ซิ่ว หรือจั้วซิ่ว เป็นศัพท์คำใหม่ เพิ่งเป็นที่แพร่หลายในประเทศจีนเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง
คำศัพท์ภาษาจีนคำนี้เกิดขึ้นภายใต้อิทธิพลภาษาอังกฤษ คือคำว่า โชว์ (Show) นั่นเอง ปัจจุบันซิ่วหรือจั้วซิ่วนั้นมีความหมายหลักๆ 3 ประการ คือ การแสดง จัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ และอีกความหมายหนึ่งก็คือ "โชว์ออฟ" ซึ่งมีความหมายในเชิงลบเหมือนกับศัพท์แสลงของภาษาไทย
เป็นที่ทราบกันดีว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจของประเทศจีนเติบโตอย่างรวดเร็วมาก แม้จะมีการสะดุดบ้างจากเหตุการณ์ทางการเมืองภาย ในประเทศ การแพร่ระบาดของโรคติดต่อร้ายแรงและ ภาวะวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ที่มีต้นตอมาจากสหรัฐฯ แต่เศรษฐกิจของจีนก็ยังสามารถคงอัตราการเติบโตได้ในระดับสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยไตรมาสที่ 3 ของปี 2552 เศรษฐกิจจีนนั้นกลับมาฟื้นตัวในระดับสูงด้วยอัตราการเติบโตถึงร้อยละ 8.9 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 7.9 ในไตรมาสที่ 2 และ 6.1 ในไตรมาสที่ 1 จนเรียกได้ว่าเข้าสู่อัตราการเจริญเติบโตในระดับปกติที่ประเทศจีนเป็นมาในช่วงสิบกว่าปีนี้
ทั้งนี้ ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจซึ่งนำมาสู่การเพิ่มขึ้นของระดับรายได้ของชาวจีนได้ก่อให้ เกิดการขยายตัวของชนชั้นกลางชาวจีนอย่างรวดเร็ว เมื่อไม่นานมานี้รายงานของยูโรมอนิเตอร์ระบุว่าใน ช่วงระหว่างเดือนมกราคม 2548 ถึงมกราคม 2550 ชาวจีนที่ถูกจัดเข้าอยู่ในกลุ่มชนชั้นกลางนั้นเพิ่มขึ้นจาก 65.5 ล้านคน เป็น 80 ล้านคน เท่ากับว่าภายใน ระยะเวลาเพียง 2 ปี ชาวจีนที่สามารถถีบตัวเองให้กลายเป็นชนชั้นกลางได้นั้นมีมากถึงเกือบ 15 ล้านคนเลยทีเดียว
ภายใต้คำจำกัดความและหลักเกณฑ์ของชนชั้นกลางชาวจีนคือเป็นผู้มีรายได้ต่อครัวเรือน ระหว่าง 60,000-500,000 หยวนต่อปี (ราว 300,000-2,500,000 บาทต่อปี) ทำให้ยูโรมอนิเตอร์คาดการณ์ ว่าภายในปี 2563 (ค.ศ.2020) ประเทศจีนจะมีชนชั้น กลางมากถึง 700 ล้านคนเลยทีเดียว
ขณะเดียวกันเมื่อกลางเดือนตุลาคม 2552 ที่ผ่านมา จากการจัดอันดับ China Rich List โดยหูรุ่น (Hurun) หรือ Rupert Hoogewerf หนุ่มชาวอังกฤษซึ่งริเริ่มการจัดอันดับบุคคลที่รวยที่สุดในจีนแผ่นดินใหญ่ มาตั้งแต่ปี 2542 (ค.ศ.1999) ก็ชี้ให้เห็นว่าปัจจุบันชาวจีนที่มีฐานะจัดอยู่ในระดับเศรษฐีสิบล้าน กล่าวคือมีทรัพย์สินมากกว่า 10 ล้านหยวน (ราว 50 ล้านบาท) นั้นมีประมาณ 825,000 คน ขณะที่เศรษฐีจีนระดับร้อยล้าน คือมีทรัพย์สินมากกว่า 100 ล้านหยวน (ราว 500 ล้านบาท) นั้นมีมากถึง 51,000 คนเลยทีเดียว
