|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ASTVผู้จัดการรายวัน – พาต้าเตือน ท่องเที่ยวไทยปีหน้ายังไม่หมดเคราะห์เจอศึกสองด้าน ชี้มาตรการ ”แอร์พาสเซนเจอร์ดิวตี้” เก็บเงินผู้โดยสารเครื่องบิน เพิ่มอีกหัวละ 6 พันบาท ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย ใช้กลยุทธ์สายสัมพันธ์ประกบนักท่องเที่ยวตลาดจีน แนะททท.และกระทรวงการท่องเที่ยว โปรโมทตลาดระยะใกล้ ปั้นไทยเป็นเดสติเนชั่นของการฝึกซ้อมนักกีฬา
นางพรศิริ มโนหาญ ประธานสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก หรือ พาต้า เปิดเผยว่า ในปี 2553 สถานการณ์การแข่งขันในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะทวีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากทุกประเทศในโลก ต่างเห็นความสำคัญถึงการสร้างรายได้จากอุตสาหกรรมนี้ จึงหันมาโปรโมตให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของตัวเอง และส่งเสริมทัวร์อินบาวนด์ ให้ชาวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวในประเทศของตนเอง
ศึกสองด้านประกบท่องเที่ยวไทย
ทั้งนี้ปัจจัยลบมี 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.ผลกระทบจากการประกาศใช้”แอร์ พาสเซนเจอร์ ดิวตี้” เมื่อวันที่ 1 พ.ย.52 ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการรณรงค์เกี่ยวกับภาวะโลกร้อน โดยโครงการแอร์พาร์ทเซนเจอร์ฯนี้จะเป็นการเก็บเงินจากผู้โดยสารที่เดินทางโดยเครื่องบินซึ่งเป็นตัวก่อมลภาวะ แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ตามระยะการเดินทางจากน้อยไปหามากนับจุดศูนย์กลางจากกรุงลอนดอน ได้แก่ กลุ่ม เอ ,บี,ซี และดี โดยประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่ม ซี ซึ่งผู้โดยสารที่เดินทางมาจากยุโรปจะต้องเสียค่าแอร์พาร์ทเซนเจอร์ ดิวตี้ในอัตราคนละ 100 ปอนด์ หรือราว 6 พันบาท โดยเป็นค่าใจจ่ายที่เพิ่มขึ้นมากค่าตั๋วเครื่องบิน และค่าบริการอื่นๆ และในวันที่ 1 พ.ย. 53 จะเพิ่มเป็นคนละ 150 ปอนด์ หรือราว 9 พันบาท
ดังนั้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากยุโรปมาไทย จะทำให้ค่าใช้จ่ายของการเดินทางต่อทริปเพิ่มสูงขึ้น ต่างจากประเทศสิงคโปร์ หรือ ฮ่องกง ที่เป็นภาพลักษณ์เป็นเมืองธุรกิจ เฉลี่ยนักเดินทางจะเพียงแค่ 1-2 คน เพื่อมาติดต่องาน อาจทำให้ชาวยุโรป ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทาง เป็นระยะใกล้ภายในภูมิภาคเดียวกัน เช่น ตรุกี และทะเลแถมเมดิเตอร์เรเนียน
2.กลยุทธ์การช่วงชิงตลาดนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนของประเทศคู่แข่งขัน เพราะจีนเป็นประเทศใหญ่มีจำนวนประชากรกว่า 1,300 ล้านคน ประกอบกับ การเปิดเขตแดนประเทศของรัฐบาลจีนกับเขตปกครองพิเศษไต้หวัน
ทำให้นักท่องเที่ยวชางจีนทั้งสองพื้นที่ดังกล่าวเดินทางไปมาหาสู่กันจำนวนมาก นอกจากนั้นการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวของประเทศมาเลเซียคนปัจจุบัน ซึ่งมีเชื้อสายเป็นคนจีน จึงใช้สายสัมพันธ์ทางเชื้อชาติมาเป็นกลยุทธ์เชิญชาวนนักท่องเที่ยวจากจีนไปเที่ยวประเทศมาเลเซีย ประกอบกับสายการบินแอร์เอเชีย
