยงเอชเอสบีซีแถบจะไม่เป็นห่วง
สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคล เอชเอสบีซีได้จัดรายการพิเศษ "กู้เงินแถมเงิน" โดยมอบดอกเบี้ย 0% ต่อปี 1 เดือน และแถมบัตรกำนัลเงินสดให้อีกสูงสุด 5,000 บาท สำหรับลูกค้าที่สมัครใช้บริการภายใน 28 กุมภาพันธ์นี้ และได้รับอนุมัติสินเชื่อตั้งแต่ 100,000 บาทขึ้นไป โดยมั่นใจว่าจะเป็นข้อเสนอที่ตรงใจลูกค้า เนื่องจากยิ่งกู้มากดอกเบี้ยก็ยิ่งถูกลง แถมยังคุ้มค่าด้วยเงินคืนอีกด้วย
ทั้งนี้สินเชื่อบุคคล เอชเอสบีซี มอบวงเงินอนุมัติสูงสุด 5 เท่าของเงินเดือน และทางเลือกผ่อนชำระได้ตั้งแต่ 12 เดือน ถึง 60 เดือน ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำเพียง 20% ต่อปี สำหรับวงเงินสินเชื่อที่ได้รับการอนุมัติตั้งแต่ 300,000 บาทขึ้นไป นอกจากนี้ ยังมอบความสะดวกในการผ่อนชำระผ่านเคาน์เตอร์หรือหักบัญชีธนาคารเอชเอสบีซี จุดบริการรับชำระเคาน์เตอร์เซอร์วิส เจมาร์ท เพย์พอยท์ ทีโอที บลิสเทลช็อป เพย์สเตชั่น และสำนักบริการเอไอเอสทุกสาขา
"มาร์ค อาร์โนลด์"แม่ทัพใหม่ "แบงก์กรุงศรีฯ"
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และจีอี แคปปิตอล ประกาศแต่งตั้ง "มาร์ค อาร์โนลด์" ให้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา มีผลตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2553 โดย มาร์ค อาร์โนลด์ ทำหน้าที่ต่อจาก ตัน คอง คูน ซึ่งไม่ขอรับตำแหน่งต่อ เมื่อจะครบวาระต้นปี 2553
สำหรับ มาร์ค อาร์โนลด์ นั้นเป็นผู้บริหารระดับสูงของจีอี มีประสบการณ์ในสายธุรกิจการเงินมากว่า 15 ปี บริหารงานทั้งในภูมิภาคเอเชียและยุโรป ก่อนหน้านี้ มาร์ค อาร์โนลด์ ได้มาประจำที่กรุงเทพ และทำงานในตำแหน่ง CEO ของ GE Capital Banking ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ พร้อมกับทำหน้าที่กรรมการของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จึงมีความคุ้นเคยกับธนาคารและคณะผู้บริหารเป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยให้การรับตำแหน่งต่อเป็นไปได้อย่างราบรื่น
ก่อนหน้าที่ มาร์ค อาร์โนลด์ จะมาทำหน้าที่ผู้นำของ GE Capital Banking ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์นั้น ในช่วงปี 2547-2551 เขาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคารบูดาเปสท์ในประเทศฮังการี และในช่วงปี 2544-2547 ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ GE Consumer Finance Fleet Services ในประเทศโปรตุเกส นายมาร์ค อาร์โนลด์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับ 1 ด้านเศรษฐศาสตร์และการบริหาร จากมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล ของประเทศอังกฤษ
ด้านวีระพันธุ์ ทีปสุวรรณ ประธานกรรมการธนาคารกรุงศรีอยุธยา มองว่า แม่ทัพใหม่ที่เข้ามาสานต่อธุรกิจบนโครงสร้างพื้นฐานที่ ตัน คอง คูน และคณะผู้บริหารได้ร่วมกันสร้างไว้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นอีกบทหนึ่งของแผนกลยุทธ์ของธนาคารที่เข้าสู่ช่วงการขยายธุรกิจของธนาคารให้เติบโตอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ มาร์คจะต้องให้ความสำคัญ คือ การใช้โอกาสและความพร้อมขององค์กรสร้างประโยชน์สูงสุดโดยการพัฒนาและเร่งการเติบโตอย่างยั่งยืน และมั่นใจว่าภายใต้การนำของแม่ทัพใหม่จะทำให้ ความสามารถในการแข่งขันของธนาคารจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นอีก
"การที่จีอีได้รวมฐานธุรกิจที่มีอยู่เข้ามาไว้ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา รวมทั้งการที่ธนาคารได้ซื้อกิจการอื่นเข้ามาด้วยในช่วงที่ผ่านมานั้น จะช่วยสร้างความหลากหลายในที่มาของรายได้ของธนาคาร และจะช่วยสนับสนุนการเติบโตจากภายในอย่างรวดเร็วในช่วงต่อไป เราตื่นเต้นกับโอกาสการเติบโตของธนาคารและเชื่อว่าธนาคารมีความพร้อมเป็นอย่างดีสำหรับอนาคต" ดมิทรี่ สต๊อคตัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ GE Global Banking กล่าว
|
|
|
|
|