สินค้ากลุ่มนิชมาแรง เศรษฐกิจไม่กระทบ “คิวรอน” เดินหน้าลุย ทุ่ม 200 ล้านบาท อัดการตลาดเต็มสูบปีหน้า พร้อมส่ง “เลอซาช่า” บุกตปท. มั่นใจดันรายได้รวมโตแน่อีก 16% หลังปีนี้ทำรายได้แตะ 800 ล้านบาท เติบโต 25%

นายเดชฤทธิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท คิวรอน จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แต่งผม “เลอซาช่า”, เตารีดไอน้ำ @home เปิดเผยว่า ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา จากการที่บริษัทเข้ามารุกตลาดสินค้าลักษณะนิชมาเก็ต ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังไม่มีผู้เล่นรายใดเข้ามาทำตลาดอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็น อุปกรณ์แต่งผม หรือ เตารีดไอน้ำอเนกประสงค์ส่งผลให้ภาพรวมสิ้นปีนี้ เชื่อว่าจะมีรายได้สูงถึง 700-800 ล้านบาท เติบโตได้กว่า 20-25%

ส่งผลให้ในปีหน้าบริษัทเตรียมที่จะเดินหน้าธุรกิจเต็มที่ โดยเตรียมงบการตลาดไว้กว่า 200 ล้านบาท ใช้กับภาพยนตร์โฆษณา 4 เรื่องใน 4 กลุ่มสินค้า รวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ขณะที่ปีนี้ใช้งบการตลาดเพียง 100 ล้านบาท เชื่อว่าจะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ปีหน้า คาดว่าจะมีรายได้เติบโตอย่างน้อยอีก 16%

“ปีนี้บริษัทเติบโตได้ถึง 25% เนื่องจากมีการนำเสนอสินค้าใหม่ต่อเนื่อง ส่วนปีหน้า จากงบการตลาดที่เพิ่มขึ้น อย่างน้อยที่สุดมองว่าภาพรวมรายได้น่าจะโตได้อีก 16%”

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน บริษัทมีการผลิตและจำหน่ายสินค้าอยู่ราว 4-5 ตัว เช่น ผลิตภัณฑ์แต่งผม “เลอซาช่า”, เตารีดไอน้ำ @home, เครื่องถอนขน, ยาสีฟัน สปาร์คเคิล โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์แต่งผม “เลอซาช่า” มียอดขายสูงสุด คิดเป็นสัดส่วนที่ 70% ของรายได้รวมทั้งหมด

ทั้งนี้ในปีนี้ พบว่า ผลิตภัณฑ์แต่งผม “เลอซาช่า”มีอัตราการเติบโตที่ 23% ส่วนปีหน้าคาดการณ์ว่าจะเติบโตอีก 27% มาจากการนำเสนอสินค้ารุ่นใหม่อีก 10 รุ่น พร้อมขยายฐายลูกค้าสู่ระดับ 15 ปี ลงมา จากเดิมเริ่มที่ 22 ปีขึ้นไป ที่สำคัญคือ การเข้าไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น มาเลเซีย และฮ่องกง ที่เริ่มเข้ามาทำตลาดตั้งแต่ต้นเดือนธ.ค. ที่ผ่านมา ส่วนในปีหน้าจะเข้าไปทำตลาดที่เวียดนาม สิงคโปร์ และอีกหลายๆประเทศในเซาส์อีสเอเชีย

นอกจากนี้ยังได้เข้าร่วมกับกรมอาชีวศึกษา ในการสนับสนุนเพิ่มหลักสูตรเรื่องการทำผม โดยจะเป็นหลักสูตรที่จะใช้ในปีการศึกษาหน้า เชื่อว่าจะช่วยสร้างแบรนด์ให้ เลอซาช่า แข็งแกร่งยิ่งขึ้น จากปัจจุบัน เจเอฟเค สำรวจพบว่า ในกลุ่มอุปกรณ์แต่งผมในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา เลอซาช่าเป็นผู้นำ ด้วยส่วนแบ่งการตลาดกว่า 59% จากภาพรวมตลาด 18,000 ยูนิตต่อเดือน คิดเป็นมูลค่า 71 ล้านบาท