แน่นอนว่า ปริมาณชนชั้นกลางและเศรษฐีใหม่ในประเทศจีนปัจจุบันมีจำนวนมากมายมหาศาล หรือเปรียบเทียบง่ายๆ ว่า ปัจจุบันชนชั้นกลางชาวจีน 100 ล้านคนนั้นมีจำนวนมากกว่าประชากรไทยเกือบ 2 เท่าตัว และชนชั้นกลางในประเทศจีนเหล่านี้ เองที่เป็นปัจจัยในการชี้ขาดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจและภาคธุรกิจ-การค้าต่างๆ อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นในภาคอุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร รถยนต์ บ้าน การท่องเที่ยว การศึกษา ความบันเทิง การค้าปลีก ฯลฯ
ทั้งนี้ธุรกิจ/อุตสาหกรรมประเภทหนึ่ง ที่อาจถือเป็นดัชนีชี้วัดสำคัญที่สามารถบ่งชี้ได้ว่า ชนชั้นกลางในประเทศจีนนั้นมีการเติบโตขึ้นมากแค่ไหนก็คือ "อุตสาหกรรมสินค้าฟุ่มเฟือย"
ในโลกยุคปัจจุบัน สินค้าฟุ่มเฟือย (Luxury Goods) หรือในศัพท์ภาษาจีนกลางคือเซอฉือผิ่น มิได้เป็นสินค้าที่บริโภคได้เฉพาะชนชั้นสูงหรือเศรษฐีเท่านั้นแต่ลูกค้ากลุ่มสำคัญที่สุดของสินค้า ฟุ่มเฟือยกลับเป็นชนชั้นกลางทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย โดยชนชั้นกลางส่วนใหญ่นั้นพยายามซื้อหาสินค้าฟุ่มเฟือย สินค้าแบรนด์เนมมาเป็นเจ้าของเพื่อบ่งบอกสถานะทางเศรษฐกิจ รสนิยม รวมถึง ความเหมือนหรือความแตกต่างของตัวเอง กับคนในสังคม
"โลกนี้เสมอภาคกัน สัญลักษณ์ของ เราก็คือแบรนด์เนม เธอคือหนุ่มแอร์เมส ฉันคือสาวชาแนล และพวกเราทั้งหมดก็ถือ กระเป๋าหลุยส์วิตตอง" เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ข้อเขียนของหง ห้วง บรรณาธิการสาวและ เจ้าของสื่อแฟชั่นชื่อดังของจีนหลายฉบับ ได้บ่งชี้ให้เห็นความเปลี่ยนแปลงในสังคมชนชั้นกลาง ของจีนหลายๆ ประการ
หง ห้วงเป็นสตรีชาวจีนที่เกิดในช่วงก่อนการปฏิวัติทางวัฒนธรรมในตระกูลปัญญาชนชื่อดังของสังคมจีน โดยตั้งแต่อายุเพียง 12 ขวบ (ก่อนการปฏิวัติวัฒนธรรมจะสิ้นสุดเสียอีก) เธอถูกส่งไปเรียนที่สหรัฐอเมริกา ถือเป็นชาวจีนชุดแรกๆ หลังโศกนาฏกรรมทางการเมืองครั้งใหญ่ที่ถูกส่งไปเรียนยังต่างประเทศ ทั้งยังเป็นอดีตภรรยาของเฉิน ข่ายเกอ ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง ปัจจุบันเธอเป็นเจ้าของสื่อแฟชั่นหลายๆ แขนง อย่างเช่น iLook Seventeen (ภาคภาษาจีน) ได้รับฉายาว่า "เจ้าแม่แฟชั่นจีน"
