|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ผู้บริหารหนุ่มถูกปลดออกจากบริษัทซึ่งเขาเป็นผู้ก่อตั้งมาเองกับมือเมื่อช่วงทศวรรษ 1980 แต่เขาสามารถหวนกลับไปอีกครั้งอย่างผู้ชนะในทศวรรษ 1990 และตลอด 10 ปีต่อจากนั้น เขารอดชีวิตจากการเฉียดตายด้วยโรคร้ายถึง 2 ครั้ง รอดจากเรื่องอื้อฉาวการทำผิดกฎหมายหลักทรัพย์อีก 1 ครั้ง ออกสินค้าใหม่ๆ ที่ล้วนแต่เป็นสินค้ายอดฮิต กลายเป็นบุคคลสำคัญใน 4 อุตสาหกรรม เป็นมหาเศรษฐีนับหมื่นนับแสนล้าน และเป็น CEO ของบริษัทที่มีค่ามากที่สุดใน Silicon Valley
ทั้งหมดนี้ฟังดูเหมือนละคร แต่มันคือชีวิตจริงของ Steve Jobs หลังจากหยุดทำงานไป 6 เดือน เพื่อไปผ่าตัดปลูกถ่ายตับ Jobs ได้กลับมาแล้ว กลับมากุมบังเหียนบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีกองทัพ พนักงานถึง 34,000 คน บริษัทอันทรงพลัง น่าเกรงขาม สร้างสรรค์ ยโส ลึกลับ และแน่นอน สร้างผลกำไรมหาศาล ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1976 ด้วยวัย 54 ปี เขาคือ CEO แห่งทศวรรษ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เขาได้จัดระเบียบตลาดเพลง ภาพยนตร์ และโทรศัพท์มือถือ และยังมีอิทธิพลอย่างสูงต่อตลาดคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นตลาด แต่ดั้งเดิมของ Apple
ลำพังการพลิกโฉมเพียงอุตสาหกรรมเดียว ก็ถือเป็นความสำเร็จแห่งชีวิตได้แล้ว แต่การพลิกโฉมถึง 4 อุตสาหกรรม เป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน Jobs เป็นนักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่หาได้ยากยิ่ง มีคนรู้จักเขาทั่วโลก รู้จักแม้กระทั่งความเป็นคนปากร้ายของเขา ทุกคนรู้จักวิธีโฆษณาแบบคิดนอกกรอบของเขา ทุกคนรู้ว่าเขาเป็นทั้งนักพูดและนักขายมาแต่กำเนิด เป็นนักมายากลเป็นนักสมบูรณ์แบบนิยมจอมเผด็จการ และทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นตำนานของเขา Steve Jobs
เหนืออื่นใด Jobs เป็นนักธุรกิจที่เก่งฉกาจ แม้เขาไม่เคยสนใจการวิจัยลูกค้า แต่เขาทำงานหนักอย่างทุ่มสุดตัวและสามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าทุกคนอยากซื้อ เขาเป็นคนมีวิสัยทัศน์ แต่ไม่เพ้อฝันและอยู่กับความจริง Jobs จะคอยติดตามตรวจสอบ สิ่งที่เป็นดัชนีชี้วัดการดำเนินธุรกิจและการตลาดอย่างใกล้ชิด แต่แรงจูงใจของเขาไม่ใช่เพราะเงิน หากแต่เป็นความลุ่มหลงที่เขามี ต่อ Apple รักแรกของเขา บริษัทที่ทำให้เขาเป็นเหมือนผู้ที่สามารถ กำหนดสินค้ายอดฮิตตัวใหม่และผู้ที่สามารถจะเปลี่ยนแปลงโลก
ผลประกอบการของ Apple ก็น่าทึ่งเป็นที่สุด ในปี 2000 Apple มีมูลค่า 5,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่ Jobs จะเผยยุทธศาสตร์ "digital lifestyle" ของ Apple อันสะท้านสะเทือนวงการ ขณะนั้นส่วนแบ่งในตลาดคอมพิวเตอร์ของ Apple กำลังตกต่ำและเงินสดกำลังไหลออกอย่างรวดเร็วจนเกือบจะล้มละลาย ทว่าในตอนนี้ Apple มีอยู่ในกระเป๋า 34,000 ล้านดอลลาร์ในรูปเงินสดและหลักทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันที และสามารถแซงหน้าคู่แข่งสำคัญอย่าง Dell ไปได้
