คนทั่วไปที่พอจะรู้จักสุพจน์ เดชสกุลธร จากหน้าหนังสือพิมพ์ มักเข้าใจว่าสุพจน์เป็นเจ้าของเฉพาะกิจการเงินทุน 3-4 แห่งกับบริษัทประกันภัย-ประกันชีวิต และก็คงไม่ผิดถ้าจะสรุปว่าตัวสุพจน์เองก็อยากให้คนทั่วไปเข้าใจอย่างนั้น
มีไม่มากคนนักหรอกที่ทราบว่า นอกจากกิจการดังกล่าวแล้วสุพจน์ยังเป็นบุคคลระดับ
“ผู้หนุนหลัง” ของวงการคอมมอดิตี้ ซึ่งกิจกรรมด้านนี้ สำหรับสุพจน์แล้วก็คงไม่อยากให้ใครทราบอยู่ด้วย
“โธ่ คุณเรื่องอย่างนี้ใครอยากเปิดตัว วงการคอมมอดิตี้นั้นน่ะถูกมองว่าเป็นพวกบ่อนการพนัน
ใครจะเอาชื่อเสียงไปเสี่ยง โดยเฉพาะคนที่มีกิจการด้านเปิดเป็นสถาบันการเงินอย่างสุพจน์...” แหล่งข่าวระดับสูงที่ทราบเรื่องดีชี้ถึงเหตุผล
ส่วนว่าสุพจน์เข้าไปเกี่ยวข้องกับวงการคอมมอดิตี้ได้อย่างไรและทำไมถึงก้าวขึ้นมาเป็นบุคคลระดับ
“เจ้าพ่อ” ได้นั้นแหล่งข่าวหลายคนได้ช่วยกันเล่าให้ฟังว่า ประเด็นสำคัญก็คือวงการนี้เขาแตกกันเป็นก๊กคุมกันไม่ติด
ก็เลยเกิดช่องว่างพอที่สุพจน์จะเข้าไปสร้างอาณาจักร...
กล่าวคือเมื่อประมาณปลายปี 2521 ผู้ประกอบธุรกิจคอมมอดิตี้ ได้รวมตัวก่อตั้งเป็นชมรมผู้ประกอบการคอมมอดิตี้ขึ้น
มีทนุ กุลเศรษฐศิริ เจ้าของบริษัทเมอร์ลิน คอมมอดิตี้ส์ เทรดดิ้ง เป็นประธานของชมรมคนแรก
ชมรมที่ว่านี้ได้รวบรวมกิจการคอมมอดิตี้กว่า 10 แห่งเข้ามา อย่างไรก็ตาม
พอรวมตัวได้ไม่นานนักก็ได้เกิดข้อขัดแย้งอย่างรุนแรงในเรื่องโครงการจัดตั้งตลาดกลางสินค้าล่วงหน้าขึ้นในบ้านเรา
เสียงส่วนใหญ่นั้นต้องการให้ชมรมฯ เป็นผู้ดำเนินการเอง แต่ทนุค้านหลักการข้อนี้
สุดท้ายเรื่องก็ลงเอยโดยทนุต้องลาออกจากตำแหน่งประธานฯ แยกออกไปตั้งตัวเป็นก๊ก
ก๊กหนึ่งข้างนอก
ทนุร่วมกับกิจการคอมมอดิตี้อีกประมาณ 5 แห่งเมื่อออกมาจากชมรมฯ ก็พยายามวิ่งเข้ามาธนาคารใหญ่แห่งหนึ่ง
ผ่านทางกลุ่มพ่อค้าส่งออก เสนอความคิดขอให้ธนาคารใหญ่แห่งนั้นรับเป็นผู้ดำเนินงานจัดตั้งตลาดกลางคอมมอดิตี้ขึ้น
ว่ากันว่าการเดินทางของก๊กทนุนี้ ทำไปได้ถึงขั้นสต๊าฟวิชาการของธนาคารใหญ่ให้ความสนใจจึงเชิญผู้เชี่ยวชาญจากตลาดชิคาโกมาให้คำปรึกษาอยู่พักหนึ่ง
แต่ลุ้นกันได้พักเดียวก็เงียบไปจวบจนขณะนี้
ด้านชมรมฯ หลังจากการลาออกของทนุก็มีก๊กใหม่ขึ้นมานำคือก๊กของ สุขุม
พหูสูตร เจ้าของบริษัทสยามอินเตอร์ คอมมอดิตี้ส์ แอนด์แชร์, ประสาท ผลนุกูลกิต
เจ้าของบริษัทเอเซีย คอนติเนนตัล คอมมอดีตี้ส์ และทวีศักดิ์ อชรางกูร เจ้าของบริษัทคิงลี่
ออร์แกไนเซชั่น ก๊กนี้พยายามวิ่งเต้นตั้งตลาดกลางฯ เช่นเดียวกันจะต่างกันก็แต่เส้นทางที่ผลักดันกลับผ่านทางสภาผู้แทนฯ
และดำเนินงานไปไกลขนาดเคยพาคณะกรรมาธิการการเงินการคลังสมัยที่พานิช สัมภวคุปต์
กับสมัคร สุนทรเวช เป็นประธาน แต่ละคณะอยู่ไปดูงานตลาดกลางซื้อขายล่วงหน้าที่ประเทศญี่ปุ่น
มาเลเซีย และสิงคโปร์มาแล้ว
หลังกลับจากดูงานการยกร่างกฎหมายจัดตั้งตลาดกลางก็เริ่มขึ้นและเตรียมเสนอเข้าสู่สภาฯ
โดยประธานกรรมาธิการเศรษฐกิจ แต่ที่สุดก็ไม่เป็นผลเช่นเดียวกันเพราะพลเอกเปรม
ติณสูลานนท์ ประกาศยุบสภาเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ และบังเอิญผู้ที่รู้เรื่องและเห็นความสำคัญหลายคนหลังเลือกตั้งต้องแปรสภาพเป็น ส.ส.สอบตก ความพยายามของก๊กนี้จึงพับตามไปด้วย “ตอนนี้หลายคนวางมือเลิกกิจการไปแล้วก็มีครับ...”