ขณะที่จากประสบการณ์ส่วนตัว ผมสังเกตเห็นว่าในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมานี้หนุ่มสาวชาวจีนตามเมืองใหญ่ๆ อย่างเช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้นั้นเริ่มใส่ เริ่มใช้และเริ่มถือ เสื้อผ้า กระเป๋าแบรนด์เนมของแท้ อย่างหลุยส์ วิตตอง กุชชี่ ชาแนล แอร์เมส อาร์มานี่ กันมากขึ้น ขณะที่มีเพื่อนที่รู้จักเล่าให้ฟังว่า บริเวณทางเข้าสถานีรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดินในย่านสำคัญหลายๆ แห่งของกรุงปักกิ่งที่มีการตรวจเอกซเรย์กระเป๋า เดี๋ยวนี้พนักงานรักษาความปลอดภัยถึงกับต้องเตรียมถุงพลาสติกไว้ให้กับผู้โดยสาร เนื่องจากผู้โดยสารจำนวนหนึ่งร้องเรียนว่าการต้องนำกระเป๋า เข้าเครื่องสแกนและเอกซเรย์ ทำให้กระเป๋าแบรนด์ เนมเลอะเปรอะเปื้อนจนบางครั้งเช็ดไม่ออก
เชื่อว่าผู้ใหญ่หลายๆ ท่านที่เคยไปเมืองจีน เคยสัมผัสกับเมืองจีนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วหรือนานกว่านั้น เมื่อได้ยินเรื่องนี้หรือพบเห็นสภาพดังเช่นที่ผมว่าแล้วคงต้องอุทานว่า "เหลือเชื่อ" อย่างแน่นอน
ความต้องการ "จั้วซิ่ว" (โชว์ออฟ) ของชนชั้นกลางชาวจีนด้วยการหาซื้อของแบรนด์เนมและสินค้าฟุ่มเฟือยในระดับต่างๆ ตั้งแต่ของชิ้นเล็กๆ อย่างกระเป๋าสตางค์ กระเป๋าถือ ปากกา ผ้าพันคอ เสื้อผ้า ของแต่งบ้าน ไปจนถึงของชิ้นใหญ่ๆ ราคาแพงๆ อย่างเช่น รถยนต์ บ้าน รีสอร์ตตากอากาศ นั้นเพิ่มขึ้นอย่างมากมายมหาศาล
เดือนพฤศจิกายน 2552 ที่ผ่านมา Bain & Company บริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจและกลยุทธ์ทางธุรกิจสัญชาติอเมริกันได้เผยแพร่รายงานผลการวิจัยเกี่ยวกับตลาดสินค้าฟุ่มเฟือยในประเทศจีน โดยเนื้อหาตอนหนึ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตลาดสินค้าฟุ่มเฟือยในประเทศจีนนั้นมีการเติบโตที่รวด เร็วมาก และมีศักยภาพอีกมหาศาล กล่าวคือในปี 2547 ที่ตลาดสินค้าฟุ่มเฟือยในประเทศจีนมีมูลค่าเพียง 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 70,000 ล้านบาท) มาถึงปี 2552 ตลาดดังกล่าวมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเกือบ 5 เท่า โดยมีมูลค่าสูงถึง 9.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 336,000 ล้านบาท) เลยทีเดียว
ตัวเลขที่เติบโตเฉียดหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ตลาดสินค้าฟุ่มเฟือยในภูมิภาคอื่นๆ ของโลกทรงตัวหรือหดตัวนี่เองที่เป็นเครื่องช่วยอธิบายว่า เพราะเหตุใดสินค้าแบรนด์เนมต่างชาติจึงมุ่งมาที่แผ่นดินใหญ่กันหมด