ขณะนี้ Macintosh มีส่วนแบ่ง 9% ในตลาด PC ของสหรัฐฯ มีร้าน Apple store 275 แห่งใน 9 ประเทศ มีส่วนแบ่งในตลาดเครื่องเล่น MP3 73% และครองตำแหน่งผู้นำด้านนวัตกรรม อย่างไร้คู่แข่งในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในปี 2006 Disney ควัก 7.5 พันล้านดอลลาร์ ซื้อ Pixar สตูดิโอผลิตภาพยนตร์การ์ตูนคอมพิวเตอร์ของ Jobs และ Jobs ได้เข้าไปนั่งเป็นกรรมการบริหาร ใน Disney รวมทั้งกลายเป็นเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดของ Disney ด้วย มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของ Jobs จากหุ้นใน Apple และ Disney รวมกันราวๆ 5 พันล้านดอลลาร์ แม้จะมี CEO อีกมากมายที่ประสบความสำเร็จในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเช่นกัน แต่ไม่มีใครที่สามารถจะตีเสมอ Jobs ได้เลย
อย่างไรก็ตาม Jobs กลับมาครั้งนี้มีปัญหามากมายรอให้เขามาสะสาง เขาจะรับมือการแข่งขันในตลาด smart phone ซึ่งเขาเองเป็นผู้จุดชนวนขึ้นมาอย่างไร ในขณะที่ตลาดคอมพิวเตอร์ PC กำลังลดความสำคัญลง เขาได้เตรียมบริษัทให้พร้อมสืบทอดต่อ จากเขาแล้วหรือไม่ ในเวลาที่ไม่มีเขา และ Jobs จะสามารถครอง ความโดดเด่นในทศวรรษต่อไปได้อีกหรือไม่
ทศวรรษของ Steve Jobs เริ่มต้นตั้งแต่ปี 1997 เมื่อเขากลับคืนสู่ Apple หลังถูกอัปเปหิออกจากบริษัทเมื่อหลายสิบปีก่อน และเป็นเวลาที่ Apple กำลังตกต่ำสุดขีด ในปีถัดจากนั้น ระบอบของ Jobs ก็เริ่มเดินเครื่องเต็มตัว Jobs เปลี่ยนตัวทีมบริหารใหม่ หมด ทีมบริหารใหม่หลายคนมาจากบริษัทของเขาเองที่ชื่อ Next และยังคงเป็นมันสมองหลักของ Jobs มาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา จากนั้น Apple ได้เปิดตัวเครื่อง Macintosh เครื่องแรกหลังจากการกลับมาของ Jobs การเปิดตัว iMac บวกกับการใช้กลยุทธ์การลดราคา ทำให้ Jobs สามารถสร้างฐานเงินสดและซ่อมแซม งบดุลของ Apple ได้สำเร็จ เพื่อเตรียมบริษัทให้พร้อมรับการลงทุน ครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
Jobs วางพื้นฐานให้ Apple ก้าวกระโดดในเวลาที่ทุกอย่าง รอบตัวกำลังมืดมนอย่างที่สุด ในปี 2000 Apple พลาดเป้าหมาย ทางการเงิน ทำให้ราคาหุ้นตกร่วงเหลือเท่ากับ 7 ดอลลาร์เมื่อคิดเป็นราคาปัจจุบัน แต่ Jobs กลับใช้เวลาช่วงนั้นวางพื้นฐานการชุบ ชีวิต Apple ใหม่ ตลอดปี 2001 ในขณะที่ตลาดโลกกำลังตกต่ำ และเศรษฐกิจโลกกำลังปักหัวดิ่งสู่การถดถอย Apple กลับเปิดตัวโปรแกรมเล่นเพลง iTunes (มกราคม) ตามด้วยระบบปฏิบัติการ Mac OSX (มีนาคม) ร้าน Apple store ร้านแรก (พฤษภาคม) และเปิดตัว iPod ครั้งแรก (พฤศจิกายน) เป็นเครื่องเล่นเพลงความจุ 5 GB ซึ่ง Apple คุย bragged ว่าสามารถจุเพลงได้มาก ถึง 1,000 เพลง
