รูปแบบการทำตลาดสินค้าของจีนที่เน้นกลยุทธ์ราคาในการทุ่มตลาด ทำให้ปัจจุบันมีกระเบื้องจากประเทศจีนทะลักเข้าไปมีส่วนแบ่งตลาดกระเบื้องในตลาดโลกเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี ซึ่งประเทศไทยก็เป็นอีกตลาดหนึ่ง ที่ถูกสินค้าจากจีนแชร์ส่วนแบ่งไปจำนวนมาก จากปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อการทำตลาดของผู้ประกอบการในประเทศอย่างมาก เนื่องจากไม่สามารถสู่ราคาของสินค้าจากจีนได้ เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า
จากสถิติการนำเข้ากระเบื้องจากประเทศจีนเข้ามาทำตลาดในไทยพบว่า มีการนำเข้ากระเบื้องจากประเทศจีนตั้งแต่ปี 2544 มีปริมาณ 1 แสนตารางเมตร และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนถึงปี52 ซึ่งมีการนำเข้าสูงถึง 16.2 ล้านตารางเมตร คิดเป็นมูลค่า 3,000 ล้านบาท คิดเป็น 75% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมดที่มีมูลค่า 4,000 ล้านบาทต่อปี และคาดว่าในอนาคตจะมีการนำเข้ากระเบื้องสูงขึ้นเกินกว่า 20 ล้านตารางเมตร จากความต้องการกระเบื้องในประเทศอยู่ที่ 111.1 ล้านตารางเมตร
ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ผู้ผลิตกระเบื้องจำหน่ายในประเทศและส่งออกต้องมีการครั้งใหญ่ ทั้งด้านระบบการผลิตซึ่งต้องการลดต้นทุนให้ลดลงมาสามารถแข่งขันกับกระเบื้องจากจีนได้ แต่โดยมากการปรับตัวของผู้ผลิตรายใหญ่-กลางเพื่อขายในประเทศและส่งออกนั้น จะเน้นในเรื่องการเพิ่มมูลค่าสินค้า และสร้างแบรนด์เพื่อหนีตลาดระดับล่าง
นายสราวุฒิ สำราญทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทสยามซานิทารีแวร์ อินดัสทรี จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสุขภัณฑ์คอตโต้ กล่าวว่า แม้คอตโต้จะมีความแข็งแกร่งด้านยอดขายในตลาดในประเทศและส่งออกแถบอาเซียนแล้ว แต่ในแง่ของแบรนด์ ยังไม่เป็นที่ยอมรับของตลาดมากนัก เพราะตลาดดังกล่าวมีความนิยมสินค้าจากยุโรปมาก ดังนั้นเพื่อรงรับการแข่งขันและการขยายตลาดในอนาคต บริษัทจึงมีแผนจะทุ่มงบ8-9% ของยดส่งออกเพื่อสร้างแบรนด์ เข้าถึงกลุ่มลูกค้าในตลาดอาเซียนโดยตั้งเป้าว่าจะเป้ฯแบรนด์ติดอันดับ 1 ใน 3 ของแบรนด์ชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน
โดยบริษัทวางเป้าหมายยอดขายตลาดส่งออกที่ 1,440 ล้านบาท จากเดิมเคยใช้งบการตลาดเพียง 1-2% หรือไม่ได้ใช้เลย โดยส่วนหนึ่งของงบดังกล่าวจะนำมาก่อสร้างคอตโต้ สตูดิโอ (Cotto Studio) ที่ฮานอย และโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม พนมเปญ และเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา เฉลี่ยเงินลงทุนประมาณ 10 ล้านบาทต่อสาขา