ทั้งนี้ทั้งนั้น ก่อนที่เราจะเห็นตามหัวเมืองใหญ่ๆ ของจีนเต็มไปด้วยร้าน Flagship Store ของแบรนด์เนมหรูจากทั่วโลกเช่นในปัจจุบัน หากเราย้อนประวัติศาสตร์ไปดูการเจริญเติบโตของตลาด สินค้าฟุ่มเฟือยในประเทศจีนหลังยุคการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ ก็จะพบว่า จริงๆ แล้วตลาดสินค้าแบรนด์ เนมในประเทศจีนนั้นมีอายุราว 2 ทศวรรษเท่านั้น ด้วยข้อจำกัดทางภาวะเศรษฐกิจ ข้อบังคับในการทำธุรกิจ กฎระเบียบและกฎหมายในประเทศจีนในอดีตที่มีการควบคุมการดำเนินกิจการของบริษัทต่างชาติอย่างเข้มงวด อีกทั้งในการซื้อ-ขายก็ยังบังคับให้มีการใช้คูปองเงิน หรือ Foreign Exchange Certificate (FEC)
ด้วยข้อจำกัดข้างต้นและค่านิยมของชาวจีนที่ยังไม่คุ้นเคยกับแนวคิดในเรื่องแบรนด์เนม ทำให้ในช่วงต้นของทศวรรษ 90 ร้านแบรนด์เนมหรูทั้งหลายจากตะวันตกจึงต้องหาตัวแทนในประเทศจีนและเปิดร้านในโรงแรมหรูระดับ 5 ดาวก่อน โดยโรงแรมซึ่งถือว่าเป็นโรงแรมแรกที่เป็นศูนย์รวมของสินค้าแบรนด์เนมจากตะวันตกในยุคนั้นก็คือ เดอะ เพนนินซูล่า ปักกิ่ง โรงแรมดังที่ตั้งอยู่ในย่านธุรกิจสำคัญของกรุงปักกิ่งคือหวังฝูจิ่ง
ในตอนนั้นเป็นที่ทราบกันดีว่า ผู้ที่สามารถเดินเข้าโรงแรมเพนนินซูล่าที่ปักกิ่งได้ ไม่เป็นชาวต่างชาติก็ต้องเป็นข้าราชการหรือชาวจีนที่มีเส้นสาย หรือมีธุรกิจที่ติดต่อกับต่างชาติ ทำให้สินค้าแบรนด์ เนมยังไม่เป็นที่แพร่หลายนักในสังคมจีน
ต่อมาเมื่อเศรษฐกิจจีนดีขึ้น และรัฐบาลพรรค คอมมิวนิสต์ผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆ ในการทำธุรกิจ รวมถึงการแลกเปลี่ยนเงินตราและยกเลิก FEC ทำให้สินค้า แบรนด์เนมจากตะวันตก เริ่มกระจายไปสู่เคาน์เตอร์ตามห้างสรรพสินค้าชื่อดัง มีการเปิดร้านในชอปปิ้งมอลล์ในย่านธุรกิจสำคัญ และในที่สุดก็สามารถเปิดร้านสแตนด์อโลนของตัวเองได้โดยบริษัทแม่เป็นเจ้าของเต็มตัว
ปัจจุบันตลาดสินค้าฟุ่มเฟือยในมหานครศูนย์กลางทางการเมืองและธุรกิจของจีนอย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ ถือว่าค่อนข้างจะโตเต็มที่แล้ว ทำให้ตลาดสินค้าดังกล่าวเริ่มมีการขยายตัวไปยังหัวเมืองชั้นสองและเมืองเอกของมณฑลต่างๆ มากขึ้น เช่น เฉิงตู ฮาร์บิน ต้าเหลียน ฉงชิ่ง ซีอาน หางโจว ซูโจว อู๋ซี เวินโจว หนิงปอ เจิ้งโจว ที่ว่ากันว่าเศรษฐีจีนอีกราวครึ่งหนึ่งไม่ได้อาศัยอยู่ที่ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ หรือกวางเจา แต่ใช้ชีวิตอยู่ตามหัวเมืองเหล่านี้
ด้วยเหตุนี้ท่านผู้อ่านกรุณาอย่าแปลกใจ หากเดินทางไปเที่ยวหรือไปทำธุรกิจตามหัวเมือง ต่างๆ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ในประเทศจีนแล้วพบว่า ร้าน Burberry Gucci Dior Armani เปิดคู่กับแผงขายสินค้าก๊อบปี้ที่อยู่ใกล้ๆ กัน เพราะต้องทราบไว้ก่อนว่า ร้านใหญ่กับแผงเล็กนั้นมุ่งเป้าไปที่ลูกค้าคนละกลุ่มคือ กลุ่มหนึ่งอยากโชว์ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งอยากใช้ (อย่างเขาบ้าง) นั่นเอง
|