ในขณะนั้นยังไม่มีใครเลยที่มองเห็นยุทธศาสตร์ใหม่ของ Apple ที่อยู่เบื้องหลังความเคลื่อนไหวเหล่านั้น iTunes ดูเหมือนเป็นเพียงซอฟต์แวร์เล่นเพลงที่ฝังอยู่ในเครื่อง Mac ซึ่งขณะนั้นยังมีส่วนแบ่งตลาดเพียงน้อยนิดในตลาดเครื่องคอมพิวเตอร์ ทั้งยังขาดร้านขายเพลงออนไลน์ที่จะคอยสนับสนุน ส่วนระบบปฏิบัติ การใหม่ของ Mac แม้จะน่าประทับใจ แต่ก็เป็นเพียงการสนองตลาดเฉพาะกลุ่มคือสาวก Mac ส่วน iPod ก็เป็นเพียงเครื่องเล่น MP3 ที่เพิ่มขึ้นมาในตลาดอีกเครื่องเท่านั้น แม้ว่าหน้าตาจะดูดีกว่า ใครก็ตาม ซ้ำร้ายราคาหุ้นของ Apple ในตอนนั้นก็ยังตกต่ำ ทำให้ เกิดข่าวลือเรื่องการเทกโอเวอร์หลายครั้ง
และสิ่งที่ไม่เคยเป็นข่าวคือ Jobs เองกำลังคิดหนักที่จะเอา Apple ออกจากตลาดหุ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม Silver Lake Partners กลุ่มกว้านซื้อกิจการที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ ถ้าหาก Apple ถูกซื้อในครั้งนั้น คงจะกลายเป็นข่าวใหญ่แห่งศตวรรษเลย ทีเดียว แต่ Jobs เองที่เป็นคนเปลี่ยนใจในที่สุด และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Apple จะถูกเทกโอเวอร์ ในปี 1997 Larry Ellison CEO ของ Oracle ซึ่งเป็นเพื่อนกับ Jobs และเคยเป็นหนึ่งในกรรมการบริหารของ Apple เคยเตรียมระดมทุนเพื่อเทกโอเวอร์ Apple เพื่อให้ Jobs กลับมาบริหาร แต่ Jobs เองเป็นผู้ปฏิเสธ เพราะไม่อยากให้มองว่าเขากลับไป Apple เพราะเงิน
Jobs ประกาศยุทธศาสตร์ใหม่ของ Apple เมื่อปี 2002 ว่า เขาต้องการจะแข่งกับ Sony มากกว่าแข่งออกผลิตภัณฑ์ใหม่กับ Microsoft เขาบอกว่า Apple เป็นเพียงบริษัทเดียวที่มีทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมอยู่ในมือ ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และระบบปฏิบัติการ ซึ่งทำให้ Apple สามารถจะมอบประสบการณ์ที่เต็มที่ให้กับผู้ใช้ได้ อย่างที่บริษัทอื่นๆ ไม่อาจจะทำได้ Jobs มั่นใจว่า ตลาด mass จะต้องหันมาหา Apple แน่ๆ ถ้าหากว่าเขาได้สื่อสารกับตลาด mass โดยตรง ไม่ใช่เฉพาะสาวก Macintosh ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นนักศึกษากับศิลปิน
ยุทธศาสตร์การสร้างร้านค้าปลีกที่ Apple เป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งกลายเป็นส่วนสำคัญของ Apple ในวันนี้ เคยถูกเย้ยหยันตั้งแต่แรกว่าเป็นตัวดูดเงินออกจากบริษัท แต่ Jobs รู้ว่านี่คือสิ่งที่ลูกค้าต้องการ แม้ว่าเมื่อเปิดใหม่ๆ จะแทบไม่มีสินค้า วางขายในร้าน Apple store ในยุคแรกๆ เลยก็ตาม แต่ Jobs รู้ดีว่า เขาจะทำให้มีสินค้าเต็มร้านได้อย่างไร
เพราะว่า Jobs รู้จักทุกสิ่งทุกอย่างของ Apple เขาเกี่ยว ข้องในรายละเอียดทุกอย่างในบริษัท อย่างที่คุณนึกไม่ถึงว่า CEO จะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย Jobs เป็นคน "สั่ง" ให้บริษัทโฆษณาทำแคมเปญโฆษณา "Think Different" ก่อนที่ Apple จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วยซ้ำ
สไตล์การบริหารแบบลงไปคลุกคลีเจาะลึกทุกรายละเอียด แต่ขณะเดียวกันก็มีวิสัยทัศน์ภาพใหญ่ที่ชัดเจน นับว่าเป็นสไตล์บริหารเฉพาะตัวของ Jobs ที่ทุกคนรู้จักกัน นับตั้งแต่เขาหวนกลับ ไปยัง Apple เขาก็รู้ว่าดีไซน์ที่สวยงามคือสิ่งที่ทำให้ Apple แตกต่างในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งขณะนั้นถูกครอบครองด้วยเครื่องของ Dell, Microsoft และ Intel ที่ไร้สีสันใดๆ