ขณะที่ตลาดในประเทศนั้นจะใช้งบการตลาดอยู่ที่ 4-6% ของเป้าหมายยอดขายในประเทศที่ 3,360 ล้านบาท และขยายคอตโต้ สตูดิโอ (Cotto Studio) เพิ่มอีก 11 แห่ง ซึ่งรูปแบบของสตูดิโอนั้น มีทั้งแบบลงทุนเอง (Stand alone) ซึ่งใช้งบประมาณ 14-15 ล้านบาทสาขา และเปิดในพื้นที่ของตัวแทนจำหน่าย และเป็นการร่วมกันลงทุนระหว่างบริษัทฯ และตัวแทนจำหน่าย รวมถึงสาขาในปัจจุบันที่มีอยู่ที่ 11 แห่ง เป็น 21 แห่งภายในสิ้นปีนี้ โดยปี52บริษัทมียอดขาย 4,300 ล้านบาทแบ่งเป็นสุขภัณฑ์ 2,600 ล้านบาท และก็อกน้ำ 1,700 ล้านบาท สัดปี53ตั้งเป้าว่าจะมียอดขาย 4,800-5,000 ล้านบาทหรือ เติบโตราว 15%
“สำหรับตลาดในประเทศนั้น คอตโต้ไม่ห่วงเรื่องการหั่นราคาแข่งของสินค้าจากจีนเพราะ คอตโต้ ทำตลาดแบบครบวงจรทำให้ได้เปรียบสินค้าจากจีนและคู่แข่ง ที่ขายสินค้าเป็นชิ้น ซึ่งการมีทั้งบริการก่อนและหลังการขาย รวมถึงการให้คำปรึกษาและออกแบบให้ลูกค้าดังนั้น จึงได้เปรียบสินค้าจีนและคู่แข่ง สังเกตุจากหลังลดกำแพงภาษีกลุ่มกระเบื้องลงมาแม้จะมีสินค้าจากจีนเข้ามามาก แต่ยอดขายของเราก็ไม่ได้ลดลง”
ขณะที่ “สหโมเสค” ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องปูพื้นรายใหญ่ เองก็เริ่มรุกตลาดระดับกลาง-บนเพื่อหนีการแข่งขันในตลาดล่าง และเพิ่มสัดส่วนการส่งออกมากขึ้น โดยนางสาวปวีณา เหล่าวิวัฒน์วงศ์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท สหโมเสคอุตสาหกรรม ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องปูพื้นและบุผนัง กล่าวว่า บริษัทมีแผนจะขยายกำลังการผลิตกระเบื้องเพิ่ม 10% เป็น 80% ของกำลังการผลิตสูงสุดที่ 22 ล้านตารางเมตรต่อปี จากปัจจุบันบริษัทมีการผลิต อยู่ที่ 70% โดยเป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพของเตาเผาและเครื่องจักรเดิม
นอกจากนี้ บริษัทยังหันมาพัฒนาสินค้านวัตกรรมเพื่อจับตลาดระดับกลางและบนมากขึ้น ขณะเดียวกันได้เพิ่มสัดส่วนส่งออกจาก15% เป็น20% โดยเน้นส่งออกกระเบื้องโมเสคในกลุ่มประเทศในเอเชียและตะวันออกกลาง โดยในปีนี้บริษัทใช้งบการตลาดทั้งปี120 ล้านบาท ซึ่งจะเน้นการทำตลาดด้วยการจัดกิจกรรม ณ จุดขาย ไปยังตัวแทนจำหน่ายที่มีอยู่กว่า 700 ร้านค้าทั่วประเทศ
การปรับตัวของผู้ประกอบการข้างต้นเป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ กลยุทธ์ที่ผู้ผลิตกระเบื้องนำมาใช้เพื่อรักษาตลาดและเปิดตลาดใหม่ แต่กระนั้นปัญหาของตลาดกระเบื้องก็ยังไม่หมดไปเพราะยังมีปัญหาที่รออยู่ข้างหน้าคือการทะลักเข้ามาของกระเบื้องจากจีนในอนาคตที่เพิ่มขึ้นเกินกว่าความต้องการในตลาดจริง โดยเฉพาะในอนาคต
สินค้าตกแต่งชะลอขึ้นราคา
หวั่นลูกค้าหันใช้วัสดุจากจีน
ASTVผู้จัดการรายวัน- พิษจีนดัมป์วัสดุตกแต่ง กดดันผู้ผลิตในประเทศไม่กล้าเสี่ยงขยับราคาขึ้น แม้ปูน-เหล็กนำร่องไปบางส่วนแล้ว จับตาความต้องการในโครงการไทยเข้มแข็งกดดันราคาวัสดุก่อสร้างปรับสูงขึ้น เอกชนอาจจ่ายแพง ระบุ"บ้านบีโอไอ"แรงขับเคลื่อนตลาดอสังหาฯ
นายอิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 53 ว่า ประเด็นหลักที่วิตกกังวลกันมาก ก็คือ ปัญหาการเมือง ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ขณะที่ราคาวัสดุก่อสร้างประเภทเหล็ก ปูนซีเมนต์ ได้เห็นสัญญาณการขยับราคาขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา และสำคัญไปมากกว่านี้ คือ โครงการภายใต้แผนปฏิบัติไทยเข้มแข็ง 2555 ที่รัฐบาลได้เริ่มมีการเบิกจ่ายงบประมาณในการลงทุนตามโครงการต่างๆที่แต่ละกระทรวงเสนอมา และจะมีผลต่อเนื่องในการใช้วัสดุก่อสร้าง ซึ่งต้องพิจารณากันว่า ความต้องการจากโครงการไทยเข้มแข็งเช่น เหล็ก ปูน จะมีผลต่อโครงการต่างๆของเอกชนมากน้อยเพียงใด
" ถึงแม้ราคาวัสดุก่อสร้างจะขยับขึ้น แต่วัสดุตกแต่งเช่น กระเบื้อง ไม้ลามิเนต ราคาไม่ขยับ เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สินค้าจากจีนได้เข้าสู่ตลาดในไทยเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ผู้ผลิตอาจไม่ขยับราคามาก เพราะกังวลเรื่องยอดขาย ซึ่งตรงนี้ ก็มีส่วนช่วยถ่วงดุลราคาวัสดุก่อสร้างไม่ให้เพิ่มในบางจุด แต่ไม่ถ่วงดุลต่อทั้งระบบ "นายอิสระกล่าว
ในประเด็นเรื่องราคาน้ำมันที่ในระยะนี้เพิ่มขึ้นนั้น นายอิสระกล่าวว่ากังวล แต่คิดว่าราคาน้ำมันยังไม่ขยับมากเหมือนในช่วงที่ผ่านมา ที่เป็นผลจากนักเก็งกำไรเข้ามาทำราคา ซึ่งแน่นอน ราคาน้ำมันเป็นตัวแปรที่จะมีผลต่อค่าครองชีพของประชาชนและต่อภาคธุรกิจ และส่งต่อไปถึงอัตราเงินเฟ้อ ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคและผู้ที่คิดจะตัดสินใจซื้อบ้านอาจจะลดลง แต่ถึงกระนั้น ในระยะนี้คงยังไม่เห็นการเพิ่มของอัตราดอกเบี้ย แต่คิดว่าตั้งแต่ครึ่งปีหลังน่ากดดันต่ออัตราดอกเบี้ยได้มาก
" นั้นเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อตลาดอสังหาฯ ต่อผู้ที่คิดจะซื้อบ้าน หรือกลุ่มที่ผ่อนค่าบ้านอยู่ แต่หากหันมาดูตัวเลขการส่งออก การท่องเที่ยว และปัญหาการว่างงานนั้น เริ่มดีขึ้น โดยเฉพาะการว่างงานที่ไม่เหมือนที่มีการคาดการณ์จะถึง 2 ล้านคน ว่างงานแค่ 4 แสนคน ดังนั้น หากเศรษฐกิจดี ประชาชนทุกคนมั่นใจ ต่อให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น ทุกคนก็จะซื้อบ้านอยู่ดี "
นายอิสระกล่าวคาดการณ์ ภาพรวมการเติบโตของตลาดอสังหาฯในปีนี้คงยังขยายตัวได้ โดยเฉพาะการเข้ามาเติมเต็มของโครงการบ้านบีโอไอ หลังจากมีการผ่อนปรนเกณฑ์ใหม่ โดยบ้านเดี่ยวขยับมาอยู่ที่ 1.2 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมอาจจะเพิ่มจาก 1 ล้านบาทเป็น 1.2 ล้านบาท เรื่องดังกล่าวจะมีส่วนขับเคลื่อนให้ตลาดอสังหาฯชะลอลดลงไม่มากนัก.
|