แหล่งข่าวคนหนึ่งเล่า
ในขณะที่กิจการคอมมอดิตี้ 2 ก๊กนี้กำลังพันตูกันอย่างสุดเหวี่ยงเพื่อช่วงชิงการเป็นผู้จัดตั้งตลาดกลางฯ
นั้นที่จริงยังมีกิจการคอมมอดิตี้ขนาดเล็กๆ ประมาณ 10 แห่งวางตัวอยู่วงนอกเฉยๆ
หรือปล่อยให้กลุ่มบริษัทใหญ่ๆ เขาว่ากันไป
ครั้นความขัดแย้งระหว่ง 2 ก๊กนับวันยิ่งรุนแรงและยังไม่มีก๊กใดเพลี่ยงพล้ำแก่ก๊กใด
การเคลื่อนไหวรวมตัวของกลุ่มบริษัทเล็กๆ นี้ก็เกิดขึ้น ทั้งนี้เป้าหมายไม่ได้เป็นการรวมตัวเพื่อผลักดันการตั้งตลาดกลางเหมือนกับ
2 ก๊กแรก หากแต่เน้นการทำธุรกิจโดยอาศัยช่องว่างและระยะเวลาที่เหลืออยู่ก่อนจะมีตลาดกลางเกิดขึ้นให้เป็นประโยชน์เท่านั้น
ตรงนี้เองที่สุพจน์ เดชสกุลธร เริ่มเข้ามา...
ต้นปี 2525 ได้มีการตั้งบริษัทโปรเกรส อินเวสเม้นท์ แอนด์ คอนซัลแต้นท์
ขึ้นและบริษัทดังกล่าวนี้มีสุพจน์สนับสนุนอยู่เงียบๆ ข้างหลัง
โปรเกรสฯ เมื่อตั้งขึ้นมาแล้วก็รวบรวมบริษัทเล็กบริษัทน้อยประมาณ 10 บริษัทที่ไม่สังกัดก๊กใดนั้นเข้ามาเป็นเครือข่ายและกลายเป็นอีกก๊กหนึ่งที่น่าเกรงขามของวงการในเวลาที่ออกจะรวดเร็วไม่น้อย
ต่อมาก็เป็นที่ทราบกันว่าก๊กที่รวบรวมกันขึ้นใหม่นี้มีชื่อเรียกว่า “กลุ่มนักธุรกิจสัมพันธ์”
มีคนระดับนำอยู่ 4 คนด้วยกันคือ บุญสิทธิ์ วิบูลย์ลาภ แห่งบริษัทแซบุ อินเวสต์เม้นท์ฯ
นิพนธ์ ช่อชัยทิพย์ แห่งจอมเทียนลิซซิ่งฯ มาโนชญ์ ตันติปาลกุล แห่งโปรเกรส
อินเวส์เม้นท์ฯ และคนหนุ่มไฟแรง วีรศักดิ์ เอื้อวงศ์เชิดชู แห่งโปรเกรส เครดิต
สำหรับนิพนธ์แล้วเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าเขาเป็น “มือขวา” ของสุพจน์
ส่วนคนอื่นๆ ก็ล้วนใกล้ชิดกับสุพจน์ทั้งสิ้น
ปัจจุบันเชื่อกันว่าเงินทุนหมุนเวียนอยู่ในวงการคอมมอดิตี้เกือบครึ่งตกอยู่กับก๊กนี้
ก็อย่างนี้แล้วจะไม่เรียกเป็น “เจ้าพ่อ” ได้อย่างไร