ซึ่งมีฐานใหญ่อยู่ในมาเลเซีย และเป็นโลว์คอสต์แอร์ไลน์ จึงทำตลาดในประเทศจีนได้ง่ายและรวดเร็ว
ดังนั้นรัฐบาลไทยและผู้ประกอบการบริษัทนำเที่ยวของไทยไม่ควรประมาทในเรื่องนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเรื่องของความไม่สงบทางการเมือง ทำให้ชาวจีนและทัวร์จีนมองหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆเพิ่มเติม
บูมตลาดไมซ์และตลาดระยะใกล้ช่วยท่องเที่ยว
จากสองปัจจัยลบดังกล่าว จึงเห็นว่า การท่องเที่ยวของประเทศไทย และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวกับตลาดภายในภูมิภาคเดียวกันหรือตลาดระยะใกล้ เช่น จีน อินเดีย ตะวันออกกลาง เป็นต้น นอกจากนั้นควรแสวงหาบริการทางการท่องเที่ยวใหม่ๆที่ไทยมีจุดแข็งออกมานำเสนอขายแก่นักท่องเที่ยวให้เห็นเด่นชัด
นอกจากนั้นควรถือโอกาสที่เมืองกวางโจว จะเป็นเจ้าภาพจัดแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทยต้อเร่งโปรโมทให้ไทยเป็นเดสติเนชั่นของการฝึกซ้อมนักกีฬา รวมถึงการแข่งขันกีฬาประเภทต่างๆ รวมถึงการหารายได้จากตลาดไมซ์ เพราะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ทำให้บริษัทห้างร้านจัดประชุมสัมมนาเพิ่มมากขึ้น
ในส่วนของภาครัฐในเรื่องของมาตรการช่วยเหลืออุตสาหกรรมท่องเที่ยว เช่น มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า ผ่อนปรนกฎเกณฑ์ที่จำเป็น เช่น อายุวีซ่า ในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเพื่อรักษาพยาบาล
“ที่ประเทศอินเดีย รัฐบาลให้วีซ่าผู้ที่จะเดินทางมารักษาพยาบาลสูงสุดถึง 5 ปี โดยให้มีการรายงานตัวทุก 3 เดือน เพื่ออัพเดทข้อมูล เพราะเขาต้องการโปรโมทงานบริการด้านการแพทย์ ซึ่งไทยเองก็มีจุดเด่นด้านนี้เช่นกัน รัฐบาลไทยจึงควรนำโมเดลนี้ไปศึกษาและปรับใช้ให้เหมาะสม เพื่อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทย”
อานิสงส์เวิลด์เอ็กซ์โปที่จีนปีหน้าท่องเที่ยวไทยโต 6%
นางพรศิริ กล่าวถึง ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เดินทางภายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในปี 2552 คาดว่าถึงสิ้นปีจะมีประมาณ 363 ล้านคน ลดลงจากปีก่อน 4% น้อยกว่าที่ประมาณการไว้ต้นปีว่าจะลดลง 6% ทั้งนี้เพราะเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่คิดไว้ ขณะที่ประเทศไทย ปีนี้ คาดการณ์ว่า จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่าวชาติที่ 13.6 ล้านคน แต่ทั้งนี้ตัวเลขอาจปรับเปลี่ยนได้หากมีการเดินทางเข้าในด่านอื่นๆที่ไม่ใช่ด่านสนามบินสุวรรณภูมิ มีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยที่สนามบินภูเก็ต จะเป็นตัวแปรสำคัญว่าไทยจะได้นักท่องเที่ยว 14 ล้านคน หรือไม่
สำหรับปี2553 คาดการณ์ว่าสถานการณ์นักท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จะปรับตัวเป็นบวก 5-10% ส่วนภาพรวมประเทศไทยปี 2553 คาดว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มจากปีนี้ 6% ของ ตัวเลข 13.6 ล้านคน หรือเพิ่มเป็น 14.3 ล้านคน และในปีต่อไปคือปี 2554 จะเพิ่มอีก 6% เป็น 15.2 ล้านคน
|
|
|
|
|