เขายังมีความสามารถพิเศษในการกระโจนเข้าใส่โอกาสได้ถูกจังหวะ ก่อนที่ Apple จะออก iTunes อุตสาหกรรมเพลงในขณะนั้นล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า ในการพยายามสร้างร้านขายเพลงดิจิตอล Jobs ฉลาดพอที่จะไม่สร้างความขัดแย้งกับค่ายเพลง เมื่อเขาทำให้ iTunes ทำงานได้เฉพาะบนเครื่อง Mac เท่านั้น โดย ในปี 2002 นั้น เครื่อง Mac มีส่วนแบ่งตลาดในตลาดคอมพิวเตอร์ ส่วนบุคคลต่ำมากเพียงเลขหลักเดียวเท่านั้น การเปิดตัว iTunes แบบไม่ยิ่งใหญ่ ก่อนที่ต่อมา iTunes จะสามารถใช้ได้ทั้งบน Windows และยังขยายไปจนเกือบจะใช้ได้บน PC แทบทุกเครื่อง นับว่าเป็นความชาญฉลาดมาก เพราะทำให้โปรแกรม iTunes เป็นเหมือนโปรแกรมทดลอง และไม่ถูกมองว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่จะมาทำลายของเก่า
เครื่องมือทางธุรกิจที่สำคัญมากอย่างหนึ่งที่ Jobs ใช้คือ การบริหารการสื่อสารและข้อมูล เขาจะซ้อมพูดครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกๆ คำพูดที่เขาและผู้บริหารคนอื่นๆ จะพูดต่อสาธารณะ และจะพูดเฉพาะในหัวข้อที่กำหนดเท่านั้น กุญแจแห่งความสำเร็จในเรื่องนี้ของ Jobs คือ เขาจะระมัดระวังทุกอย่างที่เขาและ Apple จะพูดหรือไม่พูด David Yoffie ศาสตราจารย์จาก Harvard ประเมินว่า ในช่วงหลายเดือนหลังจากที่ Apple ประกาศเปิดตัว iPhone จนถึงวันที่ iPhone ออกวางขายจริงๆ ในปี 2007 นั้น Apple เหมือนได้โฆษณาฟรีๆ คิดเป็นมูลค่าถึง 400 ล้านดอลลาร์ จากการที่ปิดปากเงียบ ไม่ยอมเผยอะไรเกี่ยวกับ iPhone เลย ซึ่งทำให้วงการสื่อถึงกับปั่นป่วนและต้องหาข่าวเรื่อง iPhone กันให้ควั่ก กลายเป็นการโฆษณาฟรีๆ ให้ iPhone ไปโดยปริยาย
ตัว Jobs เองระวังอย่างมากที่จะไม่เปิดเผยตัวเองมากเกินไป เขาจะพูดเฉพาะเมื่อมีสินค้าตัวใหม่ที่เขาต้องการจะโฆษณาเท่านั้น เขาไม่เคยเปิดเผยเรื่องการผ่าตัดมะเร็งเมื่อปี 2004 จนหลังจากการผ่าตัดผ่านพ้นไปแล้ว และยังเป็นการเปิดเผยแบบไม่เป็นทางการ โดยเป็นการเปิดเผยอีเมลภายในที่เขาแจ้งเรื่องนี้ต่อพนักงาน Apple ให้นักข่าวรู้เท่านั้น ซึ่งเป็นกลยุทธ์หนึ่งของ Apple เช่นเดียวกับการลาพักยาว 6 เดือนของ Jobs ในปีนี้ ก็ยังใช้กลยุทธ์เดิม คือการเปิดเผยอีเมลภายในที่ Jobs แจ้งเรื่องนี้ต่อพนักงานของเขา ทั้งตัว Jobs เองและคนใน Apple ทุกคนก็ไม่มีใครยอมเปิดปาก พูดอะไรเพิ่มเติมอีกเลย ไม่มีใครใน Apple จะพูดต่อสื่อได้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากทีมงานที่ดูแลเกี่ยวกับสื่อของ Apple และทีมนี้รายงานโดยตรงถึง Jobs แม้กระทั่งการได้รับยกย่องเป็น CEO แห่งทศวรรษครั้งนี้ Jobs ก็ยังไม่ยอมให้สัมภาษณ์ใดๆ
Jobs ปิดปากเงียบ แม้กระทั่งเมื่อเกิดเรื่องอื้อฉาว การลงวันที่ย้อนหลังการออก stock option ซึ่งพัวพันอดีตผู้บริหารด้านการเงิน และที่ปรึกษากฎหมายของ Apple ในเอกสารของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต.ของสหรัฐฯ (SEC) Apple ให้การว่า Jobs รู้เรื่องที่ Apple ลงวันที่ย้อนหลังวันออก option เพื่อให้พนักงานได้กำไรจาก option มาก ขึ้น อย่างไรก็ตาม Jobs ได้กล่าวขอโทษต่อเรื่องอื้อฉาวนี้ไปแล้ว
Jobs บริหารทั้งเงิน การสื่อสาร การตกลงธุรกิจ การออกแบบ และทุกๆ อย่างใน Apple แต่ปัญหาสุขภาพล่าสุดของเขา ทำให้เกิดคำถามว่า หากไม่มีเขาแล้ว Apple จะอยู่รอดต่อไปได้หรือไม่
ในเดือนกันยายน เมื่อ Jobs กลับมาอีกครั้ง หลังจากเอา ชนะโรคร้ายได้สำเร็จ เขากล่าวขอบคุณคนคนหนึ่งแบบเอ่ยชื่อเพียง คนเดียว คือ Tim Cook หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารสายปฏิบัติการ (COO) ในงานเปิดตัวไลน์สินค้าใหม่ของ iPod และเป็นวันที่ Jobs เปิดปากเล่าถึงช่วง 6 เดือนที่เขาหายไปผ่าตัดเปลี่ยนตับเป็น ครั้งแรก เขาบอกว่า ได้รับบริจาคตับจากผู้บริจาคที่อยู่ในช่วงอายุ 20 ซึ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์และกล่าวขอบคุณ Cook และทีมบริหารทุกคนที่บริหาร Apple ได้อย่าง "เป็นสามารถ" ในช่วงที่เขาไม่อยู่
เมื่อ Jobs กลับมา การถกกันว่าใครที่จะสืบทอดตำแหน่งต่อจากเขา ไม่ว่าจะเป็น Cook หรือคนอื่นๆ เป็นอันว่าเงียบไปก่อน อดีตผู้บริหาร Apple คนหนึ่งบอกว่าที่ Apple อำนาจขึ้นอยู่กับว่า Steve เรียกหาใคร ประโยคที่ทรงพลังใน Apple คือ "Steve บอกว่า..." Larry Ellison เพื่อนของ Jobs และเป็น CEO ที่ไม่ชอบพูดเรื่องการสืบทอดตำแหน่งบอกว่า ไม่มีใครมาแทนที่ Jobs ได้ Jobs ได้สร้างแบรนด์ที่ประเสริฐที่สุดและมีผลิตภัณฑ์ดีๆ มากมาย เขาหวังว่า Jobs จะเกษียณจากการทำงานอย่างมีสุขภาพ แข็งแรง และได้ไปแล่นเรือยอชต์ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ดูเหมือนว่า Jobs จะพร่ำสอนคนของเขาให้สามารถประคองตัวต่อไปได้ระยะหนึ่งหากไม่มีเขา แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับทีมบริหารของ Apple บอกว่า ทุกคนใน Apple ถูกฝึกให้คิดเหมือน Steve เพราะเหตุนี้ 6 เดือนที่เขาไม่อยู่จึงผ่านไปอย่างราบรื่น
Jobs ยังมีอิทธิพลที่นอกเหนือไปจากอาณาเขตของ Apple Larry Page และ Sergey Brin 2 ผู้ก่อตั้งหนุ่มของ Google บอก ว่า Jobs คือฮีโร่ของพวกเขา Marc Andreessen นักลงทุน venture capital และผู้ที่เคยร่วมก่อตั้ง Netscape มักจะอ้างอิงถึง Jobs เสมอ เวลาให้คำแนะนำแก่ผู้ประกอบการ
หลังจากทำเงินได้มากกว่า 1 แสน 5 หมื่นล้านดอลลาร์ให้ แก่ผู้ถือหุ้น พลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ โทรคมนาคม ภาพยนตร์และเพลง และยังมีอิทธิพลต่อโลกของการออกแบบและ ร้านค้าปลีกอย่างลึกซึ้ง Steve Jobs จะทำอะไรเป็นสิ่งต่อไปในอีก 10 ปีข้างหน้าหากดูจากการที่เขาโปรดปรานการทำตัวลึกลับและการสร้างเซอร์ไพรส์แล้ว เขาคงจะยอมให้เรารู้ก็ต่อเมื่อเขารู้สึกดีและพร้อมเท่านั้น
แปล/เรียบเรียง เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์
เรื่อง ฟอร์จูน 23 พฤศจิกายน
|
|
